.. แอ่วเมืองสองแคว .. (ตอน จบ)

keekie

ลมหนาวพัดมาอีกระลอก ..
ส่งกลิ่นอับอันฉมฉุนของปุ๋ยลอยเข้าจมูก .. 
ฉันห่อไหล่ .. กระชับหมวกที่ใส่เพื่อกันน้ำค้างยามเช้า
เดินสวนทางกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่กลับจากการจ๊อกกิ้ง 
เพิ่งเข้าใจถึงความรู้สึกของการเป็นนกตัวแรกที่ออกหาหนอนในตอนเช้า .. 
อืมมม .. ความรู้สึกมันหอมหวานเช่นนี้นี่เอง .. 
ใครนะช่างว่า .. ว่าฉันตื่นเช้าไม่เป็น ..
รูปถ่ายเหล่านี้คงพิสูจน์ได้ว่า ฉันตื่นก่อนไก่โห่ได้เหมือนกันล่ะน่า .. (เช๊อะ!!!)
ฉันกลับขึ้นรถ .. และมุ่งหน้าต่อไป
ทางเริ่มลาดชันเลาะไหล่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ 
ประกอบกับมีการทำถนนใหม่ ทำให้เริ่มลังเลในการลุยต่อไปข้างหน้า .. 
ฝุ่นแดงตลบอบอวลตามท้ายรถบรรทุกคันหน้า ..
ทำให้ฉันมองไม่เห็นทางเข้าน้ำตกแก่งซอง ..
ขับรถเลยไปจนได้ ..
และต้องเลยไปอีกไกลเชียวกว่าจะหาที่เหมาะที่พอจะกลับรถได้ .. 
และเพราะถนนเริ่มคดเคี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ .. ทำให้ฉันชักหวั่นๆ  .. กลับดีกว่ามั้ง ..
	ขืนขับเพลินอีกหน่อยคงเลยเข้าเพชรบูรณ์ และต่อไปถึงชัยภูมิแน่ .. (ยิ่งมีคนยุให้เลยไปชัยภูมิอยู่ด้วย)
	ฉันกลับรถและขับกลับมาตามทางเดิม ..
	มองเห็นเพิงข้างทางขายข้าวหลาม .. 
	ข้าวหลามกระบอกเล็กกินได้สองคำก็คงหมด พวกพยาธิ์ในท้องคงร้องกันระส่ำระสายเพราะยังไม่อิ่ม ข้าวหลามที่นี่มีใส่สังขยาซะด้วย ..
	ตาลก็ต้นเดิมกับที่เห็นเมื่อตอนขับมา ..
	หากแต่บรรยากาศรอบตัวมันเปลี่ยนไป ..
	คราวนี้มันดูขึงขังตั้งใจกับการชูใบรอรับแสงอาทิตย์
	คลอโรฟิลด์ในตัวมันคงฉีดพล่านกระหายการสังเคราะห์แสงเพื่อการดำรงชีวิตอยู่
	ที่สำคัญมันคงต้องหาอาหารไว้เพื่อออกดอกสร้างผลด้วยล่ะมั้ง ..
	ชีวิตมันก็ต้องเป็นไปตามครรลอง ..
	
	
	ฉันขับรถมุ่งหน้ากลับสู่ตัวเมืองพิษณุโลก .. 
	ผ่านวัดเขาสมอแคลง  (http://www.tat.or.th/travelplacedet.asp?prov_id=65&id=1083) 
มีป้ายบอกว่าเชิญสักการะเจ้าแม่กวนอิมหยกขาว ..
แต่เมื่อเห็นทางเข้าวัด .. 
ก็ต้องถอดใจ เพราะเป็นทางคดเคี้ยวขึ้นเขาที่ค่อนข้างลาดชัน ..
ฉันขับรถเอื่อยๆ ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทาง ..
จนเห็นป้ายวัดค่อนข้างใหญ่สะดุดตา .. วัดคลองเรือ .. 
มองเข้าไปตามทางเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขนาดตึกสองถึงสามชั้น .. 
แต่ด้วยความที่ประสาทรับการสั่งงานที่เท้าทำงานได้ดีกว่าประสาทรับการสั่งงานของหัวใจ
ทำให้ฉันขับรถเลยทางเข้าวัดไป ..
แต่ในที่สุดฉันก็พ่ายแพ้แก่เสียงเรียกร้องของหัวใจ
ต้องกลับรถวกมาที่จุดเดิม และเลี้ยวรถมาตามทางเข้าวัดคลองเรือ
ถนนราดปูนซีเมนต์กว้างขนาดรถสองคันสวนกันได้พอดิบพอดี
แต่ไม่มีคันกั้นตลอดสองข้างทาง หากมัวเพลิดเพลินกับทุ่งนาด้านซ้ายมือที่มีชาวนากำลังไถพรวน รถคงได้หัวทิ่มลงไปในคูนา หรือหากว่ามัวลุ้นการเย่อปลาของชาวบ้านด้านขวามือ .. 
ฉันและรถคงได้ลงไปลุ้นกันอยู่ในบึงน้ำนั่นแน่ๆ .. 
ฉันขับรถผ่านประตูทางเข้าวัด .. 
เริ่มรู้สึกชอบวัดนี้อย่างไม่มีเหตุผล ..
ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีรถยนต์หรือแม้แต่มอเตอร์ไซด์จอดในบริเวณวัด 
				
ฉันยืนมององค์พระประธานองค์ใหญ่ขนาดสูงสักตึกสองชั้น
และมีพระพุทธรูปปางต่างๆ เรียงราย แต่ละองค์ขนาดสูงเท่าๆ กัน

และสิ่งต่อมาที่สร้างความประทับใจแก่ฉัน .. 
				
ต้นมะเฟือง .. 

เอาน่า .. สาวกรุงตื่นภูธรก็งี้แหละ .. 

ฉันจุดธูปเทียนสักการะองค์พระประธาน และองค์หลวงพ่อโต 
พระประจำวันองค์ขนาดเท่าคนยืนเรียงรายอยู่ในใต้ร่มกาสาวพัตร์

รอบบริเวณวัดกว้างขวาง และสร้างอย่างประณีต โปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก

ฉันเดินเข้าไปในพระอุโบสถ
เงียบ ไร้ผู้คน มีเพียงองค์จำลองหลวงพ่อใหญ่ประทับสง่างามกลางอุโบสถ
แม้องค์จะไม่สุกปลั่งดั่งองค์จริงที่ฉันไปสักการะมาเมื่อวาน ..

หากแต่องค์ประกอบแห่งศรัทธสถานครบถ้วน .. 

.. ความสงบ ..

คงเพราะฉันสร้างความสงบให้แก่ตนเองไม่ได้กระมัง
ที่ทำให้ฉันพึงใจในความสงบที่เกิดขึ้นรอบตัว .. 
				
ผนังรอบด้านในพระอุโบสถเป็นเรื่องราวของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน และยังมีเรื่องราวของท่านทั้งสิบชาติอีกด้วย 
				
ฝ้าหลังคา พร้อมโคมคริสตัลงดงาม				
เหล่าเทพยดาร้องรำบรรเลงเพลงแห่งสรวงสวรรค์นี่กระมัง ที่สะกดให้ฉันนั่งอยู่ในอุโบสถได้อย่างไม่รู้ตัวว่า เวลาผ่านไปนานเท่าใด .. 

วัดนี้น่าจะเคยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมไม่น้อย แม้จะไม่พบชื่อขึ้นหราในหน้าหนังสือท่องเที่ยว หรือเวปไซต์ประจำจังหวัด .. 

รายชื่อผู้บริจาคสร้างอุโบสถหลังเล็กหลังน้อยที่ถูกสลักลงบนแผ่นหิน พร้อมจำนวนเงินที่บริจาค มีเรียงรายรอบบริเวณวัด 
				
หากแต่บัดนี้ความศรัทธาที่เคยถูกก่อร่างสร้างมาค่อยเริ่มเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา
คงต้องรอคอยมือยื่นเข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์ความศรัทธาให้กลับมารุ่งโรจน์อีกกระมัง

ฉันหยอดปัจจัยในกล่องมากกว่าที่เคยหยอด .. 
แม้มันจะมากสำหรับฉัน หากคงเสมือนน้ำเพียงหยดเล็กๆ ที่เติมลงไปในบึงใหญ่ ..
มันคงยังไม่มากพอจะบูรณะศรัทธาให้เรืองรุ่ง ..
หากแต่มันยังมี .. 
				
เหลือบดูนาฬิกา .. 
ใกล้หมดเวลาหกชั่วโมงสำหรับการร่อนของฉันในเช้าวันนี้ ..
ฉันจำต้องก้าวออกจากอุโบสถทั้งที่ยังไม่อยากจาก .. 

มองเห็นก้อนปูนสีขาวคล้ายบ้านของเอสกิโม .. อยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้ประตูวัด
ดึงดูดความสนใจฉันให้เดินเข้าไปดู ตามนิสัยอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา

ฉันพบเทวรูปฤาษีนั่งอยู่บนคันดินในก้อนปูนกลมใหญ่สีขาวนั้น
หน้าตาท่านยิ้มใจดี .. จนฉันต้องก้มลงกราบแล้วบอกท่านในใจว่า ..
หนูกำลังจะกลับแล้วค่ะท่าน .. มากราบสวัสดีและกราบลาพร้อมกันเลยละกันค่ะท่าน .. 
				
ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีฟ้า .. 
ดูแจ่มใส .. 

ใต้ร่มไม้ใหญ่ ..
เหล่าพระสงฆ์หลายรูปนั่งสนทนากัน .. 
มีสองรูปที่ท่านต้องนั่งบนรถเข็น .. 
พระอีกรูปที่เข็นรถให้ .. อายุอานามก็คงไม่ต่างจากรูปที่นั่งบนรถเข็นนั่นเท่าไหร่นัก .. 

วัดก็เก่า .. คนก็แก่ .. 
มันเป็นไปตามกาลเวลา .. 
	จะรุ่งโรจน์แข็งแรงตลอดไปคงไม่ได้ .. 
	แม้ความสุขหรือความทุกข์ก็คงมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันล่ะมั้ง .. 

	ฉันขับรถออกพ้นประตูวัด .. 
	คนใคร่ทำนา .. ก็ทำนาต่อไป ..
	คนใคร่หาปลา .. ก็ยังคงหาอยู่ .. 
	หากแม้นได้สิ่งที่ต้องการแล้ว .. ก็ยังคงมีสิ่งที่ต้องการลำดับต่อไป .. 

	แหม .. นานๆ เจอวัดที่เข้ามาได้โดยไม่ร้อนสักที .. 
	ปลงได้ซะขนาดนี้เชียวหรือ? .. 

	ฉันขับรถกลับไปตามทางเดิม .. 
	อดไม่ได้ที่จะแวะเข้าบึงราชนก .. ด้วยความอยากรู้ว่ามันคืออะไร .. 
	ก็ได้พบว่า มีแต่ บึง กับ นก .. 
				
ไอ้ก้อนดำๆ ที่เห็นลอยเหนือผิวน้ำนั่นไม่ใช่โคลน, ผักตบชวา จอกแหน หรืออะไรอย่างที่คิดหรอก

	มันคือนกที่เกาะกลุ่มลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ 
	แม้มันจะไม่ใช่นกกระจอก (อย่าถามนะว่านกอะไร .. ฉันไม่รู้หรอก)
	แต่มันก็ทำตัวเยี่ยงนกกระจอกแตกรัง ส่งเสียงคุยกันลั่นบึง .. 

	ใกล้เวลานัดหมายเข้ามาทุกที ..
	ฉันขับรถกลับไปที่มหาวิทยาลัยนเรศวร .. 

	เดินเลาะรั้วมหาวิทยาลัย .. 
	พบบรรยากาศอันน่าครึกครื้นของรุ่นพี่รุ่นน้องที่ทำให้อดอมยิ้มไม่ได้ .. 
				
นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้อยู่ในบรรยากาศแบบนี้ .. 

	สิ่งที่สะดุดตาอีกอย่าง ..
	คือ .. 
				
หมายใจว่าเสร็จภารกิจแล้วจะแอบแว่บเข้าไปดูซักหน่อย
	เผื่อว่าจะทำให้รู้จักชีวิตดีมากขึ้น .. 

	หากแม้นเพราะภารกิจที่เสร็จสิ้นช้ากว่าเวลาที่คาดหมาย
	อันทำให้ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชมในพิพิธภัณฑ์ชีวิต ..

	แต่ก็เพราะภารกิจนั้นแหละที่ทำให้ฉันได้พบว่า .. 
จังหวัดที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะมาเที่ยวจะมีอะไรที่น่าประทับใจมากมายขนาดนี้ 

และที่ลืมไม่ได้ ..
				
ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตและมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยนเรศวรทุกท่าน
ที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 .. 
				
สวัสดีเมืองสองแคว .. 

.....

...

..

.

ไปแอ่วเมืองสองแควกันเต๊อะ .. 

ไปมะ .. ไปมะ .. 

.....

...

..

.
				
comments powered by Disqus
  • โอ๊ต

    8 กรกฎาคม 2551 02:00 น. - comment id 79693

    ขอบคุณที่ไปเยี่ยมชมวัดคลองเรือนะครับ ....วัดนี้มีความผูกพันธ์กัับผมมาก เป็นวัดที่ยายทวดผม บวชเป็นแม่ชีอยู่ ตอนนี้ท่านสิ้นอายุขัยแล้วครับ ท่านมีอายุได้98ปี
  • nig...

    26 ธันวาคม 2549 15:35 น. - comment id 94478

    55.gif
    
    อะไรนก ๆ นะพี่
    74.gif29.gif29.gif29.gif(กราบหลวงพ่อใหญ่นา)
    
    
    11.gif10.gif
  • พี่กี้

    26 ธันวาคม 2549 20:43 น. - comment id 94480

    คุณ nig...
    
    จะถามถึง บึงราชนก .. 
    
    หรือจะแซวเรื่องนกตัวแรกที่ออกหาหนอนตอนเช้าล่ะ .. 24.gif .. 
    
    ปล. นกนะ ไม่ใช่กระต่าย .. 74.gif
  • มะกรูด

    27 ธันวาคม 2549 10:04 น. - comment id 94490

    ขอบคุณ   คุณกีกี้...
    
    ความทรงจำดีดี   เด่นชัดมากขึ้นในใจ...36.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน