ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีคนอาศัยอยู่ร่วมกันแบบชุมชนท้องถิ่นชนบท วัดโคกเป็นวัดประจำหมู่บ้าน มีเจ้าอาวาสชื่อ สมภารหนู ที่คนทั้งหมู่บ้านให้ความเคารพศรัทธาและเชื่อว่าหากท่านพูดสิ่งใดแล้วมักจะเป็นไปตามนั้น หรือบางคนเรียกว่า วาจาสิทธิ์ ไม่ว่าจะดูฤกษ์แต่งงาน ดูวันแรกนา ดูเคราะห์ ดูโชคลาง ฯลฯ ท่านสามารถเป็นที่พึ่งยามยากของคนชนบท นอกเหนือจากพิธีกรรมทางศาสนา และการเทศนาสั่งสอนกุลบุตรกุลธิดาให้อยู่ในขนบธรรมเนียม ประเพณีและจารีตแบบไทย ในหมู่บ้านมีสามีภรรยาฐานะยากจนคู่หนึ่ง ซึ่งนายมาผู้เป็นสามีเป็นคนไม่เชื่อโชคลางหรือคำทำนาย แกได้เป็นผัวเมียกับนางสาโดยใช้วิวาห์เหาะ(หนีมาอยู่กินกันโดยไม่ต้องแต่งงาน) ทั้งคู่มีอาชีพทำนา พอถึงวันและเดือนที่ฝนตกลงมาตามฤดูกาล แกก็เริ่มไถเริ่มดำโดยไม่ดูฤกษ์ดูวัน ถือเอาวันไหนสะดวก สบายเนื้อสบายกายแกก็แรกเอง ยิ่งเรื่องโชคเรื่องลางไม่ต้องพูดถึง แกบอกว่าชาวบ้านอย่างมงาย โชคลางเป็นเรื่องมงคลตื่นข่าว และไม่ใช่กิจของสงฆ์ ชาวบ้านต่างไม่ถือสาแก เพราะต่างก็รู้นิสัยนายมาดีว่าแกเป็นคนอย่างไร อีกทั้งนางสาผู้เป็นเมียก็มิได้ขัดใจ ทั้งสองนอกจากทำนาเป็นอาชีพหลักแล้ว ยังต้องหาปลา และหาสัตว์พอได้ดำรงชีวิตแบบพอมีพอกิน แต่ไม่ค่อยพอเพียง ขอให้มีข้าวสารกรอกหม้อก็เพียงพอ ที่เหลือจากนั้นหากไม่มีอะไรมาเป็นเป็นสำรับกับข้าว ก็ใช้กะปิตำกับพริกขี้หนู กระเทียม และเติมมะนาวเล็กน้อยกลายเป็นน้ำชุบ(น้ำพริกปักษ์ใต้) จากนั้นก็หาผัก หญ้า หยวก ปลี (หยวกและปลีกล้วยน้ำว้า) เอามาต้มจิ้มน้ำพริก เป็นอาหารถูกปากรสเลิศ กินอิ่มนอนหลับ บ่ายวันหนึ่ง นางสาเตรียมตั้งเส้า (ใช้หิน 3 ก้อน ตั้งขึ้นแทนเตา) หาฟืนก่อไฟหุงข้าว และทำอาหาร ส่วนนายมาได้แบกสุ่มออกไปหาปลา เพราะเล็งเห็นตามประสบการณ์ว่า ถ้าฝนตกโปรยๆ แล้วปลามักจะขึ้นมาหากินในท้องทุ่งที่มีน้ำเจิ่งนอง แกเดินย่องไปตามคันนา มองเห็นปลาช่อนตัวใหญ่ แกใช้สุ่มครอบและกดไว้แน่น หลังจากครอบปลาไว้แล้วแกนึกในใจว่า น่าลองวิชาท่านสมภารหนูดูสักครั้งว่าที่ท่านทำนายทายทักชาวบ้านนั้น ท่านหลอกหรือว่าจริง คิดได้ดังนั้น ก็เดินไปวัดด้วยความสบายใจ เมื่อไปถึงเห็นท่านสมภารนั่งอยู่ที่ใต้ร่มไม้ รายล้อมด้วยสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่พลอยมาอาศัยข้าวก้นบาตร อาทิ แมว สุนัข และไก่แจ้ นายมาเดินเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้ พอเป็นพิธีแล้วเอ่ยถามท่านสมภารหนูว่า พระคุณท่านเย็นนี้ บ้านผมกินแกงอะไรครับ นายมาถามด้วยรู้คำตอบอยู่แล้วว่า จะต้องเป็นแกงปลาช่อนแน่นอน หากสมภารตอบว่าแกงอย่างอื่นแล้วจะตรงกับข้อสันนิษฐานของเขาว่าหมอดูคู่กับหมอเดา เหมือนกับว่าท่านสมภารรู้ความต้องการของนายมา จึงตอบไปว่า กินกับน้ำชุบ นายมากราบลาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ รวมทั้งความศรัทธาที่มีหลงเหลืออยู่บ้างได้มลายหายไปหมดสิ้นในครั้งนี้เอง นายมาเดินมาที่สุ่ม หมายล้วงเอาปลาช่อนตัวโต บังเอิญเหลือบตาไปเห็นกระจงวิ่งผ่านมา จึงลืมเรื่องปลาช่อน เขายกสุ่มวิ่งไล่ครอบกระจง ผลปรากฏว่าคว้าน้ำเหลวปลาช่อนก็หนีไป และกระจงก็จับไม่ได้ เขาจึงแบกสุ่มกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านนางสาถามว่า ได้อะไรมากินบ้างละ นายมาไม่ตอบ นางสาจึงชวนผัวกินข้าว กับน้ำพริกที่นางตำเตรียมไว้ นายมานึกถึงคำที่ท่านสมภารหนูทำนายไว้เมื่อตอนบ่าย แกก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางสาฟัง นางสาจึงบ่นเบาๆ ว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
4 ตุลาคม 2550 23:31 น. - comment id 97836
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
5 ตุลาคม 2550 15:08 น. - comment id 97840
ตลกดีนะคะ
5 ตุลาคม 2550 21:46 น. - comment id 97842
ก็เป็นข้อคิดที่น่าคิดอย่างหนึ่ง แต่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ ให้เชื่อด้วยเหตุผลและการปฏิบัติให้รู้แจ้งในจิตของตนเอง ขอบคุณคุณวชรกานท์ ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง