::คนหนุ่มสองคนที่ผมรู้จัก::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::คนหนุ่มสองคนที่ผมรู้จัก::
	ก่อพงษ์   พงษพรชาญวิชช์
	14 เมษายน 2550
                     (เผยแพร่ครั้งแรกในpraphansarn.com)
	
	
	ผลา   เป็นหนุ่มใหญ่   ร่างหนา  ตัวสูง ผิวคล้ำ หน้าตาคมคาย  ตัดผมเกรียน  ผมเพิ่งรู้จักเขา   ส่วน  ดลบุญ   เป็นเด็กหนุ่ม  ผิวขาว  ร่างเล็ก ผอม ไว้ผมยาว   ผมรู้จักเขามานาน
	ผลาเป็นเจ้าของที่ดินร้อยไร่เศษ  ที่ปล่อยให้ไม้ขึ้นเองตามธรรมชาติเบียดแทรกกันราวกับป่า   ผืนดินรอบ ๆ ที่ของเขาเป็นทุ่งอันกว้างใหญ่ของคนอื่น ๆ ที่ทำการเกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อขาย  ในสวนป่าของผลามีวัวขาวฝูงใหญ่เกือบร้อยตัวกินใบไม้ใบหญ้าอยู่ในนั้น   เขาแบ่งที่ออกเป็นล็อค กั้นไว้ด้วยลวดหนามเพื่อให้วัวเข้ากินหญ้าและใบไม้วันละแปลง  ภายในพื้นที่ที่มองจากข้างนอกเข้าไปเหมือนป่ากลางทุ่งแห้งแล้งมีบ่อน้ำขนาดใหญ่สำหรับวัวและปลา มีลอมฟางใหญ่หลายลอมสะสมไว้สำหรับช่วงที่หญ้าและใบไม้ร่อยหรอหน้าแล้ง   ผมได้รู้จักกับผลาเพราะดลบุญ
	ดลบุญ เป็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องจากโรงเรียนในหมู่บ้านเดียวกับผม  เขาเป็นคนเรียนเก่ง  ออกจากบ้านตั้งแต่อายุยังน้อยได้ทุนเรียนต่อจนจบระดับปริญญาโท   นาน ๆ เขาจึงกลับบ้าน  แม้จะไม่ค่อยได้เจอหน้ากันผมก็เห็นความเคลื่อนไหวของเขาจากการติดตามอ่านข้อเขียนในนิตยสารวรรณกรรมที่เขาทำ
	ตอนที่เรียนมัธยมด้วยกันดลบุญเคยแข่งขันแต่งกลอนแปดวันสุนทรภู่อยู่คนละทีมกับผม   ทีมอายุน้อยทีมนั้นชนะทีมรุ่นใหญ่อย่างทีมของผมไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด  เขานับถือฝีมือผมและผมก็นับถือฝีมือเขามาตั้งแต่ตอนนั้น     เราทั้งคู่นับถือครูที่พยายามปลุกปั้นให้เราเป็นนักนิยมวรรณกรรมมาตั้งแต่เยาว์วัย     ดลบุญชวนผมไปทำหนังสือด้วยแต่ผมปฏิเสธ   โดยเลือกที่จะใช้ชีวิตราวกับนักบวชไม่ถือครองจีวร
	ผลาแกร่งมาตั้งแต่ อายุไม่ถึง 12   ปีดี  เขารู้หลักในการครองชีวิตมาตั้งแต่วัยที่พ่อแม่ยังไม่แบ่งทรัพย์สินมรดกให้   เขาชอบปลูกและดูแลต้นไม้   ชอบเลี้ยงสัตว์  เขาเริ่มเป็นเจ้าของวัวและแพะมาตั้งแต่อายุ 15 ปี  ต้นไม้ใหญ่ในแปลงของน้าของอาก็เป็นฝีมือการเพาะเมล็ดและปลูกของเขาทั้งนั้น  เวลานี้ไม้พวกนี้โตพอที่จะทำเสาเรือน ทำพื้น ทำฝาบ้านได้  นั่นเป็นสิ่งที่คนมีอายุหลายคนคิดได้แต่ทำไม่ได้  เพราะมาคิดเอาตอนที่อายุมากแล้ว
	
	ดลบุญ เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ตั้งแต่อายุไม่ถึงวัยเบญจเพส   เขาพิมพ์หนังสือและออกเร่ขายตามโรงเรียนต่าง ๆ นานหลายปี  จนสะสมทุนมากพอที่จะออกนิตยสารวรรณกรรมได้ด้วยตัวเอง  โดยส่วนตัวดลบุญชอบการเขียนร้อยกรองและเรื่องสั้น เขาเขียนโดยใช้นามปากกาหลายนามปากกา  ในที่สุดเมื่อมีที่อยู่ที่ยืนเป็นของตนเองเขาก็หันไปใช้ชื่อและนามสกุลจริงในการเขียนและทำงานบรรณาธิการกิจ  ในวันที่ผมพบกับดลบุญในงานชุมนุมศิษย์เก่าหนหนึ่ง เขาให้ผมดูต้นฉบับบทสัมภาษณ์ผู้คนที่รอการตีพิมพ์อยู่ไม่น้อยกว่าร้อยสกู๊ป   เป็นผู้คนที่เหมือนเพชรรอการเจียระไนย ทั้งนั้น  ในนั้นมีเรื่องของผลา ที่ดลบุญออกปากชวนผมไปเยี่ยมเยียนด้วย
------
เดี๋ยวมาต่อครับ				
comments powered by Disqus
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    18 เมษายน 2550 16:36 น. - comment id 95709

    ต่อ)
    
     
    
            บ้านไม้ใต้ถุนไม่สูงนักของผลา  อยู่กลางที่โล่งภายในสวนป่า  เรือนพักนั้นอยู่ถัดจากโรงเรือนที่เป็นคอกแพะและวัวออกไปราวยี่ สิบเมตร   ห่างจากตัวบ้านออกไปเกือบสิบก้าวไม้ผลยืนต้นพวกมะม่วงหลากหลายพ ันธ์ออกลูกสุกเต็มต้นเป็นอาหารของหนูและนกที่อยู่กันเหมือนไม่เ คยมีภัยมนุษย์ใดมาทำให้หวาดสะดุ้ง   เสียงหมู่ผึ้งครางหึ่งอึงอลตามหมู่ไม้ยืนต้นที่ออกดอกหอมพร้อมก ับให้น้ำหวานตลอดช่วงกาลผลิดอกสืบเผ่าพงษ์ของไม้บางพันธุ์        ดลบุญชี้ให้ผมดูรวงผึ่งตามแขนงของกิ่งกระโดงของไผ่ป่าที่ขึ้นเป ็นทรงพุ่มกลมราวเนรมิตตลอดเส้นทางที่เราเดินจากบ้านพัก ไปตามทางเดินในที่ดินของผลา  ทางเดินในสวนป่าก็คือทางกันไฟที่เจ้าของออกแบบไว้อย่างฉลาดชาญ  ที่ดินแถบนี้มักมีไฟลามทุ่งมาทุกทางและทุกปี     แต่ไฟนั้นก็เข้ามาไม่ถึงที่ดินของผลาเพราะเขามีทั้งแนวและน้ำกั นไฟ
    
     
    
            ผลาให้เพื่อนคนงานในสวนป่า  ทำแพะเพื่อเป็นอาหารมื้อเย็น วิธีการทำแพะ  ต้องมีคนทำสองชุด   ชุดแรกเถือเอาหนังถลกออก    ชุดที่สองชำแหละเนื้อออกเป็นก้อนเป็นกอง   ถ้าให้ชุดแรกทำทั้งถลกหนังและชำแหละเนื้อ  แพะที่จะเป็นอาหารมื้อเย็นรับรองแตะต้องไม่ได้  มันจะเหม็นหืนจนชวนอาเจียน   แต่เมื่อทำแพะด้วยกระบวนการนี้  เนื้อที่ได้จะเป็นเนื้อวิเศษ   รสชาติเลิศกว่าเนื้อวัวและหมูขุน หอมร่อยทุกเมนู ไม่ว่าจะเป็นย่างน้ำตก ยำหรือพร่าแบบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   เย็นนั้นทั้งผม ผลา  ดลบุญและเพื่อนคนงานในสวนป่าได้เฮฮากับวิสกี้ข้าวโพดแปดสิบดีกร ีกับพร่า ย่างน้ำตกและต้มยำป่าเนื้อแพะอยู่จนค่ำมืด  หลังมื้อเย็นก็นอนคุยกันต่อเรื่องชีวิตและความพอเพียง
    
     
    
            ดลบุญแวะมาเยี่ยมผลาแล้วหลายหน  เขาเล่าว่ากว่าจะทำสกู๊ปชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งจบสมบูรณ์ในแง่ม ุมที่ต้องการ  ต้องใช้เวลาพอสมควรเหมือนกัน   บางทีต้องรอให้ผ่านช่วงหนาว  บางทีต้องรอให้เข้าช่วงฝน  บางครั้งก็ต้องรอให้มรสุมหลงฤดูกาลผ่านพ้นไปก่อนจึงจะเก็บภาพแล ะถ้อยคำสำคัญได้      เมื่อผลาถามดลบุญว่าเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าในการเดินทางเกือบตลอ ดชีวิต  ดลบุญก็ถามกลับว่าแล้วพี่เหนื่อยหรือเปล่าที่เลี้ยงวัวตลอดชีวิ ต   ทั้งคู่หัวเราะเสียงดัง   ดังสะท้านป่าแทนคำตอบ   ผมคิดว่าเขาทั้งคู่รู้จักคำตอบของกันและกันดี  กับคำถามคล้ายกันนี้ว่าผมเหนื่อยหรือเปล่ากับการเดินจงกรมเกือบ ทั้งวัน นั่งสมาธิยาวนานเกือบทั้งคืน  ผมก็คงหัวเราะ  และว่า   มันจะเหนื่อยกะผีอะไร  สิ่งที่เราทำด้วยความชื่นชอบ  มันสนุกจะตาย   ฮา
    
     
    
            ผลาเล่าให้ฟังว่า  เขาเลี้ยงวัวมานาน  จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่  แม่วัวที่เลี้ยงมันให้ลูกดีมากทุกตัว  วัวจึงเพิ่มทวีคูณในเวลาไม่นาน  เมื่อขายวัวก็ได้เงินก้อนโตที่มากพอจะซื้อที่ดินที่คนอื่นทำการ เกษตรใด ๆ ก็ไม่ได้ผลไว้สำหรับให้ไม้น้อยใหญ่เหยียดต้นขึ้นตั้งตรงกลายเป็ นผืนป่า  ทีดินสำหรับปลูกข้าวผลาแบ่งส่วนไว้ไม่มากนัก  สามคนพ่อแม่ลูกจะกินข้าวมากมายอะไรนักหนา ยิ่งลูกไปเรียนหนังสือในเมืองจำนวนคนที่จะกินข้าวก็ลดลงไปอย่าง ฮวบฮาบ ( คนเล่าทำเสียงติดตลก  คนฟังก็เฮฮา)   ทุกวันนี้ผลาเลี้ยงวัวไม่เกินไปกว่าหนึ่งร้อยตัว   เขาว่าถ้าเลี้ยงมากเกินจากนี้มันจะเกินกำลังรับของหญ้า ของใบไม้ น้ำและฟางข้าว   ที่เตรียมไว้    หลายปีก่อนวัวของเขาเคยล้มตายพร้อมกันทีเดียวเป็นสิบตัว   วัวที่ได้อาหารไม่สมบูรณ์ก็จะอ่อนแอขี้โรค  เหมือนคนยากคนจนไม่มีจะกินที่เจ็บป่วยได้ง่ายดายกันจัง    บุญดลแทรกว่า ก็เกือบเท่า ๆ กับคนรวยที่ป่วยเพราะกินแล้วก็นั่งนอน ๆ ไม่ยอมออกแรงให้เห็นเหงื่อ   เราฮากันครืน  
    
     
    
            ผลาถามดลบุญว่า  เห็นเดินทางคนเดียวมาหลายปี ไม่คิดจะเอาเมีย(แต่งงาน)หรือ  คนถามถึงกับอึ้งแล้วหันมาทางผม  ผมปฏิเสธที่จะตอบแทน  เขาจึงว่า   ก็คิด ๆ อยู่  ผู้หญิงส่วนมากเขากลัวผมน่ะพี่   กลัวผมเกาะ  ทั้งพูดทั้งหัวเราะ    ผลาว่า  เฮ้ย  จะไปคิดไรมาก  คนมันก็ต้องเกาะกันแหละ  ไม่เกาะ   เก๊าะ  หลุด   เราก็ได้ฮากันตรึมอีกสี่ห้าคน  แม่บ้านของผลายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่พูดอะไรมาก   นั่งฟังพวกเรานอนคุยกันอยู่ไม่นานก็ขอตัวไปนอน
    
     
    
            ยิ่งดึกดลบุญยิ่งซักในเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งแบบกระทู้สดและกระทู้แห้ง  ผลาตอบตรงและหนักเหมือนหมัดฮุคและอัพเปอร์คัต  ผมหลับไม่ลงแม้จะเหนื่อยจากฤทธิ์ของเมรัย  เครื่องบันทึกเสียงขนาดจิ๋วเท่าหัวแม่มือทำหน้าที่ของมันอย่างซ ื้อตรง   ก่อนจะแยกกันนอน   ดลบุญบอกว่าจะเอาไปถอดเทปและทยอยตีพิมพ์ในนิตยสารวรรณกรรมของเข าเองในฉบับถัดจากฉบับหน้า  เจ้าบ้านฟังยิ้ม ๆ  ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ด้วยเสียงหาว  แล้วทุกคนก็หลับโดยไม่สนใจริ้นและยุงเลยซักคน 
    
     
    
    ---------------
    มีต่อครับ
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    19 เมษายน 2550 15:51 น. - comment id 95718

    แม้ผลาและดลบุญจะอยู่คนละสายอาชีพ    คือคนหนึ่งเป็นเกษตรกรผู้เป็นไทจากนโยบายด้านการเกษตรของรัฐเกื อบสิ้นเชิง  อีกคนเป็นนักธุรกิจโลกหนังสือที่มีอิสระทั้งเงินและเวลา   แต่เขาทั้งคู่มีสิ่งที่เหมือนกันคือความเพียรอันเลิศ กับความเข้าใจชีวิตในระดับที่อาจหลุดพ้นได้ทุกเมื่อ   เฉกเช่นนักสู้และเซียนทั้งมวลที่มีคุณสมบัตินั้นเป็นคุณสมบัติใ นการไปถึงยอดของความฝัน     ผมได้ฟังถ้อยคำของทั้งคู่อย่างอิ่มเอมมโนสำนึกอย่างพระนวกะฟังธ รรมอันวิเศษจากพระเถระผู้ถึงธรรม ณ ห้วงกาลอันสมาธิของพระใหม่ดำดิ่งเป็นอารมณ์เดียวก่อนรุ่งอรุณ
    
     
    
            รุ่งเช้าหลังจากเราเดินชมป่า และพูดคุยกันเรื่องชีวิตของประชาชนที่แขวนอยู่บนความขัดแย้งของ ชนชั้นสูงและธุรกิจการเมือง  เราก็กลับมากินอาหารเบา ๆ  ข้าวต้มปลาฝีมือแม่บ้านของผลา     ผลาเล่าว่าลูกสาวคนเดียวของเขา  กำลังเรียนระดับปริญญาโทอยู่ในเมือง   เธอแต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูกและคู่ของเธอก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเห ตุทางรถยนต์  เขาว่าชีวิตก็เป็นดั่งนั้น  ไม่ใช่สิ่งที่เราจะยึดเอาไว้ได้  ถึงวันหนึ่งก็กลับสู่ธาตุเถ้าดั้งเดิม  ช่วงที่มีชีวิต ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป  เขามีหน้าที่เลี้ยงวัว ก็เลี้ยงวัว   ดลบุญมีหน้าที่ทำหนังสือก็ทำหนังสือ   เขาหันมาทางผมและว่าคุณมีหน้าที่บำเพ็ญตบะ ก็ทำไป   เราหัวเราะเบา  ๆ  ดลบุญถามว่า ขายวัวปีละ 30-40 ตัว  ตัวละ 30,000 ถึง 40,000 บาท เงินเยอะแยะพวกนั้นเอาไว้ทำอะไร   ผลาหัวเราะและว่าติดตลกว่า   เอาไว้ปลูกต้นไม้  นั่นเป็นคำตอบที่สานุศิษย์เซ็นย่อมตีความหมายออกอย่างง่ายดาย   ดลบุญก็เป็นฝ่ายถูกถามย้อนด้วยเหมือนกันว่าเงินเป็นสิบล้านพันล ้านในธุรกิจหนังสือเอาไว้ทำอะไร  ลูกเมียก็ไม่มี  เขายิ้มว่า  คงเอาไว้เลี้ยงปลวกมั้ง   ผลาว่าคนที่สบายที่สุดไม่ต้องทุกข์กับเงินคือผม ไม่มีเงินก็มีความสุข เป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริง   ก็คงจริงอยู่หรอกมั้งครับ   ผมแทบไม่ต้องใช้เงินเพื่อซื้ออันใดทั้งสิ้น   ทุกอย่างมีคนนำมาบริจาคทานให้ทั้งนั้น
    
     
    
            สาย ๆ  ดลบุญกับผมก็ลาผลาออกมาจากสวนป่าของเขา  แม่บ้านของผลามีของฝากให้เราคนละขวด  เป็นน้ำผึ้งเดือนห้าที่เธอบรรจุขวดเก็บไว้เป็นของที่ระลึกแก่ใค รก็ตามที่แวะเวียนมาเยี่ยม
    
     
    
            ก่อนแยกกับดลบุญเขาสัญญาว่าจะถอดเทปและพิมพ์ต้นฉบับแรกส่งมาให้ ผมอ่านในเรื่องที่พวกเราคุยกันเกือบทั้งคืน   หนุ่มดลบุญไหว้ผมอย่างอ่อนโยนเหมือนเด็กขอพรจากผู้ใหญ่  ผมยิ้มให้เขา  ยิ้มยินดีในความสำเร็จทั้งมวลที่มีมาและจะมีต่อไปของคนผู้มีควา มเพียนอันเลิศเช่นเขา
    
     
    
     
    
    --------------
    
     
    
    ขอได้รับความขอบคุณจาก ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ ครับผม

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน