สถานการณ์ภาคใต้ 21 -
sangtien
บทที่ ๒๑ คีย์แมนโทน...แฉวิธีโจรจะยึดเมือง - โดย สอาด จันทร์ดี
............ผมโทรไปหา "คีย์แมนโทน" ซึ่งตอนนี้ ได้แยกย้ายกลับบ้านตั้งแต่ โรงแยกแก๊สก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่ๆ ด้วยเหตุว่าผมยังคงติดต่อกับคีย์แมนโทนเป็นระยะ ทำให้ผมได้ทราบเรื่องราว ความดุเดือดเลือดพล่าน ของพวกโจรปัตตานี พอที่จะประมวลได้
ครั้งหลังสุด ผมยกหูโทรเมื่อวันที่ ๒๘ พศจิกายน ๒๕๔๙ ผมบอกว่า ผมหางานรับเหมาใหม่ที่อำเภอจะนะ ห่างจากที่เดิม ๑๐ กม.ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งขณะนี้บริษัทชิโน-ไทย เป็นผู้รับเหมาใหญ่ รับต่อมาจากบริษัทเมรูเบนี (ญี่ปุ่น) มีบริษัทเล็กๆรับเหมาช่วงอีกหลายบริษัท โครงการนี้เป็นโครงการโรงงานไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เขาอยากได้งานทำ จึงรับปากจะรีปไปพบผม
คีย์แมนโทนบอกให้ผมรอพบหน่อย เขาต้องการพบผมเพื่อจะหางานทำ จะไปพบผมที่อำเภอหาดใหญ่ เขาจะมีเวลาช่วงเช้าตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๔.๐๐ น แล้วจะรับกลับ
ผมรับปากด้วยความดีใจที่จะได้พบโทน ตั้งใจจะต้องหาคำตอบ และจะต้องหางานให้เขาทำ ไม่เช่นนั้นก็จะทำให้เขาเกิดเข้าใจผิดว่า ผมอยากรู้เรื่องภาคใต้มากเกินไป
แต่ไม่นาน...หลังจากหนังสือเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่...
ถึงเวลานั้น จะไม่มีอะไรปิดบังอีกแล้ว...เขาต้องรู้ "ตัวจริง" ของผมจนได้
ผมนั่งรออยู่ห้องพัก ขณะนั่งรอ ผมได้เขียนต้นฉบับให้ นสพ. บ้านเมือง อีก ๒ ตอน เป็นเรื่อง "ยะลาวิกฤติ" กับเรื่องประวัติความเป็นมาของโจรปัตตานี แล้วผมก็ส่งให้ "คุณวิเชียร อินจนา" หน.บก.บ้านเมือง
อีกไม่นาน คีย์แมนโทนก็โผล่เข้ามาในห้อง
คีย์แมนโทนถามเรื่องงาน ผมบอกเขาว่า "คุณช้าง" นายช่างคนเดิม ทำงานอยู่โรงไฟฟ้าจะนะ เพิ่งจะลงมือ ถ้าโทนอยากทำงาน จะฝากให้ เขาบอกว่าเขาอยากทำ ผมจึงต่อโทรศัพท์ถึงคุณช้างที่โรงไฟฟ้า ฝากงานให้เขาทำได้โดยไม่ยาก
ผมถือโอกาสนั้นสอบถามเรื่องราวโจรปัตตานี เขาเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบังเหมือนเช่นเคย โดยได้นำความน่ากลัวว่าจะเกิดเหตุรุนแรง...เขาบอกว่าโจรก่อการร้ายได้ส้องสุมกำลังผู้คนเอาไว้ แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม กำหนดดีเดย์ก่อนสิ้นปี ๒๕๔๙ หรืออย่างช้า ต้นปี ๒๕๕๐
กลุ่มที่หนึ่ง เป็นหน่วยกล้าตาย จบวิทยายุทธ์มาจากต่างประเทศ ภายใต้การนำของหัวหน้าโจร ใช้ชื่อจัดตั้งว่า "ดอเยาะ" ดอเยาะรับบัญชามาจากสะแปอิง เจ้าของโรงเรียนธรรมวิทยา
คนของดอเยาะส่วนหนึ่ง มาจากอาเจะห์ เป็นนักรบชั้นแนวหน้า
ทั้งสองกองกำลัง มีการเตรียมพร้อมที่จะก่อความไม่สงบขั้นรุนแรง
กสุ่มที่สอง มีหัวหน้าโจรชื่อ "มะแซ อุเซ็ง" ค่าหัว ๕ ล้านบาท มะแซ อุเซ็ง มีอำนาจใหญ่โตมาก ถ้าพวกโจรปัตตานีได้รับชัยชนะ มะแซ อุเซ็ง จะได้รับตำแหน่ง ผบ.ทบ. และจะได้เป็นรัฐมนตรีว่า กระทรวงกลาโหม
กลุ่มที่ ๓ มีหัวหน้ามากมายหลายคน รวบรวมกองกำลังหญิงและเด็กเอาไว้ขึ้นยึดที่ทำการของรัฐ เช่น สถานีตำรวจ สถานีอนามัย โรงพยาบาล สำนักงาน อบต. ที่ว่าการอำเภอ ศาลากลางจังหวัด ศาล วัด ศาลาประชาคม
มีเป้าหมายจะปิดล้อมค่ายทหาร และตำรวจ บังคับให้ยอมจำนน
โจรจะบุกเข้ายึดพระราชวังทักษิณราชนิเวศน์ แล้วจะใช้เป็นที่ประกาศเอกราช....
คีย์แมนโทนบอกต่อไปว่า ถ้าแผนการต่างๆไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้ โจรปัตตานีจะใช้วิธีก่อกวนทำความเสียหายให้เกิดขึ้นจนทนไม่ไหว การฆ่าตัดคอ เผาดิบ หรือเอามีดเชือดให้เป็นคดีฮือฮา ทำลายความศรัทธาของประชาชนว่า รัฐไม่มีความสามารถทำให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบลงได้ จะทำให้เกิดความกดดันในรูปแบบต่างๆ หนักหน่วงยิ่งขึ้น
มีเรื่องจริงที่โจรทำได้แล้วในวันนี้ (๒๘ พศจิกายน ๒๕๔๙) ได้แก่การยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ โจรสามารถควบคุมมวลชนได้ครบทุกพื่นที่ พวกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และคนพุทธกลายเป็น "ตุ๊กตาไขลาน" เดินกะย่องกะแย่งเหมือนคนตายทั้งเป็น
เรื่องจริงอีกเรื่อง ได้แก่ ไม่มีใครรู้ว่า "หัวหน้าบงการใหญ่" อยู่เบื้องหลังคือใคร
คีย์แมนโทน บอกว่า ฝ่ายราชการเพ่งเล็งไปที่สะแปอิง โรงเรียนธรรมวิทยา ว่าเป็นหัวหน้าโจร
จะว่าสะแปอิงก็ใช่ เพราะว่าผู้ที่จะถูกเปิดตัวให้เป็นผู้นำสูงสุด ในวันประกาศตั้งรัฐปัตตานี ได้แก่ "สะแปอิง" อย่างแน่นอน สะแปอิง มีฐานะทางสังคมสร้างเอาไว้สูง ฝีก "นักรบ" เอาไว้มาก พวกนักรบของสะแปอิง เป็นนักเรียนนักศึกษาระดับเยาว์วัย สมัยหนึ่งเคยมีภาพหลุดรอดออกมาว่า เป็นภาพฝีกการรบในป่า หนังสืพิมพ์เอาไปลงข่าวฮือฮา
ต่อมาไม่กี่วัน..มีข่าวออกมาจากหน่วยเหนือว่า เป็นภาพนักเรียนแต่งแฟนซี
ไม่ใช่เป็นภาพนักศึกษาฝีกอาวุธ...
แส่ดงให้เห็นว่า "ไส้ศึก" ทำงานสกัดกั้นเพื่อปกป้องพวกเขาอย่างได้ผล
อย่างไรก็ตาม มนต์ขลังที่จะได้ใครมาเป็นผู้นำของประเทศที่แท้จริงนั้น เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ตอนนั้น จะมีหัวหน้าใหญ๋ "เบอร์ซาตู ชื้อ ดร.วัน กาเดร์" จากกัวลาลัมเปอร์ รวมทั้งหัวหน้าใหญ่จาก ซ่าอุดิอาระเบีย หรือ กลุ่มประเทศอาหรับทั้งหมด หรือต่อไปถึงหัวหน้าใหญ่ในประเทศสวีเดน อเมริกา และ ยูโรป จะพากันลงมติว่า จะลือกใครมาเป็น
" สุลต่านองค์แรก"
รัชทายาทราชวงค์ที่แท้จริงของเชื้อสายสุลต่าน...ถูกเก็บเอาไว้ในความลี้ลับ
เขาลือกันว่าประดาแกนนำต่างๆ รู้กันแล้วว่าเป็นใคร
คีย์แมนโทนบอกว่า ในเบื้องต้นนี้ ขั้นตอนที่สำคัญคือ กำลังอยู่ในข่วงของการเตรียมยึดเมืองให้เป็นที่เปิดเผย ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะยึดอย่างไร จึงจะทำให้เป็นที่เปิดเผยได้
สถานการณ์ในเวลานี้ จึงอยู่ในทาง ๒ ปัญหา
ปัญหาที่หนึ่ง - ขณะนี้โจรยึดอำนาจรัฐได้แล้วเกือบหมด แต่ยังไม่มีทางประกาศเปิดเผยได้
ปัญหาที่สอง - โจรกำลังวางแผนขั้นแตกหัก หาทาง "ยึดเมือง" แล้วประกาศแก่ชาวโลกได้
คีย์แมนโทนบอกว่า พวกแกนนำเขาคิดหาหนทางใน ๒ ปัญหานี้อยู่ อันหมายถึงประชาชน ยังคงไปไหนมาไหนได้สะดวก เพราะเป็นอิสลามอยู่ในกลุ่มแนวร่วมของโจรปัตตานี สักษณะเช่นนี้แหละ ที่แสดงว่าโจรยึดเมืองได้แล้ว แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ประชาชนเท่านั้น ยังไม่ได้ประกาศให้ชาวโลกรู้ พวกเขากำลังหาหนทางประกาศอยู่
โทนบอกว่าเขาสงสารและรู้สึกเห็นใจคนพุทธ แต่จะทำอย่างไรได้ มันใหญ่โตเกินไปที่คนอย่างเขาจะออกความเห็น
ผมเดินลงมาส่งคีย์แมนโทนที่ลานจอดรถ เขาขับรถออกไปด้วยท่าทางสดชื่นแจ่มใส ไม่มีแววรับทุกช์อะไรเลย ตรงกันข้ามกับชาวหาดใหญ่ทั้งหลาย พากันตกอยู่ในอาการขรึมซึมเศร้าฝังลึก บางคนบอกกับผมว่า ชีวิตไม่ปลอดภัย ถ้าโจรปัตตานีได้ ๓ จังหวัด มันจะกระทบร้ายแรงถึง ๕ - ๖ จังหวัด
ภุเก็ต เกาะสมุย เกาะสาหร่าย เกาะลันตา...หรือเกาะตะรุเตา ฉิบหายหมด
อ่าวไทย หรืออันดามัน...เสร็จมัน..
ผมบอกกับชาวหาดใหญ่ที่รักกันว่า...เป็นไปไม่ได้
ชาวหาดใหญ่ตอกกลับผมว่า...รัฐบาลก็พุดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันกำลังจะเป็นไป
เมือได้ยินเช่นนั้น ผมเงียบอึ้งเลย...
บทที่ ๒๒ โฉมหน้าผู้บงการซ่อนอยู่ ในองค์การศาสนา..โดย สอาด จันทร์ดี
ในที่สุด...โจรปัตตานีก็ได้รับความสำเร็จ ในการทำให้ทุกคนเข้าใจได้ไม่ยากว่า เจ้าภาพของการต่อสู้ "คือ องค์กรศาสนาอิสลาม" โดยเฉพาะได้แก่ องค์กรศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ทำหน้าที่เป็นแกนหลัก (เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า องค์การอิสลามในกรุงเทพมหานคร ไม่มบทบาทในการต่อสู้) ทำให้โฟกัสลงไปได้ว่า
ผู้นำศาสนา และผู้สอนศาสนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม
วิธีการของโจรปัตตานี จะอ้างอยู่ ๒ ประการ
๑) อ้างว่าประเทศไทย ปกครองปัตตานีด้วยความไม่เป็นธรรม กดขึ่ข่มเหง
๒) รัฐบาลไทยข่มเหงรังแกอิสลาม...!!
โจรปัตตานี ได้อาศัย ๒ ประเด็นนี้ เป็นสาเหตุหลักก่อให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าก่อปัญหาไม่ได้ ก็จะใช้วิธีการ "ทำร้าย" หรือไม่ก็อาศัยวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ออกเอกสารกล่าวหา ทำให้สังคมมุสลิมปั่นป่วน เพราะชาวบ้านได้รับฟังแต่เรื่องที่ไม่จริง
โจรปัตตานีสามารถสร้างผู้นำทางศาสนารวมทั้งครูสอนศาสนา (อุสตาส) ให้เป็นหัวหน้าในพื้นที่ต่างๆ แล้วแบ่งกันรับผิดชอบ ออกปฎิบัติการตามคำสั่ง และยังสามารถทำให้ห้วหน้าแต่ละคนมีความดูดดื่ม เลื่อมใสศรัทธา พอกพูนอุดมการณ์อย่างถวายหัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือการเป็นนักรบของพระเจ้า เป็นการทำสงครามเพื่อปลดปล่อยอิสลาม
แล้วก็สร้างให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คนอิสลามทุกคนคือนักรบของพระเจ้า ถ้าใครไม่รบก็จะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างอื่นแทน หรือถ้าช่วยเหลือไม่ได้ก็ต้องยืนอยู่ข้างเดียวกัน ทุกคนต้องสาบานว่า จะต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปัตตานีให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้า โดยถือคำสาบานว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนได้เปล่งวาจาออกมาด้วยความเสียสละ ไม่กลัวตายใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นคำสัตย์สูงสุด
โจรปัตตานี ได้ใช้วิธีหลายรูปแบบ อบรมบ่มนิสัย สร้างนักรบ สร้างความกล้าหาญ ทำให้ผู้ที่ได้รับการอบรม จะยินยอมพร้อมใจ มอบตัวเองเข้าไปรับใช้ โดยไม่ได้นึกแม้แต่นิดว่าแผ่นดินที่อ้างว่าจะปลดปล่อยให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้านั้น ที่แท้ก็คือจังหวัดปัตตานีที่เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยตั้งแตไหนแต่ไรมา
โจรปัตตานีบิดเบือนข้อเท็จจริง ปลอมประวัติศาสตร์ ทำให้เชื่อว่าปัตตานีและอีกหลายจังหวัดเป็นส่วนหนึ่งของมลายู แต่ต้องเสียดินแดนให้ไทยเพราะอังกฤษเข้ามารุกราน แล้วอังกฤษก็แบ่งส่วนนี้ให้ประเทศไทยยึดครอง
เมื่อประเทศมลายูทั้งหมดได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ประเทศไทยไม่ยอมให้เอกราชแก่ปัตตานีแม้เพียงตารางนิ้วเดียว
สิ่งเหล่านี้คือการบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ความจริงในประวัติศาสตร์นั้น ปัตตานีและอีกหลายจังหวัดในแหลมมลายู เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยกรูงครีอยุธยา เช่น ไทรบุรี เป็นต้น ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหมู่บ้านไทยตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน รัฐเปอร์สิส และเมืองอะโรสตาร์ หมู่บ้านบางหมู่บ้าน ยังมีชื่อไทย เช่น หมู่บ้านนาคา คนไทยในประเทศมาเลเซียพูดไทยสำเนียงกรุงเทพฯยังไงยังงั้น เหมือนคนบางกอก - ไม่มีเพี้ยน (ผู้เขียนไปเยื่ยมชมหมู่บ้านเหล่านี้มาหลายครั้ง)
ประเทศไทยตะหากเสียดินแดนให้อังกฤษ เมื่ออังกฤษปล่อยมลายูให้ได้รับเอกราช แทนที่ประเทศไทยจะได้ดินแดนคืน กลับสูญเสียไปเลยรวมแล้ว ๕ จังหวัด เช่น จังหวัดปีนัง เป็นต้น
ดินแดนปัตตานี เป็นของประเทศไทยตั้งแต่โบราณกาล แต่เนื่องด้วยคนมลายูได้อพยพเข้ามามาก กอรปกับนับถือศาสนาอิสลาม จึงอ้างไปส่งเดชว่า ไทยปกครองปัตตานีมายาวนาน ไม่ยอมให้เอกราช
เรื่องง่ายๆ ในประวัติศาสตร์โดยแท้ แต่กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ถูกโจรปัตตานีแหกตา เอาไปโฆษณาชวนเชื่อ ตั้งแต่เมือ ๕๐๐ ปี ก่อนถึงปัจจุบัน ยังไม่เลิก
วิธีการที่พวกโจรเอามาใช้อย่างได้ผลนั้น เรื่องคือการ "บิดเบือน" แล้วก็สร้างสิ่งที่บิดเปือนให้น่าเชื่อถือว่า เป็นเรื่องจริง โจรปัตตานีได้อาศัยสถาบันของศาสนา แล้วอ้างเอาพระเจ้า หรือ "องค์อัลเลาะห์" มาเรียกร้องความสามัคคึจากชาวบ้าน ซึ่งเป็นอิสลามด้วยกัน
พี่น้องอิสลามผู้บริสทธิ์ตกเป็นเหยื่อของโจรอิสลาม ขยายวงกว้างออกไปทุกที
โจรปัตตานีชี้ให้เห็นว่า การปกครองที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติที่แท้จริง ต้องเป็นรัฐอิสลามเท่านั้น ผู้นำของประเทศ ต้องใช้หลักการของพระศาสนาบริหารประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อปัตตานีได้รับการปลดปล่อย คณะกรรมการจะทำการเลือกเฟ้นอย่างสำคัญที่สุด เพื่อจะสรรหาผู้นำของประเทศ
รู้กันในหมู่ชาวปัตตานี ยะลา นราธิวาส ว่ามีทางสองแพร่งที่จะต้องเลือกเดินในอนาคต แพร่งที่หนึ่ง ผู้นำสูงสุดเลือกมาจากสายสุลต่านเก่า หรือ/แพร่งที่สอง เลือกมาจากผู้นำสูงสุดของศาสนาอิสลาม หรือจะได้รับการสถาปนาเป็นสุลต่านองค์แรก
วันนี้ ถ้าอยากดูโฉมหน้าของผู้บงการ กับโฉมหน้าใครถูกจองตัวให้เป็นประธานประเทศ จะไม่เหมือน...คนที "บงการ" กับคนทึ่จะมาเป็น "สุลต่าน" ไม่ได้เกี่ยวกัน คนที่จะมาเป็นผู้นำหรือสุลต่าน ไม่ได้ร่วมบัญชาการรบ แต่ได้ทำหน้าที่ในระดับสากล
คนที่บัญชาการ ก็บัญชาการรบ ทำหน้าที่ "รบ" เป็นการจำเพาะ
โฉมหน้าของผู้บงการ ที่คนไทยอยากรู้ว่าเป็นใคร(?)นั้น ถ้าต้องการรู้จริงๆ ก็ไม่เกินบ่ากว่าแรงที่จะรู้ได้ ซึ่งผู้สันทัดกรณีได้บอกวิธีการดูเอาไว้ ดังนี้
๑. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "อับดุลกาเดร์" ว่ามีใครเป็นคนสายนี้?
๒. ดูได้จากสายเลือดคนใดคนหนึ่งของ "หะยีสุหลง" ว่ามีใครเป็นลูกเต้า เหล่ากอ?
สรุปแล้วมีอยู่ ๒ สายเท่านั้น ดูได้ไม่ยากเลย ดูแล้วจะร้อง "อ๋อ" คนนี้เอง ทีนี้...ถ้าอยากรู้ให้ชัด ก็ต้องค้นหาว่า "ใคร"...คือสายเลือดของ"อับดุลกาเดร์"...? และใครคือสายเลือดของ "หะยีสุหลง" ? คนใดคนหนึ่งใน "ต้นตระกูล" นักสู้ดังกล่าวนี้ คือจอมบงการอย่างแน่นอน และถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า ทั้งอับดุลกาเดร์(พ.ศ. ๒๔๔๐) เรื่องราวเมื่อ ๑๐๙ ปีก่อน และหะยีสุหลง อับดุบกาเดร์ (พ.ศ. ๒๔๙๔) เรื่องราวเมื่อ ๕๕ ปีผ่าน เป็นเชื้อสายเดียวกันหรือไม่
เมื่อวิเคราะห์อย่างนี้ ก็จะเหลือ "ผู้บงการ" อยู่หนึ่งเดียว
ขณะนี้มีบัญชีรายชื่อผู้บงการอยู่หลายคน เช่น มะแซ อุเซ็ง (ค่าหัว ๕ ล้านบาท)
สะแปอิง ผู้โด่งดังจากโรงเรียนธรรมวิทยา และ ดร.วัน กาเดร์ หัวหน้าขบวนการ
" เบอร์ซาตู" ตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ไม่มีใครรู้ว่า ดร.วัน กาเดร์ เป็นลูกหลานใคร แต่การที่เขาก้าวขึ้นมาเป็น "แม่ทัพใหญ่" ควบคุมทุกขบวนการเอาไว้ในคอลโทรล ชื่อขบวนการของเขา ไม่ใช่เขาตั้งเอง แต่เขาได้จับเอาองค์กรจัดตั้ง ๒๓ องค์กร เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว จึงเรียก เบอร์ซาตู โดยไม่มีคำว่า "พูโล" พ่วงท้ายเลย
เบอร์ หมายถึง "อับดับที่..."
ซาตู..หมายถึง "หนึ่ง"
ผู้สันทัดกรณ๊เอง ก็ไม่อาจวิเคราะห์ฐานะของ ดร.วัน กาเดร์ ได้ แต่น่าจะเชื่อว่า นายคนนี้คือกระเป๋าเงิน "หนึ่งหมื่นล้าน" ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชู สร้างกองทัพพระเจ้าให้เติบโตขึ้นมา นอกจากจะเป็นกระเป๋าเงินแล้ว เขายังเป็นที่ยอมรับของนักการเมืองในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะคือ ท่านอดีต นายกฯ มหาเธร์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโฉมหน้าของจอมบงการ จะยังไม่ชัดก็ตาม ภาพได้ปรากฎชัดออกมาว่า องค์กรศาสนาอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือเจ้าภาพตัวจริง!!
โจรปัตตานีเองมีความจงใจทีจะให้เจ้าภาพตัวจริง คือสถาบันอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โจรปัตตานีสามารถชูเอาศาสนาขึ้นมาเป็นจอมทัพ โดยพยายาม "ปั้นกรอบ" ให้เป็นภาระหน้าที่ของชาวอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น เป็นการปกป้องอิสลามจากส่วนกลางไม่ให้ได้รับผลกระทบ
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ได้อาศัย "พลังอิสลาม" เป็นทฤษฏีชี้นำไปในตัวเสร็จ
พร้อมกันนี้ ก็ได้ป้องกันมิให้อิสลามจากส่วนกลาง เช้ามามีบทบาทร่วมโดยเฉพาะในความเชื่อที่ว่า ถ้าได้รัฐปัตตานีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นท่านจูฬาราชมนตรี หรืออิสลามคณะใดก็ตาม ไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากชาติที่ตั้งขึ้นใหม่ในโลก
พวกเขาคิดการไกลชนาดนั้น ผมพยายามที่จะกระเทาะเปลือกให้เห็นใบหน้าจอมบงการ คือใคร ซึ่งตอนนี้ท่านอ่านออกได้เองแล้วว่า "คนนั้นกับคนนี้" คือจอมบงการ แม้ว่าโจรปัตตานีจะหาทางให้ ศาสนาอิสลาม เป็นเจ้าภาพที่แท้จริง แต่โจมบงการที่แท้จริงมิใช่ศาสนา แต่เป็นคนที่มีพละกำลัง อำนาจ
คน-คนนั้นเคยเป็นถึงรัฐมนตรี เคยเป็นนักการเมืองใหญ่
เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของกบฎปัตตานี
แล้ววันนี้...เขาบงการต่อ...ในขณะที่รัฐบาลบอกว่า ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนถึงไข่แดงแล้วคลี่ให้ดูว่า ไฟใต้...ใครบงการ ? เมื่อท่านอ่านจบ โปรดจำขื่อเอาไว้...โจรปัตตานีพวกนี้ ป้วนเ**ยนอยูในแวดวงการต่อสู้ อยู่ไม่ไกลจากตัวท่านดอกครับ
นี้คือทีวีวงจรปิด ที่สามารถฉายภาพดูได้...แต่รัฐบาลไม่ยอมฉาย...มันถึงได้มืดยังไงล่ะ
บทที่1 ไม่เกินปี 2551 ประเทศไทยจะสูญเสียดินแดน
ผมขออนุญาตเขียนบทความวิเคราะห์สถานะการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บ้างนะครับ
ขออ้างอิงข้อมูลจากท่านสอาด จันทร์ดี ซึ่งมีความใกล้เคียงกับที่ผมเคยวิเคราะห์ด้วยตนเองมาก่อนหน้านั้น(ปลายปี 2547) และผมได้ติดตามอ่านบทความของท่านสอาด จันทร์ดีมาทุกตอนเลย ได้ประโยชน์มากๆอย่างเหลือล้น และมีความน่าจะเป็นดังที่ท่านเขียนมานั้น 80-90 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนว่าผมเป็นคนเชียงใหม่เคยรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาบ้างแต่น้อยมากเมื่อเทียบกับที่ท่านเขียน แต่ผมเข้าใจในความประสงค์ของโจรใต้ตรงกันกับที่ท่านเขียนก็คือ พวกมันมีเป้าหมายเดียวธงอันเดียวเท่านั้นคือแบ่งแยกดินแดน (ใครที่คิดจะสมานฉันท์กับมันนั้นถือได้ว่าหน่อมแน่มมากๆ) และผมก็คิดได้ถึงกลยุทธ์ที่โจรใต้จะนำมาใช้กับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยผมก็คิดเอาเองได้เกือบทุกข้อที่ท่านเขียน ที่คิดไม่ถึงก็คือ กลยุทธ์ที่ 5 และ 15 ผมไม่เคยคิดว่าพวกนี้เป็นโจรกระจอกเลย พวกนี้อดทนมานะพยายามสูงมากๆ
หลังจากที่อ่านบทความของท่านสอาด จันทร์ดี ในเรื่องกลยุทธ์ที่ 15 แล้ว ผมมานั่งวิเคราะห์แล้วพบว่า กลยุทธ์ที่ 15 หากถูกนำมาใช้จริงๆ คิดว่าภายในปีนี้แหละ(2550)คงต้องถูกนำมาใช้แน่นอน และตอนนั้นต้องเกิดการรบกับรัฐบาลไทยเป็นแน่แท้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีวิธีแก้ไขใดๆได้อีกแล้ว เหตุการณ์นองเลือดกระจายทั่ว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเกิดขึ้นตามมา
หลังจากนั้นชาวอิสลามทั่วโลกจะเรียกร้องให้ UN ออกมาจัดการกับปัญหานี้ และ UN คงไม่อาจจะปฏิเสธได้ เหตุการณ์ก็จะนำไปสู่สถานการณ์เช่นเดียวกันกับติมอร์ตะวันออก คือ รัฐบาลไทยต้องถอนทหารออกไปจากเขตพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ UN จะจัดส่งกองกำลังทหารจากชาติที่เป็นกลางมาควบคุมดูแลแทน
ขั้นตอนต่อไปก็คือ UN จะจัดให้มีการทำประชามติสอบถามประชาชนในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในเรื่อง การขอประกาศแยกตัวอิสระ ซึ่งหากผลประชามติออกมาว่า ต้องการ ทาง UN ก็จะดำเนินการสอบถามประชามติอีกครั้งถึงชื่อที่จะใช้เรียกประเทศของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และดำเนินการประกาศให้ชาวโลกรับรู้โดยทั่วกันว่า จะมีประเทศที่เกิดใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 ประเทศชื่อ.....?...... ขั้นตอนนี้คาดว่าใช้เวลาจนเสร็จสิ้นกระบวนการไม่เกินปี 2551
ติดตามบทที่ 2 ป้องกันก่อนแก้ไขโดย อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง