::แรงบางแรง:: ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ 20 เมษายน 2550 โฉมเฉลา กับผม แม้จะมีวัยไล่เลี่ยกัน บ้านอยู่ใกล้ชิดติดกัน เมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาว ผมกับเธอกลับไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอีก อาจเป็นเพราะกำแพงบ้านของเธอและกำแพงหัวใจของผมกั้นเธอกับผมไว้คนละด้าน โฉมเฉลาอยู่บ้านทรงสเปนสีขาว บังไว้ด้วยกำแพงปูนสีเดียวกันสูงเพียงตา บ้านนั้นสง่างามในความรู้สึกของคนร่วมชุมชนหมู่บ้านชานเมืองต่างจังหวัด บ้านของผมเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง มองเห็นความโล่งโปร่งของพื้นที่บ้านได้ถนัดจากทุกมุม หญิงสาวคนข้างบ้านของผมเธอมีผิวเนียนขาว ใบหน้าของเธอเรืองงามด้วยเครื่องสำอางราคาแพงหลากชนิด เสื้อผ้าอาภารณ์และเครื่องประดับล้วนเป็นของมียี่ห้อหรู ทุกครั้งที่ผมพบเธอในห้าง ผมไม่เคยกล้าที่จะเข้าไปทัก ผมน่าจะต่ำต้อยและมอซอเกินไปในแววตาที่ผมเองหลีกและหลบ ความแตกต่างราวฟ้ากับดินระหว่างเธอกับผมเป็นเหมือนบางอย่างที่ผลักผมอย่างไร้เหตุผลให้ออกจากบ้านไปที่ไหนก็ได้ที่ไกลแสนไกล ช่วงวัยเยาว์ที่ผมกับเธอเรียนชั้นประถมด้วยกัน ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าผมชอบผู้หญิงคนนี้ นัยน์ตากลมโตคู่นั้นเคยสะกดผมและคนอื่น ๆ ให้อยู่ใต้อำนาจมานับครั้งไม่ถ้วน อ้ายแดงหัวดื้อหลังห้องยังต้องยอมขโมยดินสออย่างดีของเด็กห้องอื่นมาให้เธอ อ้ายเขียวจอมโวยังแอบลักยางลบของครูมาเสนอสนอง คนอื่น ๆ อีกที่ก่อวีรกรรมหลากหลายเพื่อเอาใจเธอ แม้ผมเองก็เถอะยังยอมวาดรูปให้เธอส่งได้คะแนนมากกว่าที่ผมวาดให้ตัวเองอีก ในห้อง เพื่อน ๆ เรียกผมว่าอ้ายก่ำซื่อบื้อ เธอเองก็พลอยเรียกผมอ้ายก่ำ ๆ ตามสีผิวออกคล้ำของผม ด้วย ในห้องเรียนโฉมเฉลาวางตัวไม่แตกต่างจากเพื่อนผู้หญิงคนอื่น ๆ แต่นอกห้องเรียนเธอผิดไปเป็นคนละคน วาจาฉาดฉาน ทันคน โต้ตอบผู้ชายได้ทุกวัย ตั้งแต่อ้ายป๊อดรุ่นน้องยันลุงมาและตาเม่า บางทีผมสังเกตเห็นเธอส่งสายตาหวานเยิ้มให้กับเพื่อนของผมหลายคนเกือบจะพร้อมกัน มากกว่านั้นก็คือเธอไม่ค่อยหวงตัว นั่นแหละคือเหตุผลข้อสำคัญที่ทำให้ผมที่ก็แอบรักเธอเจ็บปวดหัวใจ กลายเป็นคนจรจัด แบบที่เป็นอยู่ ผมเริ่มนุ่งขาวห่มขาว ฝึกตน เพื่อรอบวชมานานแล้วครับ แต่พระสงฆ์ไม่ยอมบวชให้เสียที พระท่านว่าผมยังมีกรรมใหญ่ที่ต้องชดใช้อยู่จึงยังไม่ให้ถือเพศบรรพชิต เกรงว่าจะทำให้ศาสนามัวหมอง ผมยอมปฏิบัติตามระเบียบวินัยของวัดอย่างเคร่งครัด โดยหวังว่าซักวันหนึ่งผมจะได้ฝึกตนอย่างนักพรตผู้องอาจทั้งหลาย ผมถือวัตรอย่างพระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งปวงที่ต้องตื่นแต่ตี 3 ทำกิจส่วนตัวแล้วครองผ้าออกมาทำวัตรเช้า โดยสวดมนตร์ยาวแล้ว นั่งสมาธิ เดินจงกรม แล้วแผ่เมตตาแด่สรรพสัตว์ และเทพาอารักษ์ที่สิงสถิตอยู่ ณ เรือนโพธิ์และวิหารน้อย สถูปใหญ่ ก่อนติดตามพระสงฆ์ ออกรับบิณฑบาต เมื่อแสงเงินฉายเห็นลายมือ ผมว่าผมหนีมาไกลแล้ว แต่ที่ไหนได้ครับ ผู้หญิงคนที่ผมเกริ่นถึงในตอนต้นเรื่องกับเพื่อนสาวของเธอมาจอดรถคันหรูรอดักตักบาตรให้ผมเหลือบชำเลืองเกือบทุกวัน เธอยังสวมใส่เสื้อผ้าเหมือนดังเดิม แต่งหน้าตา เหมือนดังเดิม กิริยาเท่านั้นที่ดูสำรวมขึ้นบ้าง ผมได้ยินเธอพูดว่า เธอมาทำงานต่างจังหวัดเมื่อไม่นานมานี้ ทำบาปทำกรรมมาเยอะ อยากจะทำบุญบ้าง หลวงพ่อแย้มอย่างสำรวมและกล่าวอนุโมทนา ภาพเดิม ๆ ที่เคยติดตาผม ตามมารบกวนจนผมไม่เป็นอันท่องบ่นมนตร์คาถา สมาธิและจงกรมนั้นไม่ต้องพูดถึง ภาพยิ้มอันหวานเยิ้มยั่วยวนใครต่อใคร มันรบกวนหัวใจของผมจนนึกหน่ายชังตนเอง เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด นี่กระมังที่พระท่านเรียกทุกข์ แล้วผมจะหนีมันไปที่ไหนได้อีกล่ะนี่ สิ่งที่เกิดกับผมเหมือนอยู่ในสายตาของหลวงพ่อ เช้าหนึ่งในขณะผมนั่งนิ่งหลับตาเหมือนอยู่ในสมาธิ หลวงพ่อก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าและว่า โยม เห็นทุกข์ไหม มันแผดเผา และรุ่มร้อนมากใช่ไหม พิจารณาตัวทุกข์นั่นแล สังเกตมัน พอจับตาดูมันมากเข้ามันก็จะเปลี่ยนแปลง แม้แต่ตัวทุกข์มันก็ไม่ตั้งอยู่นาน พระสงฆ์เดินเบาและช้าจากไปแล้วแต่เสียงของท่านยังก้องสะท้อนราวคนตะโกนโต้ตอบกันใกล้หน้าผาหินเปลือย จุดที่หัวใจของผมเจียนสงบลง สันหลังของผมก็เย็นวาบขึ้น ในที่สุดก็รู้สึกเอิบอิ่ม น้ำตาปริ่มขอบตา เวลานั้นผมอยากถือครองจีวรอย่างนักบวชทั่วไปอย่างสุดหัวจิตหัวใจ แต่ไม่ถึงเสี้ยวนาทีต่อจากนั้นผมก็รู้สึกธรรมดา ๆ บางทีบุญของผมอาจไม่ถึงผ้ากาสาวพัสตร์ แต่อย่างไรก็ตามผมก็จะปฏิบัติตนอยู่ในศีลอย่างเข้มข้นแม้ได้ซักเสี้ยวธุลีของศีลบริสุทธิ์ของพระสงฆ์ก็ตาม หลายเดือนต่อมาที่ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมสบายขึ้นแล้ว หลวงพ่ออนุญาตให้ผมกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ โดยให้รถปิ๊คอัพของวัดไปส่งและรับกลับ ในห้วงนั้นเอง ผมได้พบกับโฉมเฉลาและรู้ข่าวคราวของเธออีกครั้ง เธอว่าเธอเลิกกันกับฝรั่งเยอรมันคนนั้นแล้ว และต้องการบวชชี และว่าชีวิตอย่างนักพรตของผมน่าจะสงบสุข ผมไม่สามารถให้คำตอบและคำอธิบาย ๆ ใด ๆ แก่เธอเลยครับ ความเบาสบายในหัวใจ ผมรู้ ผมรู้สึกได้ แต่ผมอธิบายไม่ได้ ได้แต่นึกอนุโมทนาในใจ ดิฉันขอกราบ...จะให้เรียกว่าหลวงพี่ได้หรือเปล่าคะ ดิฉันอยากบวชจริง ๆ ค่ะ เอ่อ..ครับ เอ่อ..ขี้กรากคงกินหัวผมล่ะ ถ้าเรียกอย่างนั้นเพราะผมยังไม่ได้บวช เรียกอ้ายก่ำซื่อบื้อเหมือนเดิมก็น่าจะได้ครับ เรื่องบวชชี คงต้องไปกราบถามหลวงพ่อโน่นแหละครับ โฉมเฉลาเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอให้ผมฟังไม่หยุดเมื่อเห็นท่าทีนิ่งฟังและรับรู้ของผม เธอว่าไปร้องไห้ไปที่ใต้ถุนบ้านของผมนั่นเอง ผมยิ้มอย่างปลอบ แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากกว่านั้น เมื่อกลับไปที่วัด หลวงพ่อถามคำถามแรกว่า รู้จักทุกข์หรือยัง ผมตอบไปว่า มันไม่มีสิ่งใดเที่ยงเลยครับ หลวงพ่อยิ้ม และว่า ตอบมาตรงคำถามนี่ ท่านถามอีกว่า ยังอยากบวชอยู่ไหม ผมว่าแล้วแต่บุญกรรมครับ หลวงพ่อบอกผมว่า ขอให้โยมฝึกฝนต่อไปอีกหนึ่งเดือนถ้าบุญถึงก็จะได้บวชสมใจ ผมยอมตามแต่โดยดี แต่คุณครับ คงเหมือนกรรมเก่าของผมตามมาถึง โฉมเฉลาซิครับเขียนจดหมายมาถึงผมขอให้ไปพบ เธอบอกว่ารักผม และรู้ว่าผมก็รักเธอ หัวใจของผมเต้นตูมตาม โอ้ทุกข์มันเกิดขึ้นแล้วหนอ ๆ ผมนิ่งแล้วพยายามพิจารณาทุกข์นี้อีกครั้ง ขณะที่กำลังพิจารณาทุกข์ รอยยิ้มยั่วยวนและตาอันหวานเยิ้มของโฉมเฉลาก็วูบเข้ามากระตุกต่อมสัญชาตญาณสัตว์ป่าของผม ผมถอนหายใจยาว สำนึกบางฝ่ายดีเท่าที่มีอยู่ถามตัวเองขึ้นมาว่า.. อ้ายก่ำซื่อบื้อเอ๋ย มึงจะมีวาสนาได้บวชไหมหนอ !
20 เมษายน 2550 18:57 น. - comment id 95729
มาทักทายมิตรนักอ่านทุกท่านครับ
20 เมษายน 2550 19:03 น. - comment id 95731
..... แล้วตกลงว่า จะได้บวชไหมคะเนี่ยะ อิอิ ( อิอิ อยากรู้เรื่องคนอื่นอีกแระเรา กิ๊วๆๆ)
20 เมษายน 2550 20:13 น. - comment id 95733
ฮ่า ๆ นั่นสิครับ
21 เมษายน 2550 11:57 น. - comment id 95735
ติดตามผลงานของคุณก่อพงษ์ สนุกดีค่ะเขียนอีกนะคะจะได้อ่านอีก
22 เมษายน 2550 06:34 น. - comment id 95744
สวัสดีครับคุณอ้อแอ้ ขอบคุณมากครับ ผมจะพยายามครับผม