วิวสวยดีจัง... . . . . ฉันคลายมือที่กำพวงมาลัยแน่น... มาปาดน้ำตาที่พร่างพรูรินไหล...จนดูเปอะเปื้อนสองพวงแก้ม เพราะร้องไห้มาตลอดทางพร้อมเหยียบคันเร่งอย่างรีบร้อน... ฉันมาถึงตรงนี้ได้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร? กันนะ ทำไม? ไม่ตาย ๆ ไปซะให้สิ้นเรื่องไปเลย...ฉันพ้อกับตัวเอง... ฉันมาถึงไหน? เหลียวมองไปรอบๆ ทำไม? มีแต่ภูเขานะ สายตามองไปรอบกาย ณ เวลานี้ฉันไม่สนใจแล้วว่าอยู่ไหน? ขอเพียงได้อยู่สงบในที่ที่เงียบไร้ผู้คน ฉันคงคิดหาทางออกให้ตัวเองได้ ฉันซบหน้าอยู่กับพวงมาลัย... ปล่อยโฮ...ให้สุดเสียง ให้น้ำตาพร่างพรูออกมาให้หมด ปล่อยความอัดอั้นที่มีให้มันออกมา สมกับที่เก็บกักไว้นานเหลือเกิน... กลับมีเสียงของแม่วนเวียนอยู่ในหู ไม่ซิคงเป็นใต้จิตสำนึกของฉันเอง "แม่อยากเห็นลูกเดินในทางอย่างสง่างาม" ประโยคนี้ยังวนเวียนซ้ำ ๆ ประโยคที่แม่เคยบอก... มันกรีดใจฉันปวดร้าว จนปวดทรมานแทบขาดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อฉันก้าวทางผิดแล้วนี่ ฉันเดินไม่สง่างาม... เพียงเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด ต้องเสื่อมเสีย และมีชีวิตไม่งดงาม อย่างที่แม่เคยคาดหวัง หนูขอโทษ... เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ฉันไม่น่าพบเขาเลย... พรหมลิขิต หรือชะตากรรมที่ทำให้ฉันได้พบเจอเรื่องราวแบบนี้ ทำให้ฉันได้พบเจอเขา...เขาเหมือนเทพบุตร ที่ฉุดฉันขึ้นจากเหว... ตอนนั้นฉันเรียนจบแค่อนุปริญญา แต่เพราะครอบครัวขาดความอบอุ่น แม่จากฉันไปเพราะตรมใจที่พ่อเจ้าชู้ ฉันเคว้งคว้าง หลงทิศทาง ในการดำเนินชีวิต ทุกคืนฉันจะเจอเขาในสถานเริงรมย์ที่เด็กใจแตกชอบไป แต่ฉัน...ไม่ใช่เด็กใจแตก ฉันไปทำไม? ไม่รู้....แต่ตอนนั้นคิดเอาเองว่า แค่อยากลืมความเลวร้ายที่พบเจอเท่านั้นเอง ขอไปอยู่ในที่ผู้คนเยอะ ๆ คงดี ทุกครั้งที่ไปฉันมีความสุข สนุกกับการที่ได้พูดคุยกับผู้คนมากหน้า ทั้งชายและหญิง จนเมื่อพบเขาได้รู้จักสนิทมากขึ้น... ฉันไม่รู้ว่าเป็นความรักหรือความเหงา หรือความเคว้งคว้างที่เกิดขึ้น หรือความไม่รักดีของฉันเอง เหมือนเปิดใจยอมรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทั้งที่ฉันไม่ได้รู้จักความเป็นมาของเขาเลย... วันเวลาผ่านไป 1 ปีความสัมพันธ์ก้าวหน้าไปด้วยดี และเริ่มลึกซึ้งจนถอนตัวไม่ได้แล้ว ตอนนั้นไม่คิดอะไรปล่อยตัวปล่อยใจไป เขาเหมือนเป็นศูนย์รวมความเป็นฉัน ณ ตอนนั้น หรือฉันคิดไปเองมั้ง... เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น... "คะพี่พล " ฉันรับโทรศัพท์คนที่ฉันคิดว่าคือชีวิตของฉัน "เดี๋ยวพี่จะไปรับนะเย็นนี้" เสียงต้นสายตอบกลับมา "ค่ะเดี๋ยวหวาน จะแต่งตัวสวยรอนะคะ" ฉันตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุข มองนาฬิกา นี่มันห้าโมงเย็นแล้วนิ พลางนึกในใจว่าเดี๋ยวไม่ทัน เดี๋ยวพี่พลจะรอ... ฉันเตรียมตัว แต่งตัวรอคนที่บอกจะมารับอย่างไม่รีบร้อนเลย... ความตื่นเต้น กระวนกระวาน รนราน ลุกลี้ลุกลนพิกล เกิดขึ้น ความหวานชื่นในทุกครั้งที่เขามารับไปทานดินเนอร์... คืนนั้นจะจบบนเตียงทุกครั้งเสมอ ๆ เป็นแบบนี้มาสองปีแล้ว ฉันไม่เคยพูดถึงเรื่องแต่งงาน ไม่เคยร้องขอ เพราะเชื่อมั่นว่าเขารักฉัน ฉันวัดจากสิ่งที่เขาทุ่มเทให้เสมอ... "ผมซื้อคอนโดให้คุณ คุณจะได้อยู่อย่างสบาย" "ผมซื้อรถยนต์ให้คุณ เพราะไม่อยากให้คุณลำบากโหนรถเมล์" "ผมซื้อเสื่อผ้าให้คุณ คุณจะได้สวย ๆ เพราะคุณคือคนพิเศษของผม" ฯลฯ และอีกหลายอย่างมากมาย จนฉันหลงคิดไปว่านั้นคือความรัก...ของเขา แสงแดดลอดหน้าต่างห้องสาดเข้ามา ฉันงัวเงียลุกขึ้น ตาก็มองคนที่กำลังแต่งตัวอยู่ตรงหน้า... เขาเปรียบเป็นศูนย์รวมความเป็นฉัน เพราะฉันรักเขาสินะ.... ฉันเหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน ที่ยังต้องการผู้ใหญ่ดูแลให้กำลังใจ ยามล้ม ยังต้องการผู้ใหญ่ฉุดให้ลุกขึ้น ฉันจึงอยู่ในโอวาทของเขาทุกอย่าง แต่เขาไม่เคยบอกฉันหรือแนะนำสิ่งที่ไม่ดีเลย.... เขาหันมามองฉัน ที่จดจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา... "เช็คอยู่บนหัวเตียงนะจ๊ะ" มือก็ผูกเนคไทไป "ไปจัดการให้เรียบร้อยนะ ถ้าไม่พอก็บอก" เขาเอ่ยต่อ "อะไรคะ " ฉันเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ "ไปจัดการให้เรียบร้อยนะ เพื่อตัวหวานเองนะ" เขายืนยัน "ค่ะ ๆ " ฉันรับปาก ไม่อยากทำให้เขารำคาญใจ... "ไปแล้วนะ แล้วเจอกันนะ" สัมผัสที่ละมุนอยู่ข้างแก้มพร้อมเสียงทุ่มนุ่ม... ฉันลุกขึ้น... เพื่อหยิบดูเช็คที่เขาวางไว้ให้ โห...นี่ตั้งแสนนึง... ฉันดีใจที่เขาเข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการเสมอ ทั้งที่ไม่เคยเอ่ย... ทำให้ฉันวาดฝันว่าเขาคือคนรักแรก และคนสุดท้ายที่จะมีในชีวิต... ในทุกครั้งเขาห่วงใยเสมอ... ทุกครั้งที่ร้องไห้เขาจะรู้เสมอว่าฉันคิดอะไร? "พี่รักหวาน แต่พี่ขอเวลาหน่อยนะ" นั้นคือสิ่งที่เขาบอกเสมอ จนฉันรู้สึกชิน และไม่เคยมีอาการแบบนั้นแล้วพักหลัง เพราะ ไม่อยากให้เขาต้องเป็นกังวล นั้นคือสิ่งที่ฉันคิด... นาน 3 ปีแล้วที่เราอยู่ด้วยกัน การแต่งงานไม่สำคัญสำหรับฉันหรอก... ขอเพียงวันนี้ฉันมีเขาเคียง ฉันก็ไม่เคว้งคว้างแล้ว ฉันบอกตัวเองเสมอ... ชีวิตของฉันเมื่อเจอเขาสิ่งที่ดีที่สุด ที่ฉันเคยพบเจอมา เขาเป็นเหมือนเทพบุตร ที่ฉุดฉันจากเหว เขาไม่ปล่อยให้ฉันตกเหว... เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น... "คะพี่พล" เป็นเบอร์เดียวที่ฉันจำได้ดี "สวัสดีค่ะ คุณนิลดาหรือเปล่าคะ" เสียงที่ผ่านมาเป็นเสียงผู้หญิง ฉันตกใจแทบช็อต ตื้อตันไปหมด พยายามตั้งสติ บอกตัวเอง อาจจะเป็นญาติเขา หรือใครก็ได้ เพื่อนเขา ตอนนั้นฉันบอกตัวเองแบบนี้ ในใจก็แป้วแล้ว "ดิฉัน กาญจนาค่ะ" เสียงต้นสายบอกกลับมา "ค่ะ นิลดาคะ" ฉันตอบกับไป "คุณพอมีเวลามาพบฉันได้มั้ยค่ะ ที่ร้านกาแฟ ไดมอน" เสียงพูดเอ่ยนัดหมาย "ได้ค่ะ อีก 20 นาทีนะคะ" ฉันตอบกลับไป ฉันไปถึงร้านกาแฟเพียงเวลา 10 นาที เพราะฉันต้องการคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้รู้จักฉันได้ไง.. ฉันก้าวเข้าไปในร้านพบผู้หญิงอายุประมาณ 36-37 ได้ ยกมือเป็นสัญญา ฉันแปลกใจไม่น้อยที่เขารู้จักฉันได้ไง เพราะเพิ่งเคยเจอครั้งแรก.... "นั่งสิ " ผู้หญิงที่นัดหมายไว้กล่าวคำทักทาย "ขอบคุณค่ะ " ฉันเอ่ย พร้อมกับท่าทางฉงน และเก ๆ กัง ๆ "เธอนี่ หน้าตาก็ไม่ขี้ริ้วนะ นับว่าสวยมากทีเดียว" เธอพูด พร้อมใช้สายตาสำรวจแทบจะกลืนกินฉันเลยทีเดียว...ทำให้ฉันอันอัดไม่น้อย ฉันได้แต่นิ่งเงียบ ในใจก็เต้นรัวนึกว่าเกิดอะไรขึ้นนะ เธอเป็นใคร? "อ้อลืมไป ฉันขอแนะนำตัวนะ ฉันภรรยาของคุณ พ ล ธ น ะ " คำพูดของเธอเสียงดัง ฟังชัด แต่หลังจากฟังประโยคนั้นจบฉันกลับไม่ได้ยินสิ่งใดเลย...เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรบ้างหลังจากนั้น ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น... ณ นาทีนี้ฉันต้องการหนี หนีไปให้ไกล ไกลเท่าที่จะไกลได้ "แม่คะ หนูทำผิดพลาดแล้ว" ฉันบ่นพร่ำบอกคนที่อยู่บนฟ้า "หนูขอโทษ" ลูกทำสิ่งที่เลวร้ายเหลือเกิน บาปเหลือเกิน ตอนนี้ฉันเรียนจบป.โท แล้ว ด้วยเงินที่เขาให้ทุกครั้งที่จบบนเตียง ฉันเป็นเมียน้อย ไม่ใช่สิ ฉันเป็นผู้หญิงขายตัว... ความปวดร้าวทับถม หัวใจที่มีแตกสลาย ไม่น่าเชื่อว่าความรัก ที่บริสุทธิ์ของฉันจะเป็นแบบนี้... ฉันคงไม่สามารถกลับไปเชิดหน้าอยู่ได้อีก.. ฉันเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่ หมู่บ้านกันดานบนดอย อยู่กับธรรมชาติ มันคงทำให้ลืมความปวดร้าวและเจือจางได้บ้าง เวลาคงช่วยเยี่ยวยา หัวใจที่แตกสลายนี้...
19 มกราคม 2550 20:54 น. - comment id 94732
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราคิดว่าเธอไม่ผิด เพราะเธอไม่รู้ และเธอทำถูกที่สุดแล้วที่เดินจากมา เอาใจช่วย จำไว้ว่าคนเราสามารถทำผิดกันได้ทุกคน เพียงแต่ใครที่สำนึกผิดได้และไม่ได้
20 มกราคม 2550 01:34 น. - comment id 94735
หากความผิดนี้ที่แท้จริงคือความไม่พอของผู้ชายไม่ใช่หรือ ไม่ได้แย่งคนของใครและเมื่อรู้เรื่องก็ยอมถอย...ดีกว่าผิดซ้ำๆที่คิดจะยื้อแย่งเขามา... เป็นกำลังใจให้นะคะ
20 มกราคม 2550 11:22 น. - comment id 94738
เวลาคงช่วยเยียวยาได้ค่ะ คงบอกหวานได้แค่นั้น
24 มกราคม 2550 16:10 น. - comment id 94789
อย่าเสียใจเลยนะ ความผิดพลาดคือบทเรียนที่ดีที่สุด สำหรับเรา สู้ สู้
24 มกราคม 2550 17:35 น. - comment id 94790
--------- ขอบคุณทุกความคิดเห็น สภาพสังคมปัจจุบัน มองเพียงผิวเผินคงยาก...ที่จะรู้ในความจริงทุกอย่าง.... -----------
26 มกราคม 2550 11:03 น. - comment id 94803
รู้ไหมค่ะว่าคุณเขียนได้ดีมากเลย ชอบอ่านค่ะ เขียนมาอีกนะค่ะ