ธนบัตรเที่ยวไทย
nidhi
การเดินทางของคุณธนบัตร
Nidhi
บทนำ
ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ถ้าเปรียบธนบัตรเป็นคน ธนบัตรก็มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่คุณสมบัติจำเพาะก็คือ ธนบัตรเป็นเงิน ซึ่งหมายความว่าสามารถเอาไปใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้ จึงไม่สำคัญว่าธนบัตรจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ฉะนั้น ผู้เขียนจะขอเรียกธนบัตรเป็นกลางๆว่า คุณธนบัตร
คุณธนบัตรถือกำเนิดมาในโลกได้นานนับหลายศตวรรษแล้ว โดยเกิดมาไล่เลี่ยกับการที่คนโบราณคิดค้นวิธีทำกระดาษจากต้นปาปิรุสได้ ก่อนหน้าที่จะใช้กระดาษมาทำธนบัตร เงินตราที่ใช้แพร่หลายก็มักจะทำจากวัสดุธรรมชาติทั่วๆไป เช่น เปลือกหอยและโลหะต่างๆ การทำธนบัตรก็มีวิวัฒนาการมากมายแตกต่างกันไป คุณธนบัตรของเรามีกำเนิดในประเทศไทยเมื่อครั้งยังเป็นประเทศสยาม ต้นกำเนิดก็เกิดในดินแดนฝรั่งซึ่งเป็นผู้นำอารยธรรมในสมัยนั้น จนกระทั่งถึงยุคของธนบัตรไทยปัจจุบันก็ยังเพิ่งตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรเองได้เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังต้องจ้างบริษัทฝรั่งในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นผู้พิมพ์ธนบัตรให้ ซึ่งผู้เขียนจักไม่กล่าวรายละเอียดในที่นี้แต่ประการใด หากผู้อ่านท่านใดสนใจ ก็สามารถดูรายละเอียดจากธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ ซึ่งก็มีพิพิธภัณฑ์ธนบัตรไทยโดยเฉพาะสำหรับผู้สนใจอยู่แล้ว
คุณธนบัตรเป็นรุ่นหลานรุ่นเหลนของธนบัตรไทยในยุคแรกๆ ซึ่งปัจจุบันได้ล้มหายตายจากไปเกือบหมดแล้ว ยังคงหลงเหลืออยู่บ้างน้อยนิดที่อยู่ในมือนักสะสมทั้งชาวไทยและต่างชาติ กับหลงเหลืออยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วโลก คุณธนบัตรยุคล่าสุดในปัจจุบัน ไม่มีราคาต่ำกว่าฉบับละ ๑๐ บาท (สิบบาท) ต่างจากสมัยแรกๆซึ่งมีราคา ๑ บาทและ ต่ำกว่า ๑ บาทด้วย ปัจจุบันมีธนบัตรใช้แพร่หลายในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเครื่องอุปโภคและบริโภค ในราคาฉบับละ ๑๐ บาท,๒๐ บาท,๕๐ บาท,๑๐๐ บาท,๕๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท นอกเหนือจากราคาดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเป็นธนบัตรที่จัดพิมพ์ขึ้นในโอกาสพิเศษต่างๆ โดยจะมีข้อความและรูปภาพแตกต่างกันไป แต่ที่ปรากฏเสมอก็คือข้อความว่า "ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย" และที่เห็นเด่นชัดในธนบัตรรุ่นปัจจุบันก็คือ แถบสีเงินสะท้อนแสง ซึ่งพิมพ์พาดคาดอยู่ด้านซ้ายของธนบัตรด้านหน้าซึ่งมีไว้เพื่อป้องกันการปลอมแปลงธนบัตร แถบเงินดังกล่าวและภาพพระบรมฉายาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อนำไปส่องในแสงไฟจากหลอดไฟพิเศษก็จะปรากฏเห็นเด่นชัดเรืองรองแวววาวสวยงามจับตา
คุณธนบัตรตามเนื้อเรื่องของเราที่ผู้เขียนจะนำเสนอในตอนต่อไป เป็นธนบัตรราคาฉบับละ ๕๐๐ บาท(ห้าร้อยบาท) เพราะผู้เขียนต้องการจำกัดวงแพร่หลายการเดินทางของคุณธนบัตรให้แคบลงมาพอที่จะเกาะติดไปตามแต่ละสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น
บทที่ ๑ กำเนิดคุณธนบัตร
ฉันรู้ตัวก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องมั่นคงของธนาคารชาติ(ธนาคารแห่งประเทศไทย) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอบตัวฉันล้วนแล้วแต่เป็นธนบัตรฉบับราคา ๕๐๐ บาทเป็นกองพะเนิน นอกนั้นก็เป็นฉบับละ ๒๐ บาท,๕๐ บาท,๑๐๐ บาทและ ๑,๐๐๐ บาท เรียงรายเป็นกองสูงลดหลั่นกันไป แต่ไม่เห็นธนบัตร ๑๐ บาท เพราะเดี๋ยวนี้เขาเอาหรียญกษาปณ์ชนิดราคา ๑๐ บาทออกมาใช้แทนในตลาดได้ระยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีการพิมพ์ธนบัตรราคาฉบับละ ๑๐ บาทเพิ่มเติมสำหรับใช้หมุนเวียนในตลาดอีกต่อไป จุดหมายปลายทางของธนบัตรฉบับราคา ๑๐ บาท จึงขึ้นอยู่กับชะตากรรมของตัวเองว่าไปตกอยู่กับใคร ในลักษณะไหน กล่าวคือ
๑.อาจชำรุดฉีกขาดหรือถูกทำลายให้ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป
เช่น ถูกไฟไหม้เป็นเถ้าถ่าน ถูกน้ำหรือความเปียกชิ้นหรือเชื้อราทำลายจนเปื่อยยุ่ยใช้การไม่ได้
๒.ชำรุดฉีกขาดในสภาพที่สามารถซ่อมแซมได้ จะได้รับการซ่อมแซมไว้ใช้งานต่อ
๓.ชำรุดฉีกขาดไม่สามารถซ่อมแซมให้ใช้การได้เช่นธนบัตรทั่วไป แต่ยังมีมูลค่าราคาธนบัตรคงเหลือเต็มราคาหรือครึ่งราคา ก็สามารถนำไปแลกธนบัตรฉบับใหม่ตามมูลค่าราคาที่คงเหลือได้จากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือคลังจังหวัด ซึ่งได้แก่การที่เขาเรียกกันว่าเก็บเข้าคลังนั่นแหละ
๔.นักสะสมหรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆนำไปเก็บสะสมไว้
๕.คนที่ได้รับธนบัตรดังกล่าวไปไว้ในครอบครอง เก็บรักษาเอาไว้
๖.ธนบัตรสภาพเก่าจากการใช้งานจนชำรุดเปื่อยยุ่ยจะถูกเก็บเข้าคลังเพื่อรอการทำลายฯลฯ
ฉันเองก็เช่นเดียวกัน อาจตกไปอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้เสมอไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งก็เป็นไปตามวิถีแห่งธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลายคือ มีเกิดก็มีดับ ฉันเองจึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้เสียแต่เนิ่นๆ ว่าอาจต้องเจอะต้องเจอทั้งคำพูดและการกระทำต่างๆนานา อาทิ อาจจะถูกเรียกว่า ไอ้ห้าร้อย..ละลาย อาจถูกหยิบไปลงเลขยันต์แล้วเอาไปตั้งไว้บนหิ้งบูชา อาจถูกเก็บใส่ถังฝังดินเก็บเอาไว้เป็นขุมทรัพย์ หรืออาจถูกฝังในถังส้วมพร้อมเจ้าของที่ถูกฆาตกรรม รวมทั้งอาจเป็นอีกหลายสิ่งหลายอย่าง เพราะอนิจจัง สังขารนั้นไม่เที่ยง แต่ที่ฉันฝันอยากจะเป็นในวาระสุดท้ายก็คือ อยากเป็นของชำร่วยที่ผลิตโดยธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเล็งเห็นว่าการทำลายธนบัตรชำรุดต่างๆด้วยวิธีเผาไฟตามวิธีการอย่างดั้งเดิมนั้น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร จึงใช้วิธีย่อยสลายเป็นชิ้นเล็กๆแล้วบีบอัดเป็นก้อนวัสดุสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกหลายอย่างในรูปแบบต่างๆกัน เช่น ทำเป็นที่ทับกระดาษ ทำเฟอร์นิเจอร์ตุ๊กตา เป็นต้น
นี่ก็เป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นความฝันอันสูงสุดของฉันก็ว่าได้
บทที่ ๒ คุณธนบัตร ๕๐๐ บาท
ดังที่บอกแล้วว่าฉันเป็นธนบัตร ๕๐๐ บาท รูปลักษณะของฉันเป็นอย่างไรนั้น เชื่อว่าคนบางคนยังไม่เคยเห็น หรืออาจจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ครอบครองเป็นเจ้าของฉันมาก่อนเลย นี่จะเป็นเพราะความยากจนด้อยโอกาสหรือเป็นเพราะเหตุใดนั้น ฉันไม่บังอาจขอวิจารณ์แต่อย่างใด กระนั้นก็ดีฉันใคร่ขอถือโอกาสนี้บรรยายภาพลักษณ์ของฉันเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักฉันได้ดีขึ้นดังต่อไปนี้
ด้านหน้าของฉันจะมีพระบรมฉายาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในชุดฉลองพระองค์เต็มยศ คอปกตั้งกลัดสัญลักษณ์พระคทาไขว้ สวมฉลองพระเนตร(แว่นตา)
พื้นธนบัตรเป็นสีออกม่วง ที่ชาวบ้านทั่วไปเขาเรียกธนบัตรชนิดราคานี้มาแต่ดั้งเดิมว่าแบงก์ม่วง และเนื่องจากธนบัตรสมัยก่อนจะมีรูปช้างเผือกสัญลักษณ์คู่เมืองไทยอยู่ด้วย เขาจึงมักจะเรียกกันอย่างรู้กันทั่วว่า ธนบัตรแต่ละฉบับ ก็คือ ๑ เชือก และกำหนดชนิดของธนบัตรตามสี เช่นธนบัตร ๕๐๐ บาท เรียก ช้างม่วง ธนบัตร ๑๐๐ บาท เรียกช้างแดง ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ฉันจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป
มาว่าเรื่องรูปลักษณ์ของฉันที่ปรากฏในปัจจุบันต่อดีกว่า มุมซ้ายบนของฉันด้านหน้าธนบัตรจะเป็นตราครุฑขนาด ๑ ซม. มีแถบสีเงินแวววาวพิมพ์ตราสัญลักษณ์พระราชลัญจกร ภปร พิมพ์คาดทับปีกครุฑลงมาสุดด้านล่าง และมีตัวเลขไทย ๕๐๐ มุมบนด้านขวามือเป็นอักษรอาระบิก 500 พิมพ์หมึกเขียวด้วยวิธีการพิเศษ ซึ่งต้องใช้วิธีเอียงธนบัตรส่องดูจะเห็นเป็นสีเขียวและเมื่อเอียงออกไปอีกมุมหนึ่งจะเห็นเป็นสีม่วงเข้มเกือบดำสลับสีกัน นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการพิมพ์เลขอาระบิก 500 ตัวจิ๋วจำนวนมากติดต่อกัน ลงบนตัวเลขไทย ๕๐๐ บนพื้นที่ช่องว่างของพื้นที่ตัวเลขแต่ละหลักไว้ด้วย ซึ่งต้องใช้วิธีส่องกล้องหรือใช้เลนส์ขยายดูจึงจะเห็นได้ชัด กับมีเลขหมวดอักษรไทยและตัวเลขไทยพิมพ์ไว้ที่มุมบนด้านซ้ายถัดจากเลขบอกชนิดราคาธนบัตร ส่วนมุมขวาด้านล่างเป็นเลขอาระบิกและอักษรอังกฤษระบุเลขและหมวดหมู่ธนบัตร กับสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือคำว่า รัฐบาลไทย พร้อมลายเซ็นประจำตำแหน่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และคำว่า "ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย" กับอักษรระบุราคา ห้าร้อยบาท แล้วยังรวมถึงตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล (ตราภปร ) ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงลวดลายรูปแบบอย่างอื่นของธนบัตรด้วย คิดแล้วก็น่าฉงนมากว่าเขาสามารถบรรจุรายละเอียดตั้งเยอะแยะเหล่านี้ลงไปบนกระดาษแผ่นเล็กๆอย่างธนบัตรได้อย่างไรถึงขนาดนี้
สำหรับด้านหลังธนบัตร นอกจากมีตัวเลขไทยและอาระบิกบ่งบอกชนิดราคาธนบัตรแล้ว ที่มองเห็นเด่นเป็นสง่าก็คือ ภาพพระบรมฉายาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่๓) ประทับนั่งบนพระเก้าอี้ พระหัตถ์ซ้ายกุมพระแสงดาบ ด้านซ้ายของพระบรมฉายาทิสลักษณ์เป็นรูปโลหะปราสาท ที่วัดราชนัดดาวรวิหารที่อยู่ตรงข้ามป้อมมหากาฬ ถนนราชดำเนิน (เดิมสถานที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโรงภาพยนตร์เฉลิมไทย แต่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
สร้างให้เห็นมองเด่นเป็นสง่าเวลาที่เรารับแขกบ้านต่างเมืองกัน ก็จะมีพิธีมอบกุญแจเมือง ก็บริเวณนี้แหละ เดี๋ยวนี้จุดตรงข้ามป้อมมหากาฬดังกล่าวซึ่งมองไปแล้วเห็นโลหะปราสาท วัดราชนัดดาฯที่ด้านหลังนี้เขาเรียกว่า ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์)
ส่วนด้านขวาตอนมุมบน เป็นตราครุฑ ถัดตรงลงมาเป็นรูปเรือสำเภาแล่นใบกลางคลื่นทะเลสวย กับถัดลงมาเป็นพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า พ.ศ๒๓๓๐-๒๓๙๔ ว่า
การงานสิ่งใดของเขาที่ดี
ควรจะเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา
แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว
เมื่อกล่าวถึงภาพรวมที่ปรากฏบนด้านหลังธนบัตร ๕๐๐ บาท จะเห็นได้ว่าเป็นการรำลึกถึงพระบารมีของรัชกาลที่ ๓ ซึ่งทรงโปรดเกล้าฯสนับสนุนการค้าต่างประเทศ ซึ่งสมัยนั้นใช้เรือสำเภาแต่งสินค้าออกไปค้าขาย ขากลับก็จะเอาเครื่องลายคราม อับเฉา ปูนปั้นต่างๆ และสินค้าเครื่องเทศ กับสินค้าเครื่องประดับจำพวกหินหยก ต่างๆเข้ามาเมืองไทยด้วย จึงนับเป็นพระราชกฤษฎานุภาพประการหนึ่งของในหลวงพระองค์นี้
สำหรับท่านที่ไม่เคยเห็นเรือสำเภาว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ก็สามารถไปชมดูได้ที่วัดยานนาวา ที่เขตยานนาวา เพราะมีการจำลองเรือสำเภาสร้างเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดู
บรรดาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนี้ นับว่าน่าจะเป็นการบรรยายภาพลักษณ์ของฉันที่ปรากฏบนธนบัตร๕๐๐ บาทได้อย่างเพียงพอตามสมควรแล้ว หากจะพิศดูรายละเอียดเพิ่มเติมมากกว่านี้ก็คงจะต้องเอาธนบัตร๕๐๐ มาดูก็จะเห็นรายละเอียดพิสดารที่ยังมิได้กล่าวอีกมาก เมื่อทราบความเป็นมาของภาพสัญลักษณ์ต่างๆที่ปรากฏบนแผ่นธนบัตรแล้ว น่าภูมิใจที่เราเกิดมาเป็นคนไทยอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลมหาราช
บทที่ ๓ คุณธนบัตร ๕๐๐ บาท เริ่มเดินทาง
วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานภายในห้องมั่นคงของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไปเบิกตัวฉันเพื่อส่งมอบให้พนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารแห่งนี้เป็นธนาคารเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองไทย เดิมมีชื่อว่า แบงก์สยามกัมมาจลน์ ความจริงแล้วธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ก็คือ ธุรกิจในอันที่จะมุ่งแสวงหาผลกำไรให้องค์กรของตน เหมือนกับบริษัทที่ประกอบกิจการค้าโดยทั่วไปนั่นเอง เพียงแต่มีกฎหมายรับรองให้สามารถใช้ชื่อประกอบการค้าได้โดยไม่จำเป็นต้องระบุคำว่า บริษัท ไว้หน้าชื่อกิจการของตน ฉะนั้น ไม่ใช่สิ่งน่าแปลกใจอย่างใดเลย เมื่ออยู่มาวันหนึ่งในอดีตที่เพิ่งผ่านพ้น ธนาคารหลายแห่งของเมืองไทยต้องประสบกับภาวะขาดทุนจนต้องปิดกิจการไปในที่สุด และในทุกวันนี้ก็ปรากฏว่ามีธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆทั้งของไทยเองและต่างชาติ ผุดขึ้นมาใหม่ราวกับดอกเห็ด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยของคนเมืองกรุงที่นิยมของแปลกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยของการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์ในรูปเงินพลาสติกหรือเงินตราอิเล็กทรอนิกส์ ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคมไทยยุคที่เรียกกันว่า โลกาภิวัตน์ เพราะถ้าจะมองกันให้ละเอียดแล้ว ก็คงจะสามารถจำแนกบุคคลเหล่านี้ได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ได้ประโยชน์ และกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ รวมถึงกลุ่มผลประโยชน์อื่นที่มีอยู่ดาดดื่นในเมืองไทยด้วย แต่นี่ก็ไม่ใช่กิจธุระของฉันที่จะบังอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยววิพากษ์วิจารณ์ด้วย ภารกิจเฉพาะหน้าที่สำคัญอย่างแรกและเป็นอย่างเดียวกับเหตุผลที่คนเขาสร้างฉันขึ้นมา ก็คือ เพื่อให้เป็นเงินตราซึ่งสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หน้าที่ของฉันตอนนี้ก็คือ ติดตามไปกับพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อปฏิบัติภารกิจของฉันให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ฉันจึงติดตามไปในรถขนเงินของธนาคารดังกล่าว ซึ่งได้นำฉันไปยังสำนักงานใหญ่ของธนาคารที่ตั้งอยู่ที่เอส.ซี.บี.ปาร์ค สี่แยกรัชวิภา ถนนวิภาวดีรังสิต คราวนี้ฉันจะได้ออกไปปฏิบัติงานภาคสนามจริงๆกับเขาเสียที
คืนแรกฉันนอนค้างในห้องมหาสมบัติของธนาคาร เพื่อรอให้พนักงานของธนาคารเบิกไปปฏิบัติภารกิจด้านการเงินอันเป็นความสามารถเฉพาะทางที่วิเศษสุดเพียงอย่างเดียวของฉัน คืนนั้นฉันรู้สึกกระสับกระส่ายกระวนกระวายอยากรู้จนแทบจะนอนไม่หลับว่า พรุ่งนี้หรือเปล่าหนอที่เขาจะให้ฉันออกไปทำงาน ฉันจะได้ไปกับใคร เมื่อไหร่ ที่ไหน ภารกิจของฉันจะสำเร็จไหม จะพบอุปสรรคอย่างใดหรือไม่ การปฏิบัติภารกิจการงานของฉันจะทำให้ใครเดือดร้อนหรือเปล่า จะนำมาซึ่งความยินดีปลาบปลื้มในความสำเร็จสมหวัง หรือนำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจจากการพลัดพรากสูญเสียหรือไม่ ฉันจะเป็นเครื่องมือของคนดีหรือคนชั่วหรือเปล่า เหล่านี้ทั้งหลายฉันก็ได้แต่คิดและเป็นห่วงวิตกกังวลไปต่างๆนานา แต่เมื่อถึงเวลานั้นเข้าจริงๆแล้ว ฉันคงไม่อาจปฏิเสธภารกิจเหล่านั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีงามหรือเรื่องเลวร้ายชั่วช้าก็ตาม เพราะฉันถูกสร้างขึ้นมาให้ทำหน้าที่นี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีสิทธิปฏิเสธ ยินดีหรือไม่ยินดีที่จะกระทำภารกิจ ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ
บทที่ ๔ ถูกส่งไปอยู่ในตู้เอทีเอ็ม
สายวันนี้พนักงานธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ได้มาขอเบิกธนบัตรชนิดราคา ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท เพื่อไปเติมเงินตามตู้เอททีเอ็มที่ส่งสัญญาณแจ้งให้ทราบว่าเงินที่บรรจุไว้ในกล่องเหล็กภายในตู้มีไม่เพียงพอให้เบิกหรือร่อยหรอลงไปมากแล้ว พนักงานผู้ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบจึงต้องรีบดำเนินการขอเบิกกล่องที่บรรจุเงินธนบัตรทั้ง ๓ ชนิดราคานี้ไปบรรจุไว้ตามตู้เอทีเอ็มดังกล่าวต่อไป
ตู้เอทีเอ็มที่ว่านี้บางคนอาจสงสัยว่ามันคืออะไร เพราะบางคนเดินผ่านมันทุกวันแต่ไม่รู้ไม่สนใจว่ามันคืออะไร มีเอาไว้ทำไม บางคนอาจจะทราบว่ามันคืออะไร แต่ใช้ไม่เป็น ไม่เคยใช้ ไม่รู้จักวิธีใช้ รวมถึงคนบางคนยังกลัวไม่กล้าใช้ก็ยังมี
ตู้เอทีเอ็มก็คือตู้บรรจุเงินสำหรับให้ลูกค้าธนาคารที่มีบัญชีเงินฝากหรือมีสัญญากู้ยืมเงินผ่านบัตรเครดิตสามารถถอนเงินตามวงเงินที่ได้รับอนุญาตผ่านระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารได้ด้วยตนเองตลอดระยะเวลาที่กำหนดกันไว้จากตู้เบิกถอนเงินอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ธนาคารไปดูแลควบคุมและให้บริการดังกล่าว
เอทีเอ็ม เป็นคำย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า Automatic Teller Machine หมายถึงเครื่องเบิกถอนหรือฝากเงินอัตโนมัติ หรือหากจะแปลตรงๆก็หมายถึงเครื่องมือที่เอาไว้ใช้บอกสั่งให้ทำการตามที่ต้องการ เหมือนกับการที่เราไปดำเนินการด้วยตนเองในธนาคาร เช่นการเบิกถอนหรือฝากเงิน โอนเงิน ชำระค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น
สำหรับธนบัตรที่บรรจุไว้ในตู้เอทีเอ็ม จะมีเพียง ๓ ชนิดราคาเท่านั้น คือชนิดราคา ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท ไม่มีธนบัตรชนิดราคาอื่น และไม่มีเหรียญกษาปณ์ทุกชนิดราคา เพราะปัญหาเกี่ยวกับการทำกล่องภาฃนะบรรจุ และปัญหาทางด้านเทคนิคบางประการ
โดยปกติ การถอนเงินหรือฝากเงินผ่านตู้เอทีเอ็มจึงระบุขั้นต่ำไว้ว่าต้องไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ บาท และต้องไม่มีเศษต่ำกว่า ๑๐๐ บาท ส่วนการโอนเงินระหว่างบัญชีหรือการชำระค่า
สาธารณูปโภคด้วยวิธีตัดเงินจากบัญชีนั้นสามารถกระทำได้แม้เป็นเศษสตางค์
ตู้เอทีเอ็มที่เจ้าหน้าที่ธนาคารพาฉันไปบรรจุอยู่ที่ด้านหน้าศูนย์การค้าห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วาน ซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์สาขาย่อยตั้งอยู่บนชั้น ๒ ของอาคารดังกล่าวด้วย
หากท่านผู้อ่านสังเกตดู จะพบว่าปัจจุบันธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆมักจะไปเปิดดำเนินการให้บริการอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้าใหญ่ๆกันทั้งนั้น
โดยที่สามารถเปิดทำการตามวันเวลาที่ห้างเปิดทำการ ต่างจากธนาคารรูปแบบเดิมๆซึ่งเปิดทำการเฉพาะในระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร์เหมือนสถานที่ราชการและปิดทำการในวันเสาร์อาทิตย์กับวันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่ธนาคารแบบใหม่นี้มิได้เป็นเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว เพราะภาวะการแข่งขันด้านธุรกิจการค้าบีบรัดให้ต้องปรับปรุงบริการเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจแต่ละอย่าง สำหรับที่อยู่ใหม่ของฉันที่ห้างพันธุ์ทิพย์ พลาซ่างามวงศ์วาน นั้น เดิมเป็นที่ตั้งของห้างบางลำภูสรรพสินค้า สาขางามวงศ์วาน แต่ได้ขายกิจการให้ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ย่านถนนเพชรบุรี ประตูน้ำ ที่รู้จักกันในฐานะแหล่งรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย
เมื่อห้างพันธุ์ทิพย์ซื้อกิจการมาได้แล้ว ก็ปรับปรุงก่อสร้างเพิ่มเติมใหม่เพื่อแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าที่มีอยู่เดิม เช่น ห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ห้างเทสโก้โลตัส เป็นต้น
นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่าบริเวณที่ฉันไปอยู่นั้น ตั้งอยู่ใกล้ทางด่วนพิเศษ ช่องทางลงงามวงศ์วาน อยู่ใกล้ซอยวัดบัวขวัญ อยู่ในละแวกใกล้เคียงกระทรวงสาธารณสุขและศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ส่วนอีกด้านหนึ่งก็อยู่ใกล้เคียงสถานศึกษาของเอกชนและของรัฐหลายแห่ง
ใกล้เคียงห้างพันธุ์ทิพย์ สาขางามวงศ์วาน เป็นที่ตั้งของสถานศึกษาเอกชนในอดีตคือ โรงเรียนกรุงเทพเทคนิคนนท์ ซึ่งบัดนี้ได้ขายกิจการให้กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ ภายใต้ชื่อบริษัทศึกษาภิวัฒน์ซึ่งดำเนินธุรกิจระบบทวิภาคี ตั้งโรงเรียนขึ้นใหม่ชื่อว่า โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์ เทคโนธุรกิจ โดยมีสถานปฏิบัติงานรองรับคือ ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น
นี่จึงนับเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมาก สมกับคำที่ว่า "สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง"
สำหรับคืนวันนี้ ฉันคงนอนไม่หลับ หรืออาจจะหลับๆตื่นๆ เพราะตู้เอทีเอ็มที่ฉันมาอยู่ตั้งอยู่ด้านหน้าของห้างสรรพสินค้าและอยู่ติดกับที่หยุดรถโดยสารประจำทางด้วย
จึงเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนพลุกพล่านตลอดทั้งวันทั้งคืน
บทที่ ๕
สายวันนี้พนักงานธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ได้มาขอเบิกธนบัตรชนิดราคา ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท เพื่อไปเติมเงินตามตู้เอททีเอ็มที่ส่งสัญญาณแจ้งให้ทราบว่าเงินที่บรรจุไว้ในกล่องเหล็กภายในตู้มีไม่เพียงพอให้เบิกหรือร่อยหรองลงไปมากแล้ว
พนักงานผู้ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบจึงต้องรีบดำเนินการขอเบิกกล่องที่บรรจุเงินธนบัตรทั้ง ๓ ชนิดราคานี้ไปบรรจุไว้ตามตู้เอทีเอ็มดังกล่าวต่อไป
ตู้เอทีเอ็มที่ว่านี้บางคนอาจสงสัยว่ามันคืออะไร เพราะบางคนเดินผ่านมันทุกวันแต่ไม่รู้ไม่สนใจว่ามันคืออะไร มีเอาไว้ทำไม บางคนอาจจะทราบว่ามันคืออะไร แต่ใช้ไม่เป็น ไม่เคยใช้ ไม่รู้จักวิธีใช้ รวมถึงคนบางคนยังกลัวไม่กล้าใช้ก็ยังมี
ตู้เอทีเอ็มก็คือตู้บรรจุเงินสำหรับให้ลูกค้าธนาคารที่มีบัญชีเงินฝากหรือมีสัญญากู้ยืมเงินผ่านบัตรเครดิตสามารถถอนเงินตามวงเงินที่ได้รับอนุญาตผ่านระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารได้ด้วยตนเองตลอดระยะเวลาที่กำหนดกันไว้จากตู้เบิกถอนเงินอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ธนาคารไปดูแลควบคุมและให้บริการดังกล่าว
เอทีเอ็ม เป็นคำย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า Automatic Teller Machine หมายถึงเครื่องเบิกถอนหรือฝากเงินอัตโนมัติ หรือหากจะแปลตรงๆก็หมายถึงเครื่องมือที่เอาไว้ใช้บอกสั่งให้ทำการตามที่ต้องการ เหมือนกับการที่เราไปดำเนินการด้วยตนเองในธนาคาร เช่นการเบิกถอนหรือฝากเงิน โอนเงิน ชำระค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น
สำหรับธนบัตรที่บรรจุไว้ในตู้เอทีเอ็ม จะมีเพียง ๓ ชนิดราคาเท่านั้น คือชนิดราคา ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท ไม่มีธนบัตรชนิดราคาอื่น และไม่มีเหรียญกษาปณ์ทุกชนิดราคา เพราะปัญหาเกี่ยวกับการทำกล่องภาฃนะบรรจุ และปัญหาทางด้านเทคนิคบางประการ
โดยปกติ การถอนเงินหรือฝากเงินผ่านตู้เอทีเอ็มจึงระบุขั้นต่ำไว้ว่าต้องไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ บาท และต้องไม่มีเศษต่ำกว่า ๑๐๐ บาท ส่วนการโอนเงินระหว่างบัญชีหรือการชำระค่าสาธารูปโภคด้วยวิธีตัดเงินจากบัญชีนั้นสามารถระบุได้แม้เป็นเศษสตางค์
ตู้เอทีเอ็มที่เจ้าหน้าที่ธนาคารพาฉันไปบรรจุอยู่ที่ด้านหน้าศูนย์การค้าห้างพันธุ์ทิพย์ สาขางามวงศ์วาน ซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์สาขาย่อยตั้งอยู่บนชั้น ๒ ของอาคารดังกล่าวด้วย
หากท่านผู้อ่านสังเกตดู จะพบว่าปัจจุบันธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆมักจะไปเปิดดำเนินการให้บริการอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้าใหญ่ๆกันทั้งนั้น
โดยที่สามารถเปิดทำการตามวันเวลาที่ห้างเปิดทำการ ต่างจากธนาคารรูปแบบเดิมๆซึ่งเปิดทำการเฉพาะในระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร์เหมือนสถานที่ราชการและปิดทำการในวันเสาร์อาทิตย์กับวันหยุดนักขัตฤกษ์
แต่ธนาคารแบบใหม่นี้มิได้เป็นเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว เพราะภาวะการแข่งขันด้านธุรกิจการค้าบีบรัดให้ต้องปรับปรุงบริการเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจแต่ละอย่าง
สำหรับที่อยู่ใหม่ของฉันที่ห้างพันธุ์ทิพย์ สาขางามวงศ์วาน นั้น เดิมเป็นที่ตั้งของห้างบางลำภูสรรพสินค้า สาขางามวงศ์วาน แต่ได้ขายกิจการให้ห้างพันธุ์ทิพย์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ย่านถนนเพชรบุรี ประตูน้ำ ที่รู้จักกันในฐานะแหล่งรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย
เมื่อห้างพันธุ์ทิพย์ซื้อกิจการมาได้แล้ว ก็ปรับปรุงก่อสร้างเพิ่มเติมใหม่เพื่อแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าที่มีอยู่เดิม เช่น ห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ห้างเทสโก้โลตัส เป็นต้น
นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่าบริเวณที่ฉันไปอยู่นั้น ตั้งอยู่ใกล้ทางด่วนพิเศษ ช่องทางลงงามวงศ์วาน อยู่ใกล้ซอยวัดบัวขวัญ อยู่ในละแวกใกล้เคียงกระทรวงสาธารณสุขและศาลากลางจังหวัดนนทบุรี
ส่วนอีกด้านหนึ่งก็อยู่ใกล้เคียงสถานศึกษาของเอกชนและของรัฐหลายแห่ง
ใกล้เคียงห้างพันธุ์ทิพย์ สาขางามวงศ์วาน เป็นที่ตั้งของสถานศึกษาเอกชนในอดีตคือ โรงเรียนกรุงเทพเทคนิคนนท์ ซึ่งบัดนี้ได้ขายกิจการให้กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ ภายใต้ชื่อบริษัทศึกษาภิวัฒน์ซึ่งดำเนินธุรกิจระบบทวิภาคี ตั้งโรงเรียนขึ้นใหม่ชื่อว่า โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์ เทคโนธุรกิจ โดยมีสถานปฏิบัติงานรองรับคือ ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น
นี่จึงนับเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมาก สมกับคำที่ว่า "สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง"
สำหรับคืนวันนี้ ฉันคงนอนไม่หลับ หรืออาจจะหลับๆตื่นๆ เพราะตู้เอทีเอ็มที่ฉันมาอยู่ตั้งอยู่ด้านหน้าของห้างสรรพสินค้าและอยู่ติดกับที่หยุดรถโดยสารประจำทางด้วย
จึงเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนพลุกพล่านตลอดทั้งวันทั้งคืน
ใกล้จะค่ำแล้ว จากจุดที่ฉันอยู่ฉันมองเห็นผู้คนเดินกันพลุกพล่านตั้งแต่เช้าทั้งหญิงชายและเด็กหนุ่มสาว
นักเรียนนักศึกษารวมถึงคนที่ประกอบอาชีพการงานต่างๆ ธรรมดาที่ฉันจะได้เจอะเจอก็คงเพียงการปฏิบัติภารกิจประจำวันทั่วไป คือพวกที่ผ่านมาหรือแวะมาใช้บริการที่ห้างพันธุ์ทิพย์งามวงศ์วานก็คงจะได้แก่บรรดาพวกผู้คน
ที่แวะมาซื้อสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค แวะรับประทานอาหารหรือนัดพบ เพราะศูนย์การค้าทั้งหลายมักจะเป็นที่รวมของร้านค้า ธนาคาร ศูนย์อาหาร ร้านขายของเบ็ดเตล็ด เพื่อเป็นการประหยัดเวลาตามหลักของ one stop service นั่นเอง แต่วันนี้ที่ดูว่าคนพลุกพล่านมากผิดปกติก็เพราะเป็นวันที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยกรณียุบพรรค
ตั้งแต่ตอนสายประมาณ ๐๙.๑๕ นาฬิกา ฉันได้ยินการอ่านคำวินิจฉัยกรณีของพรรคประชาธืปัตย์ซึ่งใช้เวลา ๔ ชั่วโมงเศษในการอ่านคำวินิจฉัย ผลคือยกคำร้องขอให้ยุบพรรคดังกล่าวเพราะยังรับฟังข้อเท็จจริงได้ไม่เพียงพอที่จะเชื่อว่าพรรคได้กระทำความผิดตามที่ถูกร้อง
ต่อมาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ได้อ่านคำวินิจฉัยกรณีของพรรคไทยรักไทย ซึ่งกว่าจะอ่านคำวินิจฉัยจบลงก็เป็นเวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกาเศษ ซึ่งเป็นเวลาที่ห้างปิดทำการไปแล้ว
ถึงกระนั้นฉันก็ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนจากการปิดทำการของห้างแต่อย่างใด เพราะฉันถูกนำไปบรรจุไว้อยู่ในตู้เอทีเอ็มที่ด้านหน้าห้างซึ่งอยู่ติดด้านหลังป้ายหยุดรถโดยสารประจำทาง
ฉะนั้นผู้คนจึงเดินผ่านไปมาพลุกพล่านตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนรวมถึงผู้ที่เจาะจงมาใช้บริการเบิกถอนเงินตามตู้เอทีเอ็มที่มีอยู่เรียงรายนับสิบตู้
และแล้วเวลาที่อ่านคำวินิจฉัยเสร็จก็มาถึง ตุลาการวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการผู้บริหารพรรคจำนวน ๑๑๑ คนเป็นเวลา ๕ ปี รวมทั้งพรรคเล็กอีก ๒ พรรคที่เกี่ยวข้อง ฉะนั้นการวินิจฉัยวันนี้จึงเป็นผลให้มีการยุบพรรคจำนวน ๔ พรรคด้วยกัน ซึ่งถือเป็นคดีประวัติศาสตร์
ผลการยุบพรรคก่อให้เกิดปัญหาโต้แย้งว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ถูกยุบด้วย กับวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่น่าจะมีผลย้อนหลังไปใช้บังคับ
บรรดาข้อโต้แย้งคัดค้านเหล่านี้ฉันได้แต่รับฟัง เพราะเป็นความเห็นในทางกฎหมาย ซึ่งมีได้หลายความเห็น แต่หลักการที่ฉันเคยได้ยินมาก็คือ ความยุติธรรมได้แก่ความเป็นธรรมอันยุติแล้วในแต่ละเรื่องแต่ละคดี ซึ่งขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานต่างๆตลอดจนข้อเท็จจริงที่ได้รับและวินิจฉัยในแต่ละเรื่องว่าควรจะเป็นอย่างไร
ผลของคดีที่เกิดขึ้นจึงมีทั้งสองด้านเสมอ คือที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่หลักการเฃ่นนี้เป็นหลักการที่อารยชนยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่าน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมแก่ยุคสมัยและเหตุการณ์ของสังคมแต่ละแห่งแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกก็ได้มีพระราชดำรัสในเรื่องดังกล่าวไว้ตอนที่ตุลาการศาลปกครองเข้าเฝ้า
จึงนับว่าน่าจะเป็นวิธีการที่สังคมต้องยอมรับ เพราะเรามีสิทธิไม่เห็นด้วย แต่ขอให้ไม่เห็นด้วยในใจ การแสดงออกที่ปรากฎย่อมเป็นสิทธิของคนเราที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แต่ด้องตั้งอยู่บนฐานแห่งเหตุผลเพียงพอด้วย บ้านเมืองจึงจะไม่วุ่นวายไร้ระเบียบ
บทที่ ๖
การดำรงอยู่ของฉันที่ห้างพันธุ์ทิพย์คงต้องจบลงในวันนี้แล้ว เพราะมีวัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งมาเบิกเงินที่ตู้เอทืเอ็ม เธอคนนี้หน้าตาอิดโรยเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม เบ้าตาลึกดูหมองคล้ำ รูปร่างผอมเกร็ง ใส่เสื้อสายเดี่ยวสวมกางเกงขาสั้นรัดรูป ผมกระเซิงเหมือนเพิ่งตื่นนอน เธอมาพร้อมวัยรุ่นชายอีกคนหนึ่งซึ่งเดินโอบกอดเธอมาตลอดทางอย่างเปิดเผยแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของเธออย่างเต็มที่
ฉันมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคู่รักกัน พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดทั้งคู่ ฝ่ายหญิงมาอยู่กับฝ่ายชายที่หอพักแห่งหนึ่งในละแวกนั้น
วันนี้ที่มาเบิกเงินก็เพราะเพิ่งได้รับเงินจากทางบ้าน จึงต้องรีบมาเบิกเพื่อเอาไปชำระหน้ค่าของกินของใช้ต่างๆที่หอพักซึ่งค้างชำระเอาไว้ กับเก็บไว้ใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่งด้วย มิฉะนั้น ต่อไปจะติดค้างชำระไว้ก่อนไม่ได้อีก
ชีวิตของวัยรุ่นที่เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงมักจะอยู่ในสภาพชักหน้าไม่ค่อยจะถึงหลังบ่อยๆอย่างนี้แหละ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าไม่รู้จักควบคุมดูแลเรื่องการใช้จ่ายให้ดีๆแล้วละก็ มักจะประสบปัญหาเงินไม่พอใช้หรือเงินขาดมืออยู่บ่อยๆ ยิ่งอยู่ในวัยที่คบเพื่อนต่างเพศหรือคบเพื่อนที่ชอบเที่ยวรักสนุกด้วยแล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆก็ย่อมต้องสูงกว่าปกติอย่างมาก
วัยรุ่นสมัยนี้กับสมัยก่อนไม่ค่อยจะแตกต่างกันเลย คือเป็นวัยที่มักจะใจร้อน ทำอะไรประเภทหุนหันพลันแล่น ใจเร็วด่วนได้ ไม่ค่อยจะคิดอะไรให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำงานทำการอะไรสักอย่าง แต่วัยรุ่นก็เป็นวัยสดใสน่าอิจฉาสำหรับผู้ที่พ้นวัยดังกล่าวมาแล้ว ถ้าย้อนเวลาได้ก็คงต้องมีคนอยากย้อนกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกอย่างแน่นอน วัยรุ่นได้เปรียบตรงที่ว่าอยู่ในวัยที่ร่างกายแข็งแรงกระฉับกระเฉงทำอะไรได้อย่างไม่รู้เหนื่อย แต่วัยชราก็ยังเป็นผู้มีประสบการณ์สูง ทำการสิ่งใดก็รอบคอบกว่า เหมือนที่ว่าขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่า
ชีวิตการเดินทางของฉันในวันนี้จึงต้องระเห็จจากตู้เอทีเอ็มไปอยู่ในลิ้นฃักเก็บเงินของร้านค้าในหอพัก ซึ่งเจ้าของก็เป็นคนเดียวกันกับเจ้าของหอพักแห่งนี้นั่นเอง คื คุณลิ้นจี่ หรือที่เขาเรียกกันว่าป้าอ้วน เพราะความที่แกมีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์นั่นเอง ป้าอ้วนปากร้ายแต่ใจดี ค่อนข้างอารีอารอบ เป็นคนมัธยัสถ์อดออแต่ก็ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวแต่อย่างใด คำที่มักจะเขียนตัวโตๆติดไว้ว่า " จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง" จึงไม่มีปรากฏในร้านค้าของป้าอ้วน ตรงกันข้าม ป้าอ้วนเป็นนักการค้าผู้ชาญฉลาด ยอมให้ลูกหอผัดผ่อนชำระเงินค่าเช่าและค่าซื้อสินค้นต่างๆในร้านค้าประจำหอพักอย่างไม่เกรงกลังว่าจะถูกโกงแต่อย่างใด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแกมีบารมีประจำตัวพอสมควร และเป็นคนที่มีอัธยาศัยไมตรีอย่างดีเลิศนั่นเอง จึงไม่เคยปรากฏว่าแกเคยถูกชักดาบมาก่อนเลย
ป้าอ้วนมีลูกฃายคนเดียว เป็นหมอชนบทประจำอยู่โรงพยาบาลสิบเตียง(โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชฯ)ที่อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น ฐานะการเงินของแกก็อยู่ในฐานะมีอันจะกิน ไม่ใช่แค่พอมีพอกิน ถือเป็นพวกมั่งมี ไม่ใช่มีมั่ง อดมั่งอย่างบางคน
แต่ป้าอ้วนก็เข้าใจหัวอกคนทั่วไปเป็นอย่างดีโดยเฉพาะลูกหอทั้งหลายของแก
เพราะป้าอ้วนเป็นถึงลูกสาวคนเดียวของเจ้าของโรงสีข้าวขนาดใหญ่สมัยก่อนที่สองคลอง จังหวัดฉะเชิงเทรา แต่งงานอยู่กินกับกรรมกรโรงสี พ่อของหมอชนบท ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว อาศัยว่าสามีป้าอ้วนเป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานชนิดหนักก็เอา เบาก็สู้ ฉะนั้นชั่วระยะเวลาไม่กี่ปีที่อยู่ด้วยกัน แกจึงสามารถเปิดร้านขายของเบ็ดเตล็ดต่างๆ แล้วจึงได้ย้ายรกรากมาปักหลักฐานทำมาหากินในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้เงินที่เก็บหอมรอมริบมาสร้างหอพักและร้านค้าแห่งนี้ไว้เก็บกินแบบน้ำซึมบ่อทราย ไม่ร่ำรวยทันทีทันใด แต่ก็มีใช้จ่ายไม่เดือดร้อน จนเดี๋ยวนี้แกก็เลยเหมือนคนประเภทผ้าขี้ริ้วห่อทอง ฉันคงต้องศึกษาเอาไว้แล้วละ.
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๗ nidhi
ฉันเป็นชาวหออยู่กับป้าอ้วนได้เพียงวันเดียว ก็มีอันต้องระเห็จไปอยู่ในกระเป๋าคุณหมอชนบทลูกชายป้าอ้วนซึ่งกลับบ้านมาเยี่ยมแม่ตามกิจวัตรที่เคยทำเดือนละครั้ง
คราวนี้คุณหมอชนบทพกเงินที่ป้าอ้วนยัดเยียดให้ลูกชายนำกลับไปใช้จ่ายที่ต่างจังหวัด เพราะถึงแม้คุณหมอชนบทจะเป็นแพทย์ในโรงพยาบาล แต่ก็เป็นเพียงโรงพยาบาลขนาดเล็กของทางราฃการ จึงได้รับเงินเดือนเพียงเล็กน้อย ไม่อาจเทียบรายได้กับแพทย์ตามโรงพยาบาลเอกชนได้ และถึงแม้ตุณหมอชนบทจะเปิดคลินิกด้วย รายได้ก็ยังไม่มีมากมายอะไรนัก เพราะประชาชนตามชนบทยังยากไร้อยู่อีกมาก การหวังร่ำรวยจากการทำงานโรงพยาบาลและคลินิกที่ตั้งอยู่ในชนบทจึงเป็นเรื่องหวังไม่ได้และไม่ควรหวัง
คุณหมอชนบทเป็นคนรูปร่างสันทัด ผิวคล้ำสองสี ใส่แว่นตากรอบทอง ท่าทางใจดี เปี่ยมอัธยาศัยอย่างเดียวกับป้าอ้วนผู้เป็นแม่
วันที่คุณหมอชนบทเดินทางกลับไปปฏิบัติราชการ คุณหมอนั่งรถบขส.ปรับอากาศเดินทางกลับจังหวัดขอนแก่น เพราะสะดวกสบายปลอดภัยกว่าการขับรถเอง ทั้งนี้รถยนต์ที่คุณหมอชนบทใช้อยู่เป็นเพียงรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ขนาดเล็กไม่เหมาะสำหรับเดินทางไกลหรือข้ามจังหวัด
เมื่อกลับถึงบ้านบ้านพักในบริเวณโรงพยาบาล คุณหมอชนบทก็อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนพักผ่อนก่อนจะไปทำงานตามภารกิจปกติประจำวัน โดยตื่นนอนตั้งแต่เวลาประมาณ ๐๔.๓๐ นาฬิกา ออกกำลังกายด้วยการเดินแกมวิ่งรอบโรงพยาบาล บางวันก็วิ่งไปที่ตลาดเช้าเพื่อซื้อปาท่องโก็กับกาแฟด้วย เสร็จแล้วจึงกลับมาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเตรียมตัวไปเดินตรวจเยี่ยมไข้หรือคนไข้ อย่างที่หมอเรียกกันว่า ไปราวน์คนไข ประมาณ ๓๐ นาที แล้วจึงกลับไปปฏิบัติภารกิจประจำวันในการตรวจรักษาคนไข้ทั่วไปที่มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
คนไช้ที่มาขอรับการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นคนไข้แผนกอายุรกรรมทั่วไป ส่วนที่ต้องผ่าตัดหรือศัลยกรรมจะมีน้อยกว่า แต่บางทีถ้าเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ความโกลาหลย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน
ตกเย็นเวลาประมาณ ๑๗.๓๐นาฬิกา คุณหมอชนบทจึงเดินทางไปยังคลินิกซึ่งร่วมทุนกับเพื่อนหมออีกสองคน กับมีพยาบาลอีกหนึ่งคนและผู้ช่วย ช่วยกันดูแลในการตรวจรักษา
อนึ่ง ตลอดระยะเวลา ๒๔ชั่วโมง ถ้ามีการติดตามตัวโดยด่วน คุณหมอชนบทก็ยังต้องไปปฏิบัติภารกิจในทันที ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน
คืนนี้เป็นกำหนดเวลาจ่ายเงินให้คุณพยาบาลและผู้ช่วยที่คลินิก ฉันจึงต้องย้ายจากกระเป๋าคุณหมอไปอยู่ในกระปี๋คุณพยาบาลด้วยเหตุฉะนี้แล (อนุโลมจากกระเป๋ารถเมล์และกระปี๋รถเมล์สมัยก่อน)
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๘ nidhi
คุณพยาบาลประจำโรงพยาบาลหนองแวงเป็นหญิงสาวที่ไม่ถึงกับสวยอะไรนัก แต่ก็เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์และมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีเยี่ยม สังเกตได้จากทั้งคนไข้ที่ไปโรงพยาบาลและไปที่คลินิกว่า ต่างก็มีหน้าตายิ้มแย้มโอภาปราศัยเวลาที่พบหน้ากัน คุณพยาบาลคนนี้เรียนจบวิชาการพยาบาลจากศิริราชพยาบาล เมื่อไปทำงานที่หนองแวงแล้วจึงเรียนต่อจนจบการศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และกำลังเรียนต่อเป็นมหาบัณฑิตชั้นปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ฉันยังได้ยินจากพวกพยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่า คุณพยาบาลได้หมั้นหมายไว้กับคุณหมอชนบทเมื่อเดือนก่อน และมีโครงการจะแต่งงานกันในราวต้นปีหน้าที่จะถึงนี้ โดยคุณหมอชนบทได้รับการทาบทามให้ไปทำงานที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ย่านถนนประชาชื่น ในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนคุณพยาบาลก็เตรียมตัวไปรับตำแหน่งใหม่ที่กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขประมาณต้นปีหน้าเช่นเดียวกัน ฉันกลายเป็นเงินบริจาคทำบุญให้แก่มูลนิธิสมเด็จย่า ซึ่งเป็นเหตุให้ฉันถูกนำฝากเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด และต่อมาก็ถูกเบิกไปเก็บไว้เป็นเงินทุนสำรองหมุนเวียนของสำนักงานจังหวัด ซึ่งจักได้กล่าวในตอนต่อไป สำหรับตอนนี้เพื่อเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ ฉันจึงใคร่ขอถือโอกาสแนะนำจังหวัดขอนแก่นโดยสรุป ดังนี้
ขอนแก่น เป็นศูนย์กลางของภาคอีสานทั้งในด้านภูมิศาสตร์หรือสภาพที่ตั้ง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการศึกษาและเทคโนโลยีของภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้ด้วย โดยเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์อารยธรรมและธรรมชาติที่สำคัญระดับโลกแห่งหนึ่งก็ว่าได้ ขอนแก่น เดิมเรียกว่าขามแก่น ดังจะเห็นได้จากการที่มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ระบุไว้
คำขวัญประจำจังหวัดขอนแก่นมีว่า “ พระธาตุขามแก่น เสียงแคนดอกคูณ ศูนย์รวมผ้าไหม ร่วมใจผูกเสี่ยว เที่ยวขามแก่นนครใหญ่ ไดโนเสาร์ลือก้อง เหรียญทองโอลิมปิก”
สถานที่น่าสนใจในอำเภอเมือง ที่ค่อนข้างสะดุดตา เป็นธรรมชาติ ดูร่มรื่น น่าจะเป็นบึงแก่นนคร ซึ่งเป็นบึงขนาดใหญ่มีเนื้อที่ถึง ๖๐๓ ไร่ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลกลางเมืองขอนแก่น และเป็นที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์ “เจ้าเพี้ยเมืองแพน” ผู้ก่อตั้งเมืองขอนแก่น มีพระธาตุขามแก่นที่อำเภอน้ำพอง ที่อำเภออุบลรัตน์ ก็มีเขื่อนอุบลรัตน์ ที่เดิมเรียกกันว่าเขื่อนน้ำพอง แต่ในเอกสารของการท่องเที่ยวระบุว่าเดิมเรียก เขื่อนพองหนีบ ส่วนที่ดังกึกก้องไปทั่วโลกเห็นจะได้แก่ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง และอุทยานแห่งชาติภูเวียง โดยที่ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีการสำรวจแหล่งแร่ยูเรเนียมที่อุทยานแห่งชาติภูเวียง แล้วค้นพบซากกระดูกหัวเข่าข้างซ้ายของไดโนเสาร์ จึงขุดค้นต่อไปจนพบฟอสซิลไดโนเสาร์พันธุ์กินพืช ซึ่งไม่เคยพบที่ใดมาก่อน จึงอัญเชิญพระนามของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯมาตั้งชื่อไดโนเสาร์พันธุ์นี้เป็นการเฉลิมพระเกียรติว่า “ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ” (Phuwianggosaurus Sirindhornae) และในหลุมเดียวกันนี้ยังค้นพบฟันของไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้ออีกมากกว่า ๑๐ ซี่ ซึ่งหนึ่งในกลุ่มฟันที่พบนี้มีลักษณะแตกต่างออกไปเป็นพิเศษ และพบว่าเป็นฟันของไดโนเสาร์กินเนื้อที่ไม่ทราบชื่อมาก่อนเลยเช่นเดียวกัน จึงตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ คือ นายวราวุธ สุธีธร ว่า “ไซแอม โมซอรัส สุธีธรนี่” (Siamosaurus Suteethorne) นอกจากนี้ยังพบฟอสซิลของ “ไซแอมโมไทรันนัส อีสานเอ็นซิส” (Siamotyrannus Isanensis) ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าไดโนเสาร์จำพวกไทรันโนซอร์มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชีย เพราะฟอสซิลที่ค้นพบมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึง ๑๒๐-๑๓๐ ล้านปี นอกจากนี้ที่อำเภอภูเวียง ยังเป็นที่ตั้งหมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยอีกด้วย ส่วนอำเภอที่ชื่อกระฉ่อนทางโทรทัศน์ทั่วประเทศในขณะนี้ก็คืออำเภอชุมแพ นั่นเอง
สำหรับที่อำเภอมัญจาคีครี ก็ยังเป็นแหล่งกล้วยไม้ป่าธรรมชาติที่มีชื่อสียง คือ ช้างกระ และเป็นที่ตั้ง หมู่บ้านเต่า ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า เต่าเพ็ก เป็นเต่าบก อาศัยอยูตามใต้ถุนบ้านและตามถนนหนทางในหมู่บ้าน เป็นเต่าทีมีกระดองสีเหลืองแก่ปนน้ำตาล มีอยู่เป็นจำนวนมากในหมู่บ้านดังกล่าว
สถานที่สำคัญอีกแห่ง คือ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัดขอนแก่น ที่อำเภอบ้านไผ่
ท้ายบทการเดินทางฉบับนี้ จึงขอย้อนกลับไปนอนรอการเดินทางต่อไปที่สำนักงานจังหวัดขอนแก่น
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๙
ฉันไปอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นได้ ๓ วันแล้ว แต่ยังไม่ได้เห็นศาลหลักเมืองของจังหวัดนี้เลย คราวนี้สบโอกาสเพราะต้องไปประจำการเป็นเงินกองทุนหมุนเวียนอยู่ที่สำนักงานจังหวัดซึ่งอยู่ในบริเวณอาคารศาลากลางจังหวัดขอนแก่นที่ถนนกลางเมือง มีถนนศูนย์ราชการขนานปิดด้านทิศเหนือทางไปจังหวัดอุดรธานี และมีถนนหน้าศูนย์ราชการขนานปิดด้านทิศใต้ซึ่งอยู่คู่ขนานกับถนนประชาสโมสรที่เป็นที่ตั้งสถานีขนส่งจังหวัดกับเป็นเส้นทางไปสนามบินด้านถนนมะลิวัลย์ ทางไปอำเภอชุมแพนั่นเอง
ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์หลักเมือง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะของชาวขอนแก่นเป็นอย่างยิ่ง และมีความเกี่ยวพันกับอำเภอชุมแพอย่างลึกซึ้ง เพราะท่านเจ้าคุณปู่พระราชสารธรรมมุนีกับหลวงธุรนัยพินิจ อดีตพ่อเมืองขอนแก่นได้นำหลักศิลาจารึกที่ขุดพบในโบราณสถานท้องที่อำเภอชุมแพมาประกอบพิธีทางศาสนาและตั้งเป็นศาลหลักเมืองตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ เป็นต้นมา
จังหวัดขอนแก่นมีอาณาเขตทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดอุดรธานีและเลย ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ ทิศตะวันออก คิดต่อกับจังหวัดกาฬสินธุ์และมหาสารคาม ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดเพชรบูรณ์และชัยภูมิ
เป้าหมายการพัฒนาจังหวัดขอนแก่นบ่งบอกว่าต้องการทำให้เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงสู่อินโดจืน แล้วเป้าหมายของเราแต่ละคนคืออะไร
ที่จังหวัดขอนแก่นมีอำเภอหนึ่งชื่อเหมือนคุณหมอของเรา นั่นคืออำเภอชนบท ที่อำเภอนี้มีการแสดงผ้าไหมมัดหมี่ที่แพงที่สุดในโลกด้วย โดยจัดแสดงที่ศาลาไหมไทย หรือ
อาคารเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา มหาราชินี ตั้งอยู่บริเวณวิทยาลัยการอาชีพขอนแก่น ซึ่งเป็นศูนย์สืบสานพระราชปณิธานงานศิลปาชีพด้านผ้าไหมของภาคอีสาน รวมทั้งเป็นศูนย์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอีสาน
เทศกาลงานประเพณีที่สำคัญๆของคนขอนแก่น ได้แก่ เทศกาลดอกคูณเสียงแคนและถนนข้าวเหนียว เทศกาลไหว้พระธาตุขามแก่น งานเทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยวและงานกาชาด
สินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึก ได้แก่ผ้าไหมมัดหมี่ อำเภอชนบท ผ้าฝ้ายมัดหมี่บ้านเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ ผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ
ที่จัดว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไทยในชนบทต่างๆที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือ สามล้อถีบหรือสามล้อปั่น อย่างรถจักรยาน สมกับที่เรียกว่าเป็นอาชีพที่หากินด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างหนึ่งนั่นเอง
ที่จังหวัดขอนแก่นยังมีหอเกียรติยศรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อยู่ที่ค่ายเปรมติณสูลานนท์อีกด้วย แต่ไม่ได้อยู่ที่อำเภอเมืองหรอกนะ เพราะค่ายทหารดังกล่าวตั้งอยู่ที่อำเภอน้ำพอง
สถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งไม่อาจละเว้นที่จะกล่าวถึงได้เลย และน่าจะเป็นสถานที่แห่งแรกๆของนักท่องเที่ยวทั้งหลายที่จะต้องไปติดต่อขอรายละเอียดต่างๆ นั่นก็คือสำนักงานท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และจำเพาะอย่างยิ่งว่าที่จังหวัดขอนแก่นเป็นที่ตั้งสำนักงาน ททท.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต๓ อยู่ที่ ๑๕/๕ ถนนประชาสโมสร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๔๐๐๐๐. โทร. ๐๔๓-๒๔๔๔๙๘-๙ โทรสาร ๐๔๓-๒๔๔๔๙๗ E-mail : tatkhkn@tat.or.th พื้นที่รับผิดชอบ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ (อาจเปลี่ยนแปลงพื้นที่รับผิดชอบได้) ฉะนั้น สถานที่แห่งแรกที่เราควรจะไปติดต่อขอรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ซึ่งจะเข้าไปท่องเที่ยวหรือว่าทำธุระก็คือสถานที่ของการท่องเที่ยวหรือศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวของแต่ละจังหวัด ซึ่งจะช่วยในการท่องเที่ยวหรือติดต่อธุระได้อย่างมากทีเดียว เพราะเด็ยวนี้มีข้อมูลหลากหลายรูปแบบทั้งในรูปแบบหนังสือ แผ่นพับและซีดีข้อมูล อย่างน้อยที่สุดก็มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับซึ่งสามารถให้คำแนะนำต่างๆได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลท่องเที่ยวหรือข้อมูลด้านอื่นของจังหวัดนั้นๆ และที่สะดวกสบายอย่างยิ่งตลอด ๒๔ ชั่วโมง สำหรับท่านที่ใช้อินเตอร์เนต คือ สามารถเข้าไปที่เวปต์ไซต์การท่องเที่ยวหรือเวบไซต์ของจังหวีดเพื่อค้นหารายละเอียดเบื้องต้นก่อนเข้าไปสัมผัสสภาพความเป็นจริงก่อนล่วงหน้าก็ได้ด้วย
ฉันคงมีเวลาอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เพราะหน้าที่ใหม่ของฉันในขณะนี้ก็คือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายในเหตุฉุกเฉินของจังหวัด ซึ่งคาดว่าคงจะยังไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน เพราะไม่มีวี่แววว่าจะเกิดอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติร้ายแรงอย่างใด แต่ก็อย่างที่ว่าไม่มีอะไรแน่นอน อุบัติเหตุ อุบัติภัยย่อมเกิดได้ตลอดเวลา การเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆด้วยความไม่ประมาท จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทำ สำหรับค่ำวันนี้ฉันคงนอนในห้องนิรภัยของจังหวัดไปพลางก่อน
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๑๐
คุณธนบัตรเดินทางจากกรุงเทพมหานครมาถึงจังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคอีสานแล้วโดยสวัสดิภาพ จนกระทั่งมาอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดขอนแก่นในบัดนี้แล้ว เช้านี้เป็นเช้าวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ แต่บนศาลากลางจังหวัดขอนแก่นก็ไม่ได้เงียบเหงาแต่ประการใด เพราะข้าราชการและเจ้าหน้าที่ต่างๆยังคงขะมักเขม้นทำการงานตามหน้าที่ของตนตามปกติ ยกเว้นเสียแต่ว่าไม่ได้แต่งกายชุดเครื่องแบบข้าราชการเหมือนวันทำงานปกติเท่านั้น เพราะช่วงเวลานี้ของทุกปีจะเป็นช่วงปลายปีงบประมาณซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๐ กันยายนของแต่ละปี ฉะนั้นหน่วยงานต่างๆจึงเร่งรีบปิดงบประมาณเพื่อเตรียมการสำหรับงบประมาณในปีต่อๆไปซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาก่อน
ฉันได้ไปอยู่ในส่วนของสำนักงานจังหวัด โดยอยู่ในความดูแลของปลัดจังหวัดซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างจากอักษรเลข(เลขานุการ)ของผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัดเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ ๓๕ ปี ชื่อปลัดบัญชา ยังเป็นคนโสด ฉะนั้นการประสานราชการกับหน่วยราชการจังหวัดอื่น ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมักจะมอบหมายให้ปลัดบัญชาเป็นผู้ไปติดต่อประสานงาน ซึ่งก็ได้รับคำชมเชยมาตลอด
ในตอนสายของวันเสาร์ดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดได้มอบหมายให้ปลัดบัญชาไปประสานราชการที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยได้ลงนามคำสั่งอนุญาตให้ปลัดบัญชาไปราชการที่จังหวัดเพชรบูรณ์มีกำหนด ๕ วัน นับตั้งแต่วันเสาร์ เวลา ๐๙.๐๐ น.เป็นต้นไป
ปลัดบัญชาเดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดเพื่อพบผู้ว่าฯก่อนออกเดินทาง หลังจากนั้นปลัดบัญชาจึงออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวไปตามเส้นทางไปอำเภอชุมแพ โดยแวะรับประทานอาหารกลางวันที่อุทยานแห่งชาติน้ำพอง ที่อำเภอหนองเรือ แล้วเดินทางต่อไปที่อำเภอชุมแพ ผ่านอำเภอภูผาม่าน และเดินทางถึงจังหวัดเพชรบูรณ์เวลาประมาณ ๑๗.๐๐น. (ระยะทางห่างจากจังหวัดขอนแก่นประมาณ ๒๔๐ กิโลเมตร) เข้าพักที่เพชรโฮเต็ล ถนนพระพุทธบาท ตำบลในเมือง ซึ่งมีห้องพักประมาณ ๑๙ ห้อง ราคาค่าที่พักคืนละ ๑๒๓-๑๙๔ บาท เมื่อเข้าพักแล้ว ปลัดบัญชาก็อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนัดพบคุณหมอหล่มสัก เพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันซึ่งขณะนี้เป็นแพทย์ทางอายุรกรรมประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเพชรรัคน์ โดยคุณหมอหล่มสักนัดเลี้ยงอาหารและพูดคุยกันที่ทัมมารินทร์ คอฟฟี่ช็อฟ ในโรงแรมบูรพาซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาล
เมื่อถึงเวลา ๑๙.๐๐น. ปลัดบัญชาไปถึงห้องอาหารทัมมารินทร์ ก็พบคุณหมอหล่มสัก กับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นอัยการจังหวัดเพชรบูรณ์รออยู่ก่อนแล้ว จึงได้พูดคุยและรับประทานอาหารด้วยกันจนถึงเวลาประมาณ ๒๑.๐๐น. จึงได้แยกย้ายกันกลับที่พัก รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ก็นัดพบกันเวลา ๐๖.๐๐ น.ที่โรงแรมเพชรโฮเต็ล โดยคุณหมอหล่มสักกับอัยการวิรัช จะมารับไปตระเวณชมเมืองเพชรบูรณ์ ตลอดทั้งวัน เพื่อวันจันทร์ ปลัดบัญชาจะได้ไปติดต่อราชการที่ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ต่อไป
ระหว่างที่พักอยู่ที่เพชรโฮเต็ล ปลัดบัญชาก็ได้รับหนังสือแนะนำท่องเที่ยวเพชรบูรณ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงได้สรุปความรู้เกี่ยวกับจังหวัดเพชรบูรณ์ว่า
จังหวัดเพชรบูรณ์ตั้งอยู่ในเขตภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย เป็นจังหวัดที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย แวดล้อมด้วยป่าเขาเขียวขจี ดินแดนมะขามหวานและลูกเสาวรสลือฃื่อ รวมทั้งเป็นต้นกำเนิดไก่ย่างวิเชียรบุรีที่ขายกันเกร่อในกรุงเทพฯด้วย
คำขวัญประจำจังหวัด คือ “เมืองมะขามหวาน อุทยานน้ำหนาว ศรีเทพเมืองเก่า เขาค้ออนุสรณ์ นครพ่อขุนผาเมือง”
แม่น้ำสำคัญที่ไหลผ่านคือแม่น้ำป่าสัก ชื่อเดิมของเพชรบูรณ์ คือ พีชปุระ หรือเพชรบุร ซึ่งแปลว่าเมืองแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหารอันอุดมสมบูรณ์
อาณาเขต ทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดเลย ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดลพบุรี ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดชัยภูมิและขอนแก่น ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดพิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๑๑
คุณธนบัตรเดินทางถึงจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเปรียบเหมือนสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทยพร้อมปลัดบัญชา โดยเข้าพักที่โรงแรมเพชรโฮเต็ล
รุ่งขึ้นปลัดบัญชาตื่นแต่เช้าเวลาประมาณ ๐๕.๐๐น. แวะรับประทานอาหารเช้าที่ตลาดเสร็จแล้วเดินกลับโรงแรมที่พัก เวลาประมาณ ๐๖.๐๐ นฬ คุณหมอหล่มสักกับอัยการวิรัชก็เอารถมารับไปเที่ยวชมเมือง โดยแวะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเพชรบูรณ์ซึ่งอยู่ที่ถนนหลักเมือง ใจกลางเมืองเพชรบูรณ์ เสาหลักเมืองที่นี่เป็นเสาหินที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาจากเมืองศรีเทพ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๗ เมืองศรีเทพเป็นเมืองโบราณแบบทวารวดีและขอม คาดว่ามีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ จึงจัดเป็นเสาหลักเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เยื้องตรงข้ามเสาหลักเมืองจะมองเห็นมะขามยักษ์สีทองผลไม้สัญลักษณ์ของจังหวัดเพชรบูรณ์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองมะขามหวาน ตั้งอยู่ดูสวยงาม ระหว่างเส้นทางดังกล่าวก็แวะนมัสการพระพุทธรูปหลวงพ่อเพชรที่วัดมหาธาตุ วัดพระแก้วในเมืองเดิม และวัดไตรภูมิที่ถนนเพชรรัตน์ ซึ่งในส่วนของวัดไตรภูมิยังเป็นที่มาของประเพณีอุ้มพระพุทธรูปดำน้ำเพื่อความเป็นศิริมงคลของเมืองเพชรบูรณ์ด้วย จากนั้นเราก็เดินทางไปอุทยานแห่งชาติตาดหมอกซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ไปทางตะวันออกเพียง ๓๗กิโลเมตร มีอาณาเขตทั้งสิ้นประมาณ ๒๙๐ตารางกิโลเมตร ผืนป่าอุดมสมบูรณ์ประกอบด้วยเทิอกเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของลำน้ำป่าสักและลำน้ำชีและเป็นพิ้นที่ป่ากันชนให้กับผืนป่าสามแห่งคือ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว และเขครักษาพันธุ์สัตว์ป่าตะเบาะ-ห้วยใหญ่ อุทยานแห่งชาติตาดหมอกเป็นอุทยานฯลำดับที่ ๘๗ของประเทศไทย โดยได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติตั้งแต่ปีพุทธศักราช๒๕๔๑ ภายในอุทยานมีทัศนียภาพที่สวยงามมาก มีน้ำตกขนาดใหญ่ถึงสองแห่งคือ น้ำตกตาดหมอกและน้ำตกสองนางและยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติไปน้ำตกตาดหมอกและน้ำตกสองนางเป็นระยะทาง ๒ กิโลเมตร ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมธรรมชาติและศึกษาพันธุ์ไม้ต่างๆได้ด้วย
ณ อุทยานแห่งชาติตาดหมอกคุณหมอหล่มสักได้ไปจองสถานที่พักไว้ก่อนแล้ว ฉะนั้นการเดินทางในวันนี้จึงได้รับความสะดวกสบายอย่างมาก เพราะเมื่อเดินทางถึงอุทยานแห่งชาติตาดหมอก เราก็เดินทางเข้าที่พักเพื่อเก็บสัมภาระแล้วจึงไปเดินเส้นทางชมธรรมชาติเพื่อไปชมน้ำตกตาดหมอกและน้ำตกสองนางต่อไป
ระหว่างเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ เราได้พบพรรณไม้ต่างๆทั้งไม้ใหญ่ ไม้จำพวกมอส เฟิร์น ไลเคน และยังพบรอยเท้าสัตว์ชนิดต่างๆเข่น เก้ง หมาป่า และยังมีนก ผีเสื้อและนกเงือกให้ได้พบเห็นตลอดเส้นทางด้วย ในส่วนของน้ำตกตาดหมอก อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯตามเส้นทางเดินเท้า ๑.๘กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ชั้นเดียวไหลลงมาจากหน้าผาสูงประมาณ ๗๕๐ เมตร สำหรับน้ำตกสองนางมีความสูงทั้งหมด ๑๒ ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงระหว่าง ๕-๑๐๐ เมตร เราเดินชมเส้นทางและน้ำตกในแบบ ผอ. หรือผู้สูงอายุเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ จึงกลับเข้าที่พักเพื่อทำกิจส่วนตัว เสร็จแล้วเตรียมรับประทานอาหารค่ำ แล้วจึงเสวนากันต่อด้วยเรื่องสัพเพเหระและเข้านอนเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงในวันรุ่งขึ้นต่อไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเดินทางไปอำเภอหล่มสัก แวะสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง ตั้งอยู่ยริเวณสี่แยกหล่มสัก เป็นพระรูปโลหะในอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาทรงดาบปักลงดิน พระหัต์ซ้ายชี้ลงพื้น พ่อขุนผาเมืองนี้เองที่เป็นพระสหายขุนบางกลางหาวหรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กษัตริย์ครองกรุงสุโขทัยผู้ทรงร่วมสถาปนาราชอาณาจักรสุโขทัย
ในอำเภอหล่มสักมีสถานที่ซึ่งน่าไปเที่ยวชม เช่น ถ้ำฤาษีสมบัติ,หลักเมืองหล่มเก่า,อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง(หนองแม่นา)วนอุทยานน้ำตกธารทิพย์, อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว แต่เนื่องจากความกว้างใหญ่ไพศาลของอุทยานแต่ละแห่งประจวบกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เราจึงละเว้นไม่แวะไปที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง โดยจะไปพักที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวในวันนี้และวันถัดไป
ที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง(หนองแม่นา) มีชื่อเสียงมากด้านกิจกรรมดูนก เพราะมีทุ่งหญ้าที่เป็นพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ มีสนและไม้ดอกขึ้นสลับอยู่สวยงาม สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯได้แก่ สะพานแขวน,แก่งวังน้ำเย็น,ทุ่งแสลงหลวง,ทุ่งนางพญา,ทุ่งโนนสน,และเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติทุ่งนา ผกค.
วนอุทยานน้ำตกธารทิพย์ มีพื้นที่อยู่ในท้องที่ตำบลบุ่งน้ำเต้า และตำบลบุ่งคล้า ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขาโปลกหล่นและป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาป่าก่อวังชมภู เป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำป่าสัก สถานที่น่าสนใจประกอบด้วย ศูนย์นิทรรศการ,แก่งน้ำวิ่ง,แก่งมะเดื่อ,ตาดชมพู่,แก่งผาเอียง,น้ำตกธารทิพย์ และวังน้ำริน
จุดที่เราจะไปพักวันนี้คืออุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คืออำเภอหล่มศักดิ์ จังหวัดเพชรบูรณ์, อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีเนื้อที่ประมาณ ๑๙๑,๘๗๕ ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมี่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม๒๕๒๗ เป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติแปลกตาและสวยงาม ทั้งยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ เป็นยุทธภูมิสำคัญในอดีตที่เกิดจากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)
ในบทหน้าเราจะกล่าวถึงรายละเอียดการไปเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวโดยละเอียดต่อไป
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๑๒ nidhi
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว
หลังจากเข้าพักที่บ้านพักในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าแล้ว เราก็เดินทางไปเที่ยวชมปผหล่งท่องเที่ยวต่างๆในอุทยานฯ ซึ่งมีทั้งด้านประวัติศาสตร์และธรรมชาติ เนื่องจากภูหินร่องกล้าเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์เป็นยุทธภูมิสำคัญในอดีตครั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยขยายอำนาจ และยังมีลักษณะภูมิอากาศคล้ายกับภูเขาสูงของจังหวัดเลยเช่นภูกระดึงและภูเรือ อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาว อุณหภูมิจะต่ำประมาณ ๔ องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีประมาณ ๑๘-๒๕องศาเซลเซียส
แหล่งท่องเที่ยวด้านประวัติศาสตร์ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์การสู้รบ,โรงเรียนการเมืองการทหาร,กังหันน้ำ,สำนักอำนาจรัฐ,โรงพยาบาลรัฐ,ลานอเนกประสงค์,สุสาน ทปท.,ที่หลบภัยทางอากาศ และหมู่บ้านมวลชน
แหล่งท่องเที่ยวด้านธรรมชาติ ได้แก่ ลานหินแตก,ลานหินปุ่ม,ผาชูธง,น้ำตกร่มเกล้า-น้ำตกภราดร,น้ำตกศรีพัชรินทร์,น้ำตกหมันแดง,น้ำตกผาลาด,น้ำตกตาดฟ้า,และธารพายุ
กล่าวโดยสรุป ภูหินร่องกล้าเป็นเขตอุทยานแห่งชาติซึ่งรวมความสำคัญของแหล่งประวัติศาสตร์สมัยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกำลังขยายอำนาจทำสงครามแย่งชิงประชาชน ในขณะเดียวกับสถานที่ส่วนหนึ่งก็เป็นแหล่งสะสมกำลังและฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยด้วย เมื่อทางราชการสามารถควบคุมสถานการณ์แยกสลายทำลายฐานที่มั่นดังกล่าวได้แล้ว สำรวจดูสภาพภูมิประเทศเป็นแหล่งเหมาะสมสำหรับการอนุรักษ์ผืนดินและธรรมชาติ จึงประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖กรกฎาคม๒๕๒๗ เป็นต้นมา
เมื่อเราลงจากภูหินร่องกล้าเข้าบ้านพักก็เป็นเวลาแดดร่มลมตกแล้ว ปลัดบัญชากับคณะได้เข้าพบพูดคุยปรึกษากับหัวหน้าอุทยานฯเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปเพื่อนำเอาความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับปรุงในส่วนราชการจังหวัดขอนแก่นในโอกาสต่อไป
รุ่งขึ้นเช้าเราจึงออกเดินทางจากอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าไปยังอุทยานแห่งชาตินน้ำหนาว ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบูรณ์ อุทยานฯน้ำหนาวได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ ๔พฤษภาคม ๒๕๑๕ โดยมีพื้นที่ครอบคลุมป่ารอยต่อสองจังหวัด คือ อำเภอเมืองและอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ และอำเภอคอนสาน จังหวัดชัยภูมิ มีเนื้อที่รวม ๖๐๓,๗๕๐ ไร่ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน อากาศจะหนาวเย็นที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อุณหภูมิประมาณ ๒-๕องศาเซลเซียส เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำป่าสัก,แม่น้ำพอง และแม่น้ำเลย มีสัตว์ป่าชุกชุมรวมทั้งนกชนิดต่างๆ ตามเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติบนเขาสูงผ่านจุดชมวิวริมหน้าผาสวยงาม อาทิ ผากลางโหล่น ผาล้อม ผากอง และน้ำตกอีกหลายแห่ง
สถานที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯน้ำหนาว ได้แก่ น้ำตกตาดพรานบา,ถ้ำผาหงษ์,จุดชมวิวภูค้อ,สวนสนภูกุ่มข้าว,น้ำตกซำผักคาว,ถ้ำใหญ่น้ำหนาว(ภูน้ำริน),น้ำตกเหวทราย,น้ำผุด,ป่าเปลี่ยนสีและภูผาจิต(ภูด่านอีป้อง)
เราแวะเข้าที่พักฯแล้วเดินชมป่าจนถึงเวลาเย็น จึงกลับที่พัก รับประทานอาหารเย็นพร้อมหัวหน้าอุทยานฯ ปรึกษาเรื่องทั่วๆไปเพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในงานราชการที่รออยู่
รุ่งเช้าคณะของเราที่ประกอบด้วยปลัดบัญชา คุณหมอหล่มสักและอัยการวิรัช จึงเดินทางกลับจังหวัดเพชรบูรณ์ พบผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์และคณะเพื่อปรึกษาหารือข้อราชการต่างตามที่ได้รับมอบหมายแล้วจึงเดินทางกลับจังหวัดขอนแก่น
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๑๓ nidhi
ระหว่างเดินทางกลับจังหวัดขอนแก่น ปลัดบัญชากับคณะเดินทางไปยังจังหวัดชัยภูมิซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกันเพื่อแวะเยี่ยมอัยการสิทธิผล เพื่อนรุ่นเดียวกันซึ่งขณะนี้เป็นอัยการจังหวัดชัยภูมิ
ชัยภูมิ เมืองผู้กล้า พญาแล เป็นคำขวัญปัจจุบัน เดิมชัยภูมิมีคำขวัญประจำจังหวัดว่า “เมืองโบราณ บ้านนักสู้ ภูเสียดฟ้า ป่าช้างหลาย ทุ่งไพร่รก น้ำตกใส ผ้าไหมดี สตรีงาม แดนธรรมแดนทอง”
ตราสัญลักษณ์เมืองชัยภูมิ เป็นรูปธงสามชาย หมายถึง ธงแห่งชัยชนะสงคราม เดิมเมืองชัยภูมิขึ้นกับเมืองนครราชสีมา ในรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏว่ากลายเป็นเมืองร้าง และมีชาวเวียงจันทน์อพยพเข้าไปอยู่ จึงตั้งเป็นเมืองใหม่ในเวลาต่อมา เรียกว่าจังหวัดชัยภูมิ ตั้งอยู่บนสันขอบที่ราบสูงอีสาน มีพื้นที่ติดต่อกับภาคกลางและภาคเหนือ เป็นดินแดนแห่งทุ่งดอกกระเจียวอันงดงามและสายน้ำตกชุ่มฉ่ำในฤดูฝน เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน มีเทือกเขาสำคัญได้แก่ ภูพังเหย,ภูแลนคา และภูพญาฝ่อ อันเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำชี
ด้านประวัติศาสตร์ ชัยภูมิมีอารยธรรมซ้อนทับกันหลายสมัยตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยขอม จนถึงอิทธิพลลาวล้านช้าง มีการค้นพบโบราณสถาน โบราณวัตถุมากมายในหลายพื้นที่ของจังหวัด ต่อมาปรากฏชื่อเป็นเมืองหน้าด่านสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายหลังจึงร้างไป และมาปรากฏชื่ออีกครั้งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีชาวเวียงจันทน์เข้ามาสร้างบ้านแปงเมือง มีผู้นำชื่อ แล ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองคนแรกของชัยภูมิ
สถานที่น่าสนใจในอำเภอเมืองชัยภูมิ ได้แก่ อนุสาวรีย์พระยาภักดีชุมพล(แล) ,ศาลเจ้าพ่อพญาแล,อุทยานแห่งชาติตาดโดน,วัดพระพุทธบาทภูแฝด,วัดสระหงษ์,วัดศิลาอาสน์ ภูพระ, ปรางค์กู่,ใบเสมาบ้านกุดโง้ง,อุทยานแห่งชาติภูแลนคา
สำหรับอำเภอคอนสาร ยังเป็นที่ตั้งเขื่อนน้ำพรมหรือที่เรารู้จักกันทั่วไปว่าเขื่อนจุฬาภรณ์ลักษณะเขื่อนเป็นเขื่อนหินถม แกนกลางเป็นดินเหนียวบดอัดทับแน่นด้วยหินและกรวดเป็นลักษณะเขื่อนเอนกประสงค์ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)โดยใช้ประโยชน์ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและอำนวยประโยชน์ด้านชลประทาน ช่วยระบายน้ำเพื่อการเพาะปลูกในฤดูแล้งในพื้นที่การเกษตร นอกจากนี้ในอ่งเก็บน้ำของเขื่อนจุฬาภรณ์ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดที่สำคัญของประเทศไทยด้วย
ภายในเขื่อนจุฬาภรณ์มีสถานที่ท่องเที่ยวได้แก่ พระพุทธสิริสัคคราชจำลอง(หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์),สวนเขื่อนจุฬาภรณ์,พืชโบราณ ๓๒๕ล้านปี,ศาลาชมวิวหลุบควน,และสนามริมน้ำข้างพระตำหนัก
นอกจากนี้ในเขตอำเภอคอนสาร ยังเป็นที่ตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวและสถานีวิจัยเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าภูเขียวให้ผู้สนใจเข้าชมทุกวันด้วย
เทศกาลงานประเพณีของชาวจังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ งานฉลองอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพระยาแลระหว่างวันที่ ๑๒-๒๐ มกราคมของทุกปี,งานประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อพระยาแล ในวันจันทร์แรกของเดือนพฤษภาคมทุกปี, งานแห่เทียนเข้าพรรษาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘, ประเพณีรำผีฟ้า ปีละ ๒ ครั้งของทุกปีในวันขึ้น ๑๓-๑๕ ค่ำเดือน ๕ และวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๓ ณ บริเวณเขาภูพระ, งานบุญเดือนสี่ ในวันขึ้น๑-๓ ค่ำ เดือน ๕ และงานวันดอกกระเจียวบานที่จัดขึ้นปลายเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อำเภอเทพสถิต
เนื่องจากเป็นช่วงเวลานอกฤดูกาลท่องเที่ยว และปลัดบัญชาต้องเดินทางกลับจังหวัดขอนแก่นเพื่อปฏิบัติราชการ ฉะนั้นเมื่อแวะหาอัยการสิทธิผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปลัดบัญชาก็เดินทางกลับจังหวัดขอนแก่นเพื่อปฏิบัติภารกิจที่รับผิดชอบต่อไป
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๑๔ nidhi
ปลัดบัญชาเดินทางกลับไปรายงานตัวต่อผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นพร้อมทั้งส่งรายงานการเดินทางเพื่อทำเรื่องเบิกจ่ายจากคลังจังหวัดเสร็จแล้ว ตอนบ่ายก็มีประชุมหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด มีการเสนอโครงการ “ส่งเสริมเที่ยวเมืองไทยสืบสานวัฒนธรรมไทย” ซึ่งปลัดบัญชาเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยที่ประชุมมอบหมายให้ปลัดบัญชาไปศึกษาและผลักดันโครงการให้มีประสิทธิผลสูงสุด
สองวันถัดมา ปลัดบัญชาจึงนำร่องโครงการด้วยการเดินทางไปสัมนาที่จังหวัดมหาสารคามและจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นจุดแรกของโครงการ
จังหวัดมหาสารคาม อยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ใจกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีบรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบ และเป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษาของภูมิภาคนี้ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่งด้วย จึงได้ชื่อว่าเป็น”ตักศิลาแห่งภาคอีสาน” ตามที่ปรากฏคำขวัญประจำจังหวัดว่า “พุทธมณฑลอีสาน ถิ่นฐานอารยธรรม ผ้าไหมล้ำเลอค่า ตักศิลานคร”
จังหวัดมหาสารคามอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ ๔๗๕ กิโลเมตร มีเนื่อที่ประมาณ ๕,๒๙๑ ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น ๑๑ อำเภอ และ ๒ กิ่งอำเภอ คืออำเภอเมืองมหาสารคาม กันทรวิชัย โกสุมพิสัย วาปีปทุม บรบือ พยัคฆภูมิพิสัย นาเชือก เชียงยืน นาดูน แกดำ และยางสีสุราช กับกิ่งอำเภอกุดรัง และชื่นชม
อาณาเขตทิศเหนือติดกับจังหวัดกาฬสินธุ์ ทิศใต้ติดกับจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดร้อยเอ็ด ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดขอนแก่น
สถานที่น่าสนใจในอำเภอเมือง ประกอบด้วยศูนย์ศิลปวัฒนธรรมอีสาน พิพธภัณฑ์วัดมหาชัย แก่งเลิงจาน หมู่บ้านปั้นหม้อ กู่มหาธาตุ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และอุทยานมัจฉาโขงกุดหวาย
อำเภอนาดูน ประกอบด้วย กู่สันตรัตน์ พระธาตุนาดูน และสถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช
อำเภอนาเชือก ประกอบด้วย เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดูนลำพันซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายากและปูทูลกระหม่อมหรือปูแป้ง ซึ่งเป็นปูน้ำจืดที่สวยที่สุดในโลก ตัวขนาดใหญ่กว่าปูนา ลำตัวมีหลายสี เช่น ม่วง ส้ม เหลือง และขาว พบเฉพาะที่ป่าดูนลำพันแห่งนี้เท่านั้น
อำเภอกันทรวิชัย ประกอบด้วย พระพุทธรูปยืนมงคลที่ตำบลคันธารราษฎร์ และพระพุทธมิ่งเมือง ที่วัดสุวรรณาวาส ตำบลโคกพระ
อำเภอโกสุมพิสัย ประกอบด้วยหมู่บ้านหัตถกรรมบ้านหนองเขื่อนช้าง บ้านแพง วนอุทยานโกสัมพี และบึงบอน
เทศกาลงานประเพณี ได้แก่ งานแห่เทียนเข้าพรรษา งานบุญบั้งไฟ งานบุญเบิกฟ้าและกาชาด งานนมัสการพระธาตุนาดูน งานออนซอนกลองยาวชาววาปีของดีพื้นเมือง งานบุญพาข้าวลิง และงานประเพณีแข่งเรือยาว ลอยกระทงและล่องเรือไฟ
ปลัดบัญชาเดินทางมาสัมนาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อสัมนาเกี่ยวกับวัฒนธรรมอีสาน ณ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน และแวะชมศูนย์ศิลปวัฒนธรรมอีสานในบริเวณสถาบันราชภัฏมหาสารคาม ด้วย จากนั้นก็เดินทางไปจังหวัดกาฬสินธุ์เพื่อพบกับปลัดขุนแห่งเมืองสหัสขันธ์ตามที่นัดหมายไว้
ปลัดบัญชาเดินทางถึงอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ พักแรมที่โรงแรมริมปาว ถนนกุดยางสามัคคี ซึ่งปลัดขุนได้ไปรออำนวยความสะดวกให้แล้ว และนัดหมายพร้อมกันที่โรงแรมริมปาว เวลา ๐๖.๐๐ น. เพื่อนำชมเมืองกาฬสินธุ์ต่อไป
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๑๕ nidhi
คามรอยไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว
รุ่งเช้าเวลาประมาณ ๐๕.๐๐ น. ปลัดบัญชาก็ลงไปเดินเล่นที่ตลาดเช้าเสร็จแล้วกลับมารอปลัดขุนที่ห้องโถงโรงแรมริมปาว ระหว่างที่นั่งรอก็อ่านหนังสือแนะนำจังหวัดกาฬสินธุ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้รับความรู้เกี่ยวกับจังหวัดกาฬสินธุ์ ว่า กาฬสินธุ์เป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน จากหลักฐานทางโบราณคดีบ่งบอกว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าละว้าซึ่งมีความเจริญทางด้านอารยธรรมประมาณ ๑,๖๐๐ ปี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เริ่มตั้งเป็นเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๓๖ โดยท้าวโสมพะมิตรได้อพยพหลบภัยมาจากดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงพร้อมไพร่พล และมาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำปาว เรียกว่า “บ้านแก่งสำโรง” แล้วได้นำเครื่องบรรณาการเข้าถวายสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ต่อมาได้รับพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯยกฐานะบ้านแก่งสำโรง ขึ้นเป็นเมือง และพระราชทานนามว่า เมืองกาฬสินธุ์ หรือ เมืองน้ำดำ ทั้งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ท้าวโสมพะมิตร เป็น พระยาชัยสุนทร ครองเมืองกาฬสินธุ์เป็นคนแรก
กาฬสินธุ์อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ๕๑๙ กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมด ๗,๐๕๕.๐๗ ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศตอนบนเป็นภูเขาตามแนวเทือกเขาภูพาน ตอนกลางเป็นเนินเขาสลับป่าโปร่ง แบ่งการปกครองออกเป็น ๑๔ อำเภอ ๔ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ยางตลาด กมลาไสย สหัสขันธ์ สมเด็จ กุฉินารายณ์ ท่าคันโท เขาวง ห้วยเม็ก คำม่วง หนองกุงศรี นามน ห้วยผึ้ง และร่องคำ กับกิ่งอำเภอสามชัย นาคู ดอนจาน และฆ้องชัย
อาณาเขตทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดอุดรธานีและสกลนคร ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดร้อยเอ็ดและมหาสารคาม ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดสกลนครและมุกดาหาร ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดมหาสารคาม,ขอนแก่นและอุดรธานี
เดิมจังหวัดกาฬสินธุ์มีคำขวัญประจำจังหวัดว่า “เที่ยวเมืองกาฬสินธุ์ ถิ่นโบราณมากมี แซ่บอีหลีเนื้อเค็ม น้ำเต็มเขื่อนดินยาว สาวสวยภูไท ผ้าไหมแพรวา ฮือฮาโปงลาง” แต่ปัจจุบันเปลี่ยนคำขวัญใหม่เป็น “เมืองฟ้าแดดสงยาง โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี”
สัญลักษณ์ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ปรากฏในตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดเป็นรูปบึงใหญ่ ติณชาติและพยับเมฆฝนบ่งบอกสัญลักษณ์ของความชุ่มชื่นและอุดมสมบูรณ์ของภูมิภาคนี้ ทิวเขาตรงสุดขอบฟ้าคือแนวกั้นเขตแดนกับจังหวัดใกล้เคียง น้ำในบึงเป็นสีดำเพื่อให้ตรงกับชื่อของจังหวัด กาฬสินธุ์ตั้งเป็นเมืองเมื่อ พ.ศ.๒๓๓๗ เพราะชาวเมืองเวียงจันทน์อพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่มากที่ ดงสงเปลือย ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ซึ่งสีน้ำในขณะนั้นขุ่นข้น จังหวัดกาฬสินธุ์แยกออกมาจากจังหวัดมหาสารคาม เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๐
สถานที่น่าสนใจในอำเภอเมืองได้แก่ อนุสาวรีย์พระยาชัยสุนทร(ท้าวโสมพะมิตร) วัดกลางวัดศรีบุญเรือง(วัดเหนือ) พิพิธภัณฑ์ของดีจังหวัดกาฬสินธุ์ พุทธสถานภูปอ และบ้านพ่อครูเปลื้อง ฉายรัศมี ศิลปืนแห่งชาติ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ สาขา
ศิลปะการแสดงด้านดนตรีพื้นเมือง
อำเภอกมลาไสย ได้แก่ เมืองฟ้าแดดสงยาง พระธาตุยาคูหรือพระธาตุใหญ่ และวัดโพธิ์ชัยเสมารามหรือวัดบ้านก้อม
อำเภอยางตลาด ได้แก่ เขื่อนลำปาว และสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าลำปาว(สวนสะออน)
อำเภอท่าคันโท ได้แก่ วนอุทยานภูพระซึ่งเดิมเป็นป่าภูพระอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงมูล มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้แก่ ผาเสวย ถ้ำเสียมสับ ถ้ำพระรอด ผาหินแยก และถ้ำพระ
อำเภอสหัสขันธ์ ได้แก่พิพิธภัณฑ์แหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว พุทธสถานภูสิงห์ วัดพุทธนิมิต(ภูค่ว) และแหลมโนนวิเศษ
อำเภอคำม่วง ได้แก่ กลุ่มทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน
อำเภอสมเด็จ ได้แก่ผาเสวย
อำเภอเขาวง ได้แก่ น้ำตกผานางคอย และน้ำตกตาดทอง
อำเภอกุฉินารายณ์ ได้แก่ ศูนย์หัตถกรรมผู้ไทยหนองห้าง และหมู่บ้านวัฒนธรรมผู้ไทยโคกโก่ง
กิ่งอำเภอนาคู ได้แก่ วนอุทยานภูแฝก (แหล่งรอยเท้าไดโนเสาร์)
ตามที่เกริ่นนำไว้ว่าตามรอยไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว มีความเกี่ยวข้องอยู่ ๒ แห่ง คือ แห่งแรกพิพิธภัณฑ์แหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว ที่อำเภอสหัสขันธ์ อยู่บริเวณเชิงเขาภูกุ้มข้าว วัดป่าสักกะวัน โดยเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ พระครูวิจิตรสหัสคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าสักกะวันได้พบกระดูกชิ้นใหญ่ในบริเวณวัด แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นฟอสซิลกระดูกไดโนเสาร์ และได้นำกระดูกที่พบเก็บรักษาไว้ที่วัด ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๕๒๑ นักธรณีวิทยาและคณะจากกรมทรัพยากรธรณีได้เดินทางมาสำรวจธรณีวิทยาบริเวณนั้นพบกระดูกดังกล่าว จึงแจ้งให้ทราบว่าเป็นซากฟอสซิลกระดูกไดโนเสาร์ หลังจากนั้นอีกสองปี คณะสำรวจธรณีวิทยาไทย-ฝรั่งเศส จึงศึกษาพบว่าเป็นส่วนกระดูกขาหน้าของไดโนเสาร์ซอโรพอด จนกระทั่งปีพุทธศักราช ๒๕๓๗ จึงมีการสำรวจขุดค้นและอนุรักษ์อย่างเป็นระบบ พบซากไดโนเสาร์จำนวนมากในชั้นหินเสาร์ขัวยุคครีเตเซียสตอนต้น อายุประมาณ ๑๓๐ ล้านปี พบกระดูกไดโนเสาร์ชนิดกินพืชจำนวนมากกว่า ๗๐๐ ชิ้น สันนิษฐานว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกไดโนเสาร์ประมาณ ๗ ตัว และในพิพิธภัณฑ์ยังมีซากปลาโบราณพันธุ์ใหม่ของโลกในสภาพสมบูรณ์ เป็นปลาน้ำจืดมีชื่อว่า “เลปิโดเทส” ยาวประมาณ ๓๐-๖๐เซนติเมตร อยู่ในยุคมีโซโซอิคหรือ ๖๕ ล้านปีที่แล้วด้วย
แห่งที่สองเป็นเพียงรอยเท้าไดโนเสาร์ประเภทเทอร์โรพอด ๗ รอย จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โนซอร์ชนิดกินเนื้อ อายุประมาณ ๑๔๐ ล้านปี ปัจจุบันเห็นชัดเจนเพียง ๔ รอย พบที่หมู่ ๖ บ้านน้ำคำ ตำบลภูแล่นช้าง ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๙
สรุปกิจกรรมที่ปลัดบัญชาไปร่วมทัศนากับปลัดขุนในเมืองกาฬสินธุ์ คือ ตระเวณ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆและไปสนทนากับพ่อครูเปลื้อง ศิลปินแห่งชาติ เกี่ยวกับโปงลางซึ่งเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง และได้รับรู้ว่าพ่อครูกำลังสร้างสรรค์ดนตรีพื้นเมืองใหม่ๆขึ้นมาอีก เช่น หมากกะโหล่ง ซึ่งใช้กระดิ่งแขวนคอวัวร้อยเข้าด้วยกัน
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๑๖ nidhi
แดนกำเนิดอุดรซันไฌน์
เมื่อปลัดบัญชากลับถึงจังหวัดขอนแก่นและทำรายงานการเดินทางเสร็จแล้ว ปลัดบัญชาก็เดินทางไปราชการที่จังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภูและจังหวัดเลยในวันต่อมา โดยขับรถขึ้นทางเหนือไปที่จังหวัดอุดรธานีระยะทางประมาณ ๑๑๕ กิโลเมตร
คำขวัญประจำจังหวัดอุดรธานี มีว่า” น้ำตกจากสันภูพาน อุทยานแห่งธรรมะ อารยธรรมห้าพันปี ธานีผ้าหมี่-ขิต แดนเนรมิตรหนองประจักษ์ เลิศลักษณ์กล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์”
ตราประจำจังหวัดอุดรธานีเป็นรูปท้าวเวสสุวัณซึ่งเป็นพญายักษ์ยืนถือกระบองเฝ้าปกปักรักษาเมือง ตามความเชื่อแต่โบราณว่าทิศต่างๆมีเทพเจ้าคุ้มครองรักษา ทิศอุดร(ทิศเหนือ)มีท้าวเวสสุวัณ,ทิศบูรพา(ตะวันออก)มีพระอินทร์,ทิศทักษิณ(ทิศใต้)มีพระยม และทิศประจิมหรือปัจฉิม(ทิศตะวันตก)มีพระวรุณหรือพระพิรุณเป็นเทพยเจ้าปกป้องดูแล
อุดรธานีเดิมชื่อบ้านหมากแข้ง เพราะมีต้นมะเขือพวงใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ ๔๐ เซนติเมตร ต่อมาจึงได้ตั้งเป็นเมืองอุดรธานี ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ อุดรธานีเป็นจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคม และการท่องเที่ยวทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะภาพของการเป็นดินแดนแห่งวัดป่า ประตูสู่ประเทศลาว ดินแดนอินโดจีน และยังเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและมีหัตถกรรมผ้าขิตที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
จังหวัดอุดรธานีมีเนื้อที่ประมาณ ๑๑,๗๓๐ กิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น ๑๘อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมืองอุดรธานี หนองวัวซอ หนองหาน บ้านผือ บ้านดุง กุมภวาปี โนนสะอาด เพ๊ญ น้ำโสม กุดจับ ศรีธาตุ วังสามหมอ ทุ่งฝน สร้างคอม ไชยวาน หนองแสง นายูง พิบูลย์รักษ์ กิ่งอำเภอกู่แก้ว และกิ่งอำเภอประจักษ์ศิลปาคม
อาณาเขตทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดหนองคาย ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดขอนแก่นและกาฬสินธุ์ ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดสกลนคร ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดเลยและหนองบัวลำภู
สถานที่น่าสนใจ อำเภอเมือง ได้แก่ อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระราชโอรสในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าจอมมารดาสังวาลย์ ปกครองมณฑลฝ่ายเหนือเรียกว่ามณฑลอุดร และก่อตั้งเมืองอุดรขึ้นเมื่อร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม (เดิมเรียกหนองนาเกลือ) วัดโพธิสมภรณ์ พิพธภัณฑ์เมืองอุดรธานี วัดมัชฌิมาวาส ศาลเจ้าปู่-ย่า สวนกล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์ วัดป่าบ้านตาด วัดทิพยรัฐนิมิตร หมู่บ้านนาข่า และอ่างเก็บน้ำห้วยหลวง
อำเภอบ้านผือ ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท พระพุทธบาทบัวบาน และวัดป่าบ้านค้อ
อำเภอน้ำโสม ได้แก่อุทยานแห่งชาตินายูง-น้ำโสม
อำเภอหนองหาน ได้แก่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง
อำเภอบ้านดุง ได้แก่ คำชะโนด ตั้งอยู่ที่วัดศิริสุทโธ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือและเชื่อกันว่าเป็นปากเมืองบาดาลที่พระยานาคอาศัย
อำเภอกุมภวาปี ได้แก่พระธาตุดอนแก้วหรือพระมหาธาตุเจดีย์ อยู่ที่หมู่ ๕ บ้านดอนแก้วประดิษฐานอยู่กลางวัดมหาธาตุเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยมคล้ายพระธาตุพนม
อำเภอหนองแสง ได้แก่วนอุทยานน้ำตกธารงาม และภูฝอยลม
อำเภอวังสามหมอ ได้แก่วนอุทยานวังสามหมอ
อำเภอกุดจับ ได้แก่ ถ้ำสิงห์ บนเทือกเขาภูพาน
เทศกาลงานประเพณีของจังหวัดอุดรธานี ที่สำคัญ ได้แก่งานนมัสการพระพุทธบาทบัวบก จัดในวันขึ้น ๑๓-๑๕ ค่ำ เดือน ๓ และงานทุ่งศรีเมืองอุดรธานีผ้าหมี่-ขิตจัดประมาณเดือนธันวาคมของทุกปี
ปลัดบัญชาเดินทางไปถึงจังหวัดอุดรธานีตั้งแต่เช้า จึงแวะไปรับประทานอาหารเช้าขึ้นชื่อของเมืองอุดร คือ ไข่กระทะเสร็จแล้วเข้าพักที่เจริญโฮเต็ล จากนั้นก็ไปพบปลัดสุนทรซึ่งพาพบผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี แล้วไปนมัสการหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่วัดป่าบ้านตาด เสร็จแล้วไปกราบไหว้ศาลเจ้าปู่-ย่า ไปสักการะศาลหลักเมือง เสร็จแล้วไปชมสวนกล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์ และสาวน้อยอุดรเริงระบำ แล้วจึงรับประทานอาหารพื้นบ้านอีสานในตัวเมือง ต่อด้วยการไปชมหมู่บ้านนาข่า ดูการทอผ้าขิต ชมหนองประจักษ์ยามเย็ม แล้วกลับที่พักที่เจริญโฮเด็ลพักผ่อนเพื่อเตรียมเดินทางไปจังหวัดหนองบัวลำภูและเลยต่อไป
การเดินทางของคุณธนบัตร บทที่ ๑๗ nidhi
ไปหนองบัวลำภูและจังหวัดเลย
เช้าวันนี้เวลา ๐๗.๐๐ นฬ ปลัดบัญชาเดินทางออกจากเจริญโฮเต็ลมุ่งหน้ามาที่จังหวัดหนองบัวลำภูตามทางหลวงหมายเลข ๒๑๐ หนองบัวลำภูเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติยาวนานไม่น้อยกว่า ๙๐๐ ปี เดิมเป็นดินแดนที่ขึ้นต่อกรุงศรีสัตตนาคนหุต(เวียงจันทน์) มีชื่อว่า “เมืองหนองบัวลุ่มภู นครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน” หนองบัวลำภูเป็นจังหวัดลำดับที่ ๗๖ ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๖ โดยแยกมาจากจังหวัดอุดรธานี มีพื้นที่ ๓,๘๕๙.๐๘๖ ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น ๖ อำเภอ คือ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู โนนสัง ศรีบุญเรือง นากลาง สุวรรณคูหา และนาวัง อาณาเขตทิศเหนือและทิศตะวันออกอยู่ติดกับจังหวัดอุดรธานี ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดเลย ทิศใต้ติดกับจังหวัดขอนแก่น คำขวัญประจำจังหวัด คือ “ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อุทยานแห่งชาติภูเก้าภูพานคำ แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน”
สถานที่น่าสนใจ อำเภอเมือง ได้แก่ วัดถ้ำกลองเพล พระอนุสาวรีย์และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วนอุทยานน้ำตกเฒ่าโต้ ศาลหลักเมืองพระวอ พระตา ศูนย์หัตถกรรมปั้นหม้อบ้านโค้งสวรรค์ ศูนย์พัฒนาอาชีพวัดสว่างศิลา หนองบัว และสุสานหอย ๑๕๐ ล้านปี อำเภอโนนสัง ได้แก่อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ และแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์บ้านกุดคอเมยและบ้านกุดกวางสร้อย อำเภอนากลาง ได้แก่ ถ้ำเอราวัณ บนหลักกิโลเมตรที่ ๑๓ ห่างจากตัวเมืองหนองบัวลำภูประมาณ ๔๕ กิโลเมตร มีทางแยกขวามือเข้าไปอีก ๒ กิโลเมตร อำเภอสุวรรณคูหา ได้แก่ถ้ำสุวรรณคูหา และแหล่งโบราณคดีภูผายา
เทศกาลและงานประเพณีที่สำคัญได้แก่
-งานนเรศวรมหาราช กาชาดหนองบัวลำภู จัดขึ้นในวันที่ ๒๕ มกราคม-๓ กุมภาพันธ์ บริเวณสนามนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง
-งานประเพณีบุญข้าวจี่ จัดในวันขึ้น ๑๓-๑๕ ค่ำ เดือน ๓ บริเวณวัดถ้ำสุวรรณคูหา
-ประเพณีขึ้นเขาไหว้พระถ้ำเอราวัณ จัดในวันที่ ๑๒-๑๕ เมษายน บริเวณหาดโนนยาว อำเภอโนนสัง
-งานบวงสรวงศาลเจ้าปู่หลุบและพระวอพระตา จัดในวันพุธและพฤหัสบดีแรกของเดือน ๖ (ประมาณเดือนพฤษภาคม)
-งานประเพณีบุญบั้งไฟอำเภอศรีบุญเรือง จัดในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
-งานมหกรรมกล้วยหอมแฟร์ จัดในวันที่ ๒๕-๒๗ กรกฎาคม ที่อำเภอนาวัง
-งานเทศกาลเที่ยวหอยหิน กินลำไย จัดในวันที่ ๘-๑๕ สิงหาคคม บริเวณร้านค้าชุมชนบ้านห้วยเดื่อ อำเภอเมือง
-งานเทศกาลน้ำตกเฒ่าโต้ จัดในวันที่ ๑๔-๑๕ กันยายน บริเวณอุทยานน้ำตกเฒ่าโต้
ปลัดบัญชาแวะชมพิพิธภัณฑ์อัฐบริขารของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล และสักการะพระอนุสาวรีย์และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสร็จเรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปจังหวัดเลยในบ่ายวันนั้น
เมืองเลยเดิมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เพิ่งตั้งเป็นเมืองในรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพงศาวดารเล่าว่า พระชัยเชษฐาแห่งกรุงศรีสัตตนาคนหุต กับพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ได้ให้สัตยาบันกันตรงที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอด่านซ้ายในปัจจุบันเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนระหว่างกันในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และได้ร่วมกันสร้างพระเจดีย์ใหญ่ขึ้นองค์หนึ่ง คือ พระธาตุศรีสองรัก เพื่อเป็นสักขีพยานในการนั้นในบริเวณที่ลำน้ำอู้ไหลมาบรรจบกับลำน้ำหมัน ฉะนั้นในเวลาต่อมาเมื่อสร้างเมืองเลยและยกฐานะเป็นจังหวัดแล้ว จึงปรากฏตราประจำจังหวัดเลยเป็นรูปพระธาตุศรีสองรัก
จังหวัดเลยเป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อนท่ามกลางสายหมอกปกคลุมเหนือยอดภู อุดมไปด้วยพืชพรรณป่าไม้นานาชนิดที่รู้จักกันดีคือ ภูกระดึง ภูหลวงและภูเรือ เลยจึงเป็นเมืองแห่งขุนเขา ที่มีอากาศเย็นสบายมีทัศนียภาพที่งดงามและมีประเพณีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากถิ่นอื่น เช่น การละเล่นผีตาโขน
เลยอยู่ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ ๕๒๐ กิโลเมตร ไม่ใช่มาถึงเสียที เพราะจะเลยไปอยู่เรื่อย มีอาณาเขตทิศเหนือติดกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทิศใต้ติดกับจังหวัดขอนแก่น ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดหนองคายและหนองบัวลำภู ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดพิษณุโลก
จังหวัดเลยแบ่งการปกครองเป็น ๑๒ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ คืออำเภอเมืองเลย วังสะพุง ปากชม เชียงคาน ท่าลี่ ภูเรือ ด่านซ้าย ภูกระดึง นาแห้ว นาด้วง ภูหลวง ผาขาว กิ่งอำเภอเอราวัณ และหนองหิน
คำขวัญประจำจังหวัดเลยมีว่า “เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู”
สถานที่น่าสนใจในอำเภอเมือง ได้แก่ ศาลเจ้าพ่อกุดป่องและศาลหลักเมือง สวนสาธารณะกุดป่อง สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติฯป่าเลิงใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเลย วัดถ้ำผาปู่ วนอุทยานภูผาล้อม และอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำหมานตอนบนและห้วยกระทิง
อำเภอเชียงคาน ได้แก่ วัดศรีคุณเมือง วัดท่าแขกแก่งคุดคู้ พระพุทธบาทภูควายเงิน พระใหญ่ภูคกงิ้ว(พระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์) และหมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ
อำเภอนาด้วง ได้แก่ถ้ำผายาและอ่างเก็บน้ำห้วยลิ้นควาย
อำเภอวังสะพุง ได้แก่ศูนย์ศิลป์สิรินธร พระเจดีย์วัดป่าสัมมานุสรณ์ และเสมาหินทรายที่บ้านปากแบ่งและบ้านนาหลัก
อำเภอภูหลวง ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง
กิ่งอำเภอเอราวัณ ได้แก่โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ผานาง-ผาเกิ้ง
กิ่งอำเภอหนองหิน ได้แก่ ถ้ำโพธิสัตว์หรือกุ้ยหลินเมืองเลย สวนหินผางามหรือคุนหมิงเมืองไทย น้ำตกสวนห้อมหรือน้ำตกสันติธารา และน้ำตกเพียงดินหรือน้ำตกวิสุทธารา
อำเภอภูกระดึง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
อำเภอภูเรือ ได้แก่อุทยานแห่งชาติภูเรือและน้ำตกปลาบ่าหรือน้ำตกตาดสาน
อำเภอด่านซ้าย ได้แก่ พระธาตุศรีสองรักวัดเนรมิตรวิปัสสนา และน้ำตกแก่งสองคอน
อำเภอนาแห้ว ได้แก่วัดโพธิ์ชัย และอุทยานแห่งชาตินาแห้ว
อำเภอท่าลี่ ได้แก่พระธาตุสัจจะ
เทศกาลและงานประเพณีของจังหวัดเลย ได้แก่
-งานดอกฝ้ายบาน มะขามหวานเมืองเลย จัดที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดเลยในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประมาณวันที่ ๑-๙กุมภาพันธ์ของทุกปี
-งานประเพณีสงกรานต์ไทย-ลาว ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๕เมษายน
-งานประเพณีบุญบั้งไฟล้าน ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ประมาณเดือนพฤษภาคม
-งานนม้สการพระธาตุศรีสองรัก ในวันเพ็ญเดือน ๖
-งานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ในวันเสาร์-อาทิตย์ หลังวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
-งานประเพณีออกพรรษาอำเภอเชียงคาน ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑
-งานแสดงไม้ดอกเมืองหนาว อำเภอภูเรือ ประมาณวันที่ ๒๘ธันวาคม-๑มกราคม
นอกจากนี้จังหวัดเลยยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่น ฟาร์มไก่งวงเมืองเลยสถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ สวนองุ่นภูเรือวโนทยาน หรือชาโต้ เดอ เลย ตลาดไม้ดอกเมืองหนาวบ้านหนองบง คำนวนเนิร์สเซอร์รี่ ไร่สัณยา สวนส้มสยามภูเรือ และบริษัท ที เอส เอ จำกัด ที่บ้านกกโพธิ์ ซึ่งผลิตไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักต่างๆเพื่อเพาะเมล็ดสำหรับจำหน่าย
ปลัดบัญชาเดินทางจากจังหวัดหนองบัวลำภูและแวะชมสถานที่ต่างๆตามรายทางมาตลอดแล้วเข้าพักแรมคืนที่ ภูตำ ในสถาบันราชภัฏเลย โดยกำหนดการเดินทางท่องเที่ยเมืองเลยจำนวน ๒ วัน ๑ คืน ในวันพรุ่งนี้และวันมะรืนนี้ โดยใช้เส้นทางกิ่งอำเภอหนองหิน-อำเภอด่านซ้าย-ภูเรือ คือ
วันแรก ออกเดินทางไปกิ่งอำเภอหนองหิน ชมสวนหินผางามหรือคุนหมิงเมืองไทย ออกเดินทางไปอ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง ล่องแพรับประทานอาหารกลางวัน เดินทางไปอำเภอด่านซ้าย ชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านผีตาโขน ที่วัดโพนชัย ไปนมัสการพระพุทธชินราชจำลองที่วัดเนรมิตรวิปัสสนา เสร็จแล้วไปนมัสการพระธาตุศรีสองรัก แล้วจึงเดินทางเข้าที่พักที่อุทยานแห่งชาติภูเรือ
วันที่สอง ไปสัมผัสทะเลหมอกและธรรมชาติยามเช้าบนภูเรือ รับประทานอาหารเช้าแล้วไปเดินป่าศึกษาธรรมชาติของป่าเขา ลานหินและน้ำตก รับประทานอาหารกลางวันแล้วเดินทางไปศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิตเลย๒ จังหวัดเลย(สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเริอ) ไปชมแปลงทดลองการปลูกไม้ดอกไม้ประดับและพืชผักผลไม้เมืองหนาว เช่นกุหลาบ ลิลลี่ ออกเดินทางไปไร่องุ่นและโรงงานไวน์ชาโต เดอ เลย ชมไร่องุ่นและกรรมวิธีผลิตไวน์ชาโต เดอ เลย บรั่นดี น้ำองุ่นสด
เสร็จแล้วเดินทางกลับที่พักในสถาบันราชภัฎเลย เพื่อพักผ่อนเตรียมเดินทางกลับจังหวัดขอนแก่น
บทที่ ๑๘ ประตูสู่อีสาน
ปลัดบัญชาเดินทางกลับจากจังหวัดเลยได้เพียงสัปดาห์เดียวก็ต้องเตรียมตัวเดินทางไปประชุมสัมนาที่โรงแรมสีมาธานี จังหวัดนครราชสีมาเป็นเวลา ๑๐ วัน เนื่องจากจังหวัดนครราชสีมาได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดการประชุมผู้บริหารระดับกลางในเขตจังหวัดติดต่อกับจังหวัดนครราชสีมาอันได้แก่ จังหวัดชัยภูมิ,ขอนแก่น,นครนายก,ปราจีนบุรี,สระแก้ว,บุรีรัมย์,สระบุรีและลพบุรี เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวของจังหวัดที่เกี่ยวข้องให้เป็นสากลยิ่งขึ้น โดยขณะเดียวกันก็เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นไว้ด้วย การประชุมร่วมกันของผู้บริหารระดับกลางในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องจึงเป็นการระดมสมองเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดของตนเองได้เป็นอย่างดีที่สุด
เหตุผลที่จังหวัดนครราชสีมาจัดประชุมสัมนาที่โรงแรมสีมาธานี ก็เพราะตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักของการเดินทางระหว่างจังหวัด มีห้องพักไม่น้อยกว่า ๒๖๕ ห้อง และมีห้องประชุมที่จุคนได้มากถึง ๑,๕๐๐ คน นอกจากนี้ยังเป็นโรงแรมที่ใช้ชื่อเมืองโบราณคือเมืองเสมา เป็นชื่อจัดตั้งด้วย
กล่าวกันว่าที่เรียกกันว่าจังหวัดนครราชสีมานั้นเพราะนำชื่อเมืองเก่า ๒ เมือง คือ เมืองโคราชและเมืองเสมา รวมกันเรียกเป็นนครราชสีมา นั่นเอง
การประชุมสัมนาวันแรกเปิดโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ทำพิธีเปิดการอบรมสัมนา และพิธีปิดการอบรมในวันสุดท้ายของการประชุมสัมนาจะดำเนินการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งตลอดระยะเวลาการประชุมสัมนาดังกล่าวจะเป็นการจำแนกรายละเอียดหัวข้อการประชุมเป็นของแต่ละจังหวัดเป็นแต่ละวันไป กล่าวคือวันแรกเป็นพิธีเปิดการอบรมแล้วเริ่มที่จังหวัดนครราชสีมาในวันรุ่งขึ้นเป็นลำดับแรก วันต่อๆไปก็จะเป็นจังหวัดชัยภูมิ,ขอนแก่น,นครนายก,ปราจีนบุรีและสระแก้ว,บุรีรัมย์,สระบุรีและลพบุรี ตามลำดับ แล้วจึงสรุปการสัมนาและปิดการอบรมในวันสุดท้ายของการประชุมสัมนา
ปลัดบัญชาเดินทางถึงโรงแรมสีมาธานีก่อนวันประชุมสัมนาหนึ่งวันโดยพักที่บ้านพักของปลัดวิเชียรซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่บ้านพักจังหวัดนครราชสีมา ไม่ลืมแวะสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี หรือย่าโมแห่งเมืองโคราชก่อนเป็นอันดับแรก อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีเปฌนอนุสรณ์แด่วีรกรรมอันกล้าหาญของวีรสตรีไทยหรือย่าโม ซึ่งเป็นที่เรียกกันติดปากโดยทั่วไป สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ ตั้งอยู่กลางเมือง อนุสาวรีย์หล่อด้วยทองแดงรมดำ สูง ๑.๘๕ เมตร หนัก ๓๒๕ กิโลกรัม แต่งกายด้วยเครื่องยศพระราชทาน ในท่ายืน มือขวากุมดาบ ปลายดาบจรดพื้น มือซ้ายท้าวสะเอวหันหน้าไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บนฐานไพที(ที่รอง,แท่น,เวที,ขอบชายคา คือที่สุดชายคาชั้นบนต่อกับชายคาชั้นล่าง :ฐานบัวคว่ำบัวหงายที่พระเจดีย์) สี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองซึ่งบรรจุอัฐิของท่าน
ท้าวสุรนารีมีนามเดิมว่าคุณหญิงโม เป็นภรรยาปลัดเมืองนครราชสีมา เมื่อปี พ.ศ.๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ยกทัพยึดเมืองโคราช คุณหญิงโมได้รวบรวมชาวบ้านเข้าสู้รบต่อต้านกองทัพเจ้าอนุวงศ์ได้เป็นผลสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๓) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาคุณหญิงโมเป็นท้าวสุรนารี ซึ่งประชาชนพร้อมใจกันจัดงานเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารีขึ้นระหว่างวันที่ ๒๓มีนาคม ถึงวันที่ ๓ เมษายนเป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน
นครราชสีมา หรือที่เรียกว่า “โคราช” เปรียบเสมือนประตูสู่ภาคอีสาน(ตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นเมืองใหญ่บนดินแดนที่ราบสูงโคราช แบ่งการปกครองออกเป็น ๒๖ อำเภอ ได้แก่อำเภอเมืองนครราชสีมา,ปากช่อง,สีคิ้ว,สูงเนิน,ขามทะเลสอ,ด่านขุนทด,โนนไทย,โนนสูง,ขามสะแกแสง,พิมาย,คง,โนนแดง,ประทาย,ชุมพวง,บัวใหญ่,แก้งสนามนาง,บ้านเหลื่อม,จักราช,ห้วยแถลง,ปักธงฃัย,โชคชัย,ครบุรี,เสิงสาง,หนองบุนนาก,วังน้ำเขียว และเฉลิมพระเกียรติ กับอีก ๖ กิ่งอำเภอ คือ กิ่งอำเภอเมืองยาง,เทพารักษ์,ลำทะเมนชัย,พระทองคำ,บัวลายและสีดา โดยมีอาณาเขตทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดชัยภูมิและขอนแก่น ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดนครนายก,ปราจีนบุรีและสระแก้ว ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดบุรีรัมย์ ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดชัยภูมิ,สระบุรีและลพบุรี โดยเฉพาะจังหวัดชัยภูมิจะมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดนครราชสีมาทั้งด้านทิศเหนือและตะวันตก
โคราชในวันนี้ต่างจากโคราชสมัยปีพ.ศ.๒๕๒๑ ซึ่งปลัดบัญชาเคยอาศัยเป็นอย่างมาก เพราะสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องบินพาณิชย์ของการบินไทย คงมีเพียงสนามบินของกองทัพอากาศ ซึ่งรวมถึงค่ายเฟรนด์ชิปของอเมริกาที่มาขอพักอาศัยเช่นเดียวกับสนามบินอู่ตะเภาที่อำเภอสัตหีบ แต่โคราชทุกวันนี้เจริญไปมากทางวัตถุ กระนั้นก็ดีโคราชยังคงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานเลื่องชื่อหลายแห่งซึ่งจะได้พูดถึงในคราวต่อไป
บทที่ ๑๙ เปิดการประชุมสัมนา
เช้าวันเปิดการประชุมสัมนา ปลัดบัญชาตื่นแต่เช้าแวะไปที่ตลาดสดเทศบาล๑ เพื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงกลับบ้านพักเพื่ออาบน้ำและแต่งตัวเตรียมเดินทางไปที่โรงแรมสีมาธานีซึ่งอยู่ริมถนนมิตรภาพด้านทางไปอำเภอสูงเนิน เพื่อลงทะเบียนเข้าพักและสัมนาตามโครงการฯซึ่งจัดให้ผู้เข้าประชุมสัมนาพักที่โรงแรมเดียวกันทั้งหมดเพื่อความสะดวกในการประกอบกิจกรรมร่วมกันตลอดระยะเวลาการสัมนารวมสิบวันเต็ม
เวลา ๑๐.๐๐ น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเปิดการประชุมสัมนา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมากล่าวรายงานเหตุผลและที่มาของโครงการเสร็จแล้ว ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต ๑ ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบ ๔ จังหวัด คือ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ และชัยภูมิ กล่าวบรรยายถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นว่า ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาลหรือเอกชน ทั้งยังต้องช่วยกันปลุกจิตสำนึก ปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนไทยมีความรักธรรมชาติและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม กับช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกับศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ยั่งยืนตลอดไป
จากนั้นช่วงบ่ายเป็นการนำคณะผู้เข้าอบรมสัมนาเยี่ยมชมศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาที่ถนนสุรนารายณ์
โดยก่อนเดินทางไปชมและดูงานก็แวะไปสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีเพื่อเป็นสวัสดิมงคลด้วย เมื่อเสร็จสรรพธรรมเนียมปฏิบัติแล้วคณะก็เดินทางไปที่มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเปี่ยมไมตรีจิต ได้แวะชมเรือนโคราชกับเรือนไม้สองชั้นซึ่งเป็นที่รวบรวมจัดเก็บข้อมูล สิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ รวมทั้งวัตถุโบราณที่แสดงถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวโคราชและชาวอีสานทั่วไปในอดีต
เสร็จแล้วจึงเดินทางกลับที่พักที่โรงแรมสีมาธานีเพื่อเริ่มกิจกรรมการสัมนาในวันต่อๆไป