เยี่ยมเยือนเมืองพม่า (5)สรุปส่งท้าย

แม่มดใจร้าย


     มิงกะลาบากันอีกครั้งค่ะ   สำหรับวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายสำหรับพวกเราที่จะอยู่ในพม่าและสถานที่ที่พวกเราจะพาไปชมก็คือเจดีย์เยเลพญา หรือ เจดีย์กลางน้ำ ซึ่งระหว่างทางเราจะต้องผ่านแม่น้ำหงสาวดี ที่มีความกว้างกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาของเราประมาณเกือบสามเท่า ซึ่งนับว่ากว้างใหญ่มาก ๆ เสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปมาให้ชมได้  และที่น่าเสียดายอีกที่หนึ่งก็คือ  เราได้ชมภาพยนต์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ภาคสองตอนที่พระองค์ท่านยิงปืนใหญ่ข้ามแม่น้ำสะโตง มาครั้งนี้พวกเราก็ได้ชมแม่น้ำสายนี้ค่ะ แต่เขาห้ามถ่ายรูปเนื่องจากว่าสถานที่แห่งนี้ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ของประเทศพม่าอยู่  แต่ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวเราไปชมเจดีย์กลางน้ำสวย ๆ กันดีกว่า
DSC00430.jpg?t=1185966928DSC00431.jpg?t=1185966870
     เจดีย์เยเลพญา อยู่บนเกาะกลางน้ำอายุนับพันปี เป็นที่สักการะของชาวสิเรียม ที่บริเวณท่าเทียบเรือบนเกาะ สามารถซื้ออาหารเลี้ยงปลาดุกตัวขนาดใหญ่ ที่ว่ายวนเวียนให้เห็นครีบหลังที่โผล่เหนือผิวน้ำได้
DSC00447.jpg?t=1185966754DSC00436.jpg?t=1185966813
      เจดีย์เยเลพญา ถ้าจะมองให้เห็นภาพลองนึกถึงเกาะเกร็ดบ้านเราค่ะ แต่ของเขาไม่มีของขายนะคะ ถ้าจะมีก็คงจะเป็นดอกไม้ธูปเทียนสำหรับบูชาเท่านั้น บนเจดีย์กลางน้ำนี้ต้องบอกว่าผู้คนเยอะค่ะ ทั้งชาวพม่า และนักท่องเที่ยว บางคนก็มาถือศีลนั่งสมาธิกันที่นี่ สถานที่ก็นับว่ากว้างขวางพอสมควรค่ะ ระยะเวลาในการข้ามฟากไม่เกินห้านาทีค่ะชมความงามของเจดีย์กลางน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ข้ามฟากกลับมาจุดเดิมค่ะเพื่อเดินทางกลับย่างกุ้ง เพื่อไปพระพุทธไสยาสน์เชาตาจี กันต่อ
     พระพุทธไสยาสน์เชาตาจี พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะพิเศษคือ ที่บริเวณพระบาทมีภาพวาดรูปสรรพสิ่ง อันล้วนเป็นมิ่งมงคลสูงสุด เพราะประกอบด้วย ลายลักษณธรรมจักรข้างละองค์ ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาท และล้อมด้วยรูปอัฎฐุตรสตกตมงคล 108 ประการ 
DSC00428.jpg?t=1185966985DSC00417.jpg?t=1185967405DSC00416-1.jpg?t=1185967469DSC00414-1.jpg?t=1185967528
     พระพุทธไสยาสน์เชาตาจี หรือพระนอนองค์นี้มีขนาดความยาวกว่าพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวค่ะ แต่ที่ผู้เขียนชอบมากก็คือเนตรของพระพุทธรูปองค์นี้ค่ะ มองครั้งใดเหมือนท่านยิ้มให้กับเรา และเป็นยิ้มแบบมีความสุขค่ะ (ลองมองเนตรท่านดูนะคะ)  
     สำหรับสถานที่สุดท้ายที่จะพาไปชมนั้นก็คือ วัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว เมื่อครั้งอัญเชิญมาจากประเทศจีน และเป็นองค์เดียวกับที่อัญเชิญมาที่พุทธมณฑล  และชมเจดีย์กาบาเอ ที่เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 ชมพระมหามุนีจำลอง (องค์จริงอยู่ที่มัณฑะเลย์ 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า)
DSC00468.jpg?t=1185966581DSC00467-1.jpg?t=1185966638DSC00465.jpg?t=1185966694
สรุปส่งท้าย
     สี่วันสามคืนในประเทศพม่า  มีคนถามว่าเป็นเพราะดูตำนานสมเด็จพระนเรศวรหรือไม่ จึงทำให้อยากไปพม่า ผู้เขียนขอบอกว่าอาจจะมีส่วนบ้างนิดหน่อย แต่จุดใหญ่ใจความก็คือ เมื่อมีผู้มาบอกว่าโครงการศูนย์ศึกษาเอเซียอาคเนย์จะจัดไปพม่า ผู้เขียนก็ได้สอบถามว่าไปที่ใดบ้าง  พอรู้สถานที่ว่าไปพระมหาเจดีย์ชเวดากอง และพระธาตุอินทร์แขวน ผู้เขียนก็ไม่ปฏิเสธที่จะร่วมเดินทางด้วย เนื่องจากสาเหตุหลายประการในช่วงเวลานั้นของผู้เขียน และส่วนหนึ่งมีผู้บอกว่าถ้าเราไม่มีบุญเราก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ไปไหว้พระธาตุ และไม่ว่าจะด้วยสาเหตุประการใดก็ตาม ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสไปยืนอยู่บนฝั่งหนึ่งของประเทศที่อดีตเคยมีกรณีพิพาทกับประเทศของเราในด้านสงคราม ได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นว่า อดีตก็คืออดีต  เราเรียนรู้อดีตจากปัจจุบัน เรื่องราวที่เราได้รับรู้และเรื่องราวที่เขาได้รับรู้ต่างข้อมูล ต่างกรรม ต่างวาระกัน เรากลับไปแก้ไขอะไรในอดีตไม่ได้ แต่เราสามารถทำปัจจุบันให้ดีได้ พม่า ณ วันนี้กับอดีตที่ผ่านมาคงจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผู้เขียนไม่อาจทราบได้เพราะไม่สามารถย้อนอดีตได้  ได้แต่รับรู้ข้อมูลผ่านตัวหนังสือที่มีผู้บอกกล่าวกันมาอีกทอดหนึ่งว่า
      นานมาแล้วที่เมืองย่างกุ้ง ติดอยู่ในมิติของกาลเวลาที่บิดเบือนเลือนลาง เมืองโบราณแห่งนี้เคยอบอวลไปด้วยไอร้อน ฝุ่นผงธุลีดิน และสรรพสำเนียงเสียงเซ็งแซ่ ไม่มีอาคารสูงระฟ้า มีแต่ตึกรามเก่า ๆ ที่ชาวอังกฤษเคยสร้างไว้ บนท้องถนนก็มีแต่รถประจำทางที่แน่นขนัด แท๊กซี่รุ่นคุณปู่ และสามล้อที่เก่าจวนจะพังมิพังแหล่ แต่ช่วงไม่กี่ปีสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 ย่างกุ้งได้พลิกเปลี่ยนโฉมหน้าไป เมื่อนักลงทุนจากต่างประเทศเพื่อนบ้านทยอยกันเข้ามาไม่ขาดสาย รถรุ่นคุณปู่ต้องหลีกทางให้รถญี่ปุ่นรุ่นใหม่สีมันวับ แท๊กซี่รุ่นเก่าที่เคยวิ่งโคลงเคลงอยู่ตามท้องถนนถูกแทนที่ด้วยแท๊กซี่รุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เป็นรถยี่ห้อ มาสด้ากับซูบารุ ตึกรามอันเก่าแก่ทรุดโทรมถูกทุบทิ้งเพื่อสร้างโรงแรมกับอาคารสำนักงานที่สูงระฟ้าขึ้นมาแทนที่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของย่างกุ้งลดน้อยลงในสายตาของนักท่องเที่ยว พาหนะที่ทันสมัยช่วยให้เดินทางได้สะดวกสบายขึ้น และถึงแม้ว่าจะมีตึกสูงขึ้นแซมอยู่กับหมู่โบราณสถาน แต่วิถีชีวิตของผู้คนกลับเปลี่ยนแปลงไปน้อยกว่า
และจากการที่ผู้เขียนได้ไปพบเห็นกับสายตาของตัวเองพบว่า วิถีชีวิตของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เขายังดำรงวัฒนธรรมภายในประเทศของเขาอย่างดีที่สุด ผู้หญิงยังคงนุ่งผ้าซิ่น และผู้ชายยังคงนุ่งโสร่ง อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ให้ความสำคัญกับศาสนา กล่าวคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกที่ ห้ามนุ่งสั้น และห้ามสวมรองเท้าเข้าไปภายใน  และวิถีชีวิตที่ผู้เขียนได้พบอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่แตกต่างจากบ้านเรา หรืออาจจะหนักกว่านั่นก็คือสภาพรถโดยสารประจำทางที่แออัดยัดเยียดกันยิ่งกว่าปลากระป๋อง มีเรื่องบางเรื่องที่ได้พบเห็นบางเรื่องคิดว่าเป็นการไม่เหมาะสมถ้าจะกล่าวในที่นี้ และบางเรื่องก็ไม่ได้แตกต่างจากบ้านเราเท่าใดนัก มีบางสถานที่ที่ผู้เขียนมิได้กล่าวถึง จากภาพแรกจนถึงภาพสุดท้ายอาจมีบางสถานที่ที่ไม่ได้กล่าวถึง สำหรับภาพสุดท้ายนี้ ผู้เขียนอยากจะบอกว่า
ท้องฟ้าที่ไหนก็สวยได้ ถ้าใจเราสวยตามค่ะ
DSC00475-1.jpg?t=1185966507DSC00476.jpg?t=1185966449
     เจซูติน บาแด (ขอบคุณมาก) สำหรับการติดตามเยี่ยมเยือนเมืองพม่า ทั้ง 5 ตอน มีข้อผิดพลาดประการใดขอน้อมรับไว้ ณ ที่นี้ 
				
comments powered by Disqus
  • คนมัน..ว่าง

    2 สิงหาคม 2550 00:17 น. - comment id 97100

    อีกหน่อยจะมีเรื่อง..
    ..ตามรอยแม่มดใจร้าย..
    เอ๊ะ ..หรือตามหาแม่มดใจร้ายดีนะ..
    แบบว่าเธอจะหนีไปอยู่พม่าหรือเปล่า.
    
    27.gif27.gif16.gif
  • เพียงพลิ้ว

    2 สิงหาคม 2550 10:44 น. - comment id 97107

    20-20070802103337.jpg
    
    ฟ้าที่ไหนก็สวย จริงด้วยค่ะ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน