ฉันแทบไม่รับรู้รสของอาหารในวันนั้น จำไม่ได้ว่าเราคุยเรื่องใดกันบ้าง และฉันก็คิดว่า เขาก็คงเป็นเช่นเดียวกัน เสียงพูดคุยของเขา ผ่านหูฉัน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง หลายคำถามของเขาที่ถาม ฉันเรียกร้องให้เขาถามซ้ำ..สมองฉันแล่นช้ากว่าที่เคยเป็น ความคิด คำพูดที่เคยลื่นไหล กลับตีบตัน...ฉันลอบสังเกตเขาเองก็มีท่าที่ครุ่นคิด เหม่อลอยในบางขณะ ฉันเฝ้ารอคำตอบของเขาอย่างจดจ่อ แต่แปลก..ที่เขากลับไม่พูดถึงตลอดเวลาที่เราทานอาหารด้วยกัน...ทำไมนะ เขาช่างไม่รู้เลยหรือไร ว่าฉันกระวนกระวายกับคำตอบของเขามากแค่ไหน จนเมื่อการทานของหวานซึ่งเป็นอาหารชุดสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ฉันกำลังจะเอ่ยปากทวงถามเรื่องที่ค้างคาใจ เขากลับยื่นซองจดหมายสีฟ้า ส่งให้ฉัน และบอกว่า "คำตอบทั้งหมดของเขาอยู่ในนี้ ขอให้ฉันกลับไปอ่านเมื่อถึงบ้านแล้ว" ฉันถามว่า "ทำไมต้องเขียน บอกกับฉันตอนนี้เลยไม่ได้หรือ" เขาตอบกลับมาว่า "การเขียน จะทำให้เขาสื่อสารกับฉันได้ละเอียดและสมบูรณ์มากกว่าการพูด" เขาจบประโยคด้วยรอยยิ้ม...แต่ฉันกลับเห็นมือของเขาที่สั่นเล็กน้อย ขณะยื่นซองจดหมายนั้นกับฉัน เราแยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่มีทางที่ฉันจะระงับความอยากรู้ของฉันแล้วไปเปิดอ่านที่บ้านตามที่เขาบอก ฉันจอดรถข้างทาง และเปิดจดหมายอ่านในทันที เขาเก็บรายละเอียดของวันที่เขาได้รู้จักกับฉันครั้งแรก พรรณนาความรู้สึกของเขาที่มีต่อฉันตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน เขาบอกว่า เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน เขามีความสุขที่ได้พูดคุยกับฉัน อยากเจอฉันตลอดเวลา และฉันก็เป็นผู้หญิงในแบบที่เขาค้นหามาแสนนาน อ่านมาถึงตรงนี้ ไม่ว่าใครก็คงรับรู้ได้ถึงคุณค่า และความสำคัญที่เราที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่ง...ซึ่งฉันอดที่จะคาดเดากับคำตอบของเขาไม่ได้เลยว่า ฉัน..คือคนที่เขาต้องการคบหาอย่างจริงจัง ฉันแอบยิ้มขณะที่สายตาไล่เรียงตัวอักษรที่มาจากลายมือของเขา รู้สึก วาบหวาม อบอุ่นใจเท่าๆกับที่เขาจะมานั่งพูดให้ฟังตรงหน้า แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อฉันอ่านมาถึงช่วงท้ายของจดหมาย รอยยิ้มเมื่อครู่ของฉันที่คิดว่ามันเป็นยิ้มที่งดงาม อ่อนหวานที่สุด มานจางหายไปในทันที เมื่อเขาบอกว่า "ถึงแม้ผมจะรู้สึกดีกับคุณแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่สามารถตอบใจตัวเองได้ว่า ผมต้องการคบกับคุณแบบแฟนมากกว่าเพื่อนหรือเปล่า หากถ้าคุณต้องการคำตอบที่ชัดเจน ผมก็ยังไม่มีให้ และผมก็ไม่ต้องการเป็นคนเหนี่ยวรั้ง หรือปิดโอกาสคุณในการที่จะทำความรู้จักกับคนอื่น...สำหรับผมแล้ว..ในตอนนี้ภาพของการมีแฟน และการมีครอบครัวยังห่างไกลตัวผมเหลือเกิน...." เขายังเขียนอะไรต่อไปอีกยืดยาว แต่สายตาฉันมันพร่าเลือนไปซะหมดแล้ว หูฉันอื้ออึงกับประโยคเดิมๆของเขาที่ตอกย้ำว่าเขาไม่คิดมีแฟน.. นี่คือการปฏิเสธ..นี่คือคำตอบของเขาที่ฉันไม่คิดว่าจะได้รับ...ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาปฏิบัติตัวต่อฉันเหมือนฉันเป็นคนพิเศษ ฉันคิดไปเองหรอกหรือ..ว่าเขามีใจกับฉัน....ฉันไม่เคยมีเพื่อนผู้ชาย โทรหาฉันวันละ 5 ครั้งทุกวันเป็นประจำ ไม่เคยขาด...ฉันไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายที่พาฉันออกงานสังคม ไปงานแต่งงาน งานเลี้ยงรุ่น (เพราะถ้าเพื่อนผู้ชายเหล่านั้นของฉัน จะพาใครไปซักคน มันก็คงต้องเป็นแฟนเขา ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาๆๆแบบฉันแน่ๆ...จริงมั้ยคะ ) แต่ความจริงที่ปรากฏต่อหน้าแนขณะนี้ คือ...เขาแค่รู้สึกดีกับฉัน แต่เขาไม่พร้อมจะพัฒนาความสัมพันธ์ของเรา... ฉันไม่รู้ว่าฉันขับรถกลับบ้านมาได้อย่างไร ด้วยสภาพจิตใจเลื่อนลอย น้ำตาที่รินไหล เต็มสองตา มาตลอดทาง ฉันเก็บตัวอยู่ในห้องอย่างเงียบเชียบ จนเป็นที่ห่วงใยของคนในบ้าน แม่กับน้องชายเฝ้าดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่กล้าเค้ามาซักไซร้ สอบถาม แม่คงคิดว่าฉันคงเป็นผู้ใหญ่เพียงพอที่จะรับมือและแก้ปัญหาด้วย ตัวเองได้ แม่กล่าวด้วยความห่วงใยว่า "มีไร..เล่าให้แม่ฟังได้นะ..แม่ยินดี" แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆเพียงไม่กี่คำ แต่ฉันก็ซาบซึ้งถึงความรัก ความห่วงใยของแม่อย่างมากมาย จำได้ว่าเหตุการณ์นั้น เกิดในช่วงเทศกาลปีใหม่ บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองที่สดใสรอบๆๆตัวฉัน ไม่ได้ช่วยให้จิตใจที่เป็นทุกข์ หม่นหมอง โศกเศร้าของฉันหายไปได้เลย ฉันรักเขาหรือ ทำไมฉันถึงได้เสียใจมากมาย กับคำตอบของเขา...การถูกผู้ชายปฏิเสธ...มันทำไมรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้....ช่วงเวลานั้นฉันคิดอะไรไม่ออกฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นแบบนี้ เพราะอะไร...รู้แต่เพียงว่า..ทำไมเขาไม่ให้โอกาสทั้งกับตัวเขาเองและฉัน ให้ได้ลองเปิดใจคบหา ศึกษากัน คำตอบของเขาแบบนี้ คือการปิดกั้นทุกอย่างระหว่างเรา ฉันโทรไปหาพี่มะลิ (เจ้าของห้อง chatที่ทั้งฉันกับเขา สนิทสนมและเคารพมาก พี่มะลิ จะรับรู้เรื่องราวของเราทั้งคู่ตั้งแต่รู้จักกัน)เพื่อเล่า เพื่อระบาย เพื่อต้องการคำปรึกษา แนะนำ และที่สุด คือต้องการกำลังใจจากใครซักคนในเวลาที่เรา สับสน ท้อแท้ สิ้นหวัง เสียใจมากมายขนาดนี้ พี่มะลิรับสาย และบอกว่า พี่มะลิรู้เรื่องของเราหมดแล้ว และตอนนี้เขาอยู่ที่บ้านพี่มะลินี่เอง (ทันทีทีได้ยินว่า เขาอยู่ที่นั่น ใจฉันเต้นแรงอย่างระงับไม่อยู่ แม้แต่ชื่อของเขา ก็มีอิทธิพลกับจฉันมากมายขนาดนี้) พี่มะลิต่อด้วยการบรรยายถึงสภาพของเขานตอนนี้ดูอิดโรย ดวงตาแดงช้ำ หนวดเคราครึ้มเขียว เขามาหาพี่มะลิ...มาหาทำไม...เพื่ออะไร ...ในเมื่อทุกอย่าง เขาได้ตัดสินไปแล้ว...ด้วยตัวเขาเอง...
11 กรกฎาคม 2550 15:12 น. - comment id 96872
มีต่ออีกรึเปล่าจารออ่านน้าสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
11 กรกฎาคม 2550 17:03 น. - comment id 96873
ขอบคุณนะคะ คุณ BAA_BORzaa สำหรับการติดตามและกำลังใจ เย๊ๆๆๆ ในที่สุด ก็มีผู้อ่านหน้าใหม่มาโพสต์ให้กำลังใจ..ดีใจมากมายค่ะ ตอนต่อไป จะตามมาเร็วๆๆนี้ค่ะ ว่าแต่เอาใจช่วยพระเอก หรือนางเอกล่ะคะเนี่ยย อิอิ..
12 กรกฎาคม 2550 13:11 น. - comment id 96886
ไมได้เข้ามาหลายวันแล้ว สนุกเข้มข้นขึ้นทุกตอน ลุ้นระทึกนะเนี่ย....
12 กรกฎาคม 2550 14:39 น. - comment id 96887
คิดถึงคุณโอ้ละหนอเหมือนกัน ไม่เห็นมาโพสต์ข้อความเหมือนเคย....แต่วันนี้เห็นข้อความแล้ว รู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าแวะมาทักทายค่ะ.... สบายดีนะคะ...แล้วเจอกันค่า
13 กรกฎาคม 2550 22:21 น. - comment id 96901
แอบมาอ่าน ถึงตอนที่ 5 แล้ว อ่านแล้วเหมือนได้ย้อนเข้าไปอยู่ในอดีตที่ผ่านมา ของเรื่องราวต่างๆของน้องทั้ง 2 คนอีกครั้งหนี่ง เข้ามาอ่านครั้งแรก พออ่านชื่อเรื่องแล้วสงสารพระเอก มากๆ อย่างไรเสีย พี่มะลิ ก็เอาใจช่วยพระเอก อยู่ดีแหละ รออ่านตอนต่อไป
15 กรกฎาคม 2550 03:07 น. - comment id 96906
เมื่อไหร่จะมีตอนที่ 6 คะ จะรออ่านนะคะ เอาใจช่วยนางเอกค่ะ