เรื่องสั้น-1 ความดี..."ความหมายในตะกร้า"
ทิวสน
"ความหมายในตะกร้า"
โดย :: ทิวสน ชลนรา
แดดบ่ายปลายร้อนแผดกล้าท้าคลื่นลม ระยับแดดโลดเต้นเหนือท้องทะเล อันดามัน ที่ระบายด้วยสีเขียวใส...โค้งฟ้าสีครามตัดกับผิวน้ำไกลออกไปลิบตาแลดูงดงามสบายตา ยังความอลังการซ่อนไว้...ลมทะเลหอบไอเค็มบางมาพร้อมกับเกลียวคลื่นขนาดย่อม ที่ม้วนตัวทยอยซัดสู่ฝั่งทักทายทรายขาวอยู่เป็นระลอก...
ชาตรียืนชื่นชมความงามแห่งธรรมชาติอยู่ริมหาด เนื้อหนุ่มพราวด้วยน้ำที่เพิ่งขึ้นจากการว่ายเล่นเมื่อครู่ เขายืนทอดสายตาผ่านเลนส์สีเขียวเข้มออกไปสุดปลายฟ้า แล้วหันสำรวจรอบกายคล้ายกำลังดื่มด่ำผลงานของจิตกรผู้ยิ่งใหญ่ ที่บรรจงรังสรรค์ทิวทัศน์ เพื่อกำนัลแด่ทุกลมหายใจ...
เขาสูดลมหายใจลึกเต็มปอด และอยากจะกักเก็บมันไว้เช่นนั้นนานนักแล้วที่เขาไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์เช่นนี้ ที่ผ่านมาเขาเหมือนถูกพันธนาการไว้ในกล่องใบใหญ่ มีละอองควันสีหม่นห่มคลุมตลอดเวลา ในทุกอณูที่ก้าวย่าง ซึ่งใครต่อใครต่างเรียกขานกล่องใบนี้ว่า "เมืองหลวง"
ไม่ง่ายนัก ที่เขาจะสามารถปลีกตัวจากภาระหน้าที่มายืนตากอากาศเช่นนี้เพราะตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายการตลาด ของบริษัทชั้นนำด้านการสื่อสาร กอปรกับ ความที่ยังหนุ่มแน่น มีไฟ ทำให้ทุกเวลานาทีของเขาทุ่มเทให้กับงานจนแทบจะลืมไปว่าที่บ้านยังมีภรรยาและลูกรออยู่
การมองเกมอย่างเฉียบคมและชาญฉลาด ทำให้เขาเป็นที่รักและไว้วางใจของประธานบริษัท แต่ผลที่ตามมากลับวิ่งสวนทางกัน ระหว่างความสำเร็จในหน้าที่การงาน กับชีวิตครอบครัว ที่พร้อมจะพังครืนลงได้ทุกขณะ หากเขาไม่คิดทำอะไรเพื่อประสานสัมพันธ์ไว้ ซึ่งได้แต่หวังว่าสักวันคงจะผ่อนคลายลงบ้าง หากสามารถจัดสรรการงานให้คนภายใต้มาช่วยแบ่งเบาภาระ เมื่อนั้นคงไม่ต้องห่วงกังวลอะไร..คงมีเวลาพาครอบครัวมาพักผ่อนตากอากาศบ้าง นั่นคือความตั้งใจ กระทั่งผ่านพ้นมาเกือบ 3 ปี จึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้
ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาพาครอบครัวเหินฟ้าจากเมืองหลวงลงมาพักผ่อนที่ชายทะเลทางภาคใต้ แม้จะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษในการเดินทาง แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหลุดออกมาอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว...
ชายหนุ่มหันกลับ แล้วเดินไปยังเปลผ้าใบ 2 ตัว ซึ่งมีร่มขนาดใหญ่วางแทรกระหว่างกลาง...หย่อนกายลงนั่ง พลางหันมองภรรยาซึ่งนอนอยู่อีกด้าน หมายจะชวนคุย ทว่าคงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเล่นน้ำเมื่อครู่ จึงได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ...พริ้มตาใต้แว่นสีชา
เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วประสาเด็กดังแว่วอยู่ไม่ไกล เขาหันมองเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยสองคนกำลังหารือและช่วยกันก่อกองทรายอย่างเพลิดเพลิน...ชายหนุ่มระบายยิ้มชื่น...รู้สึกเป็นสุขที่เห็นลูกสนุกและรื่นเริงเช่นนี้
ถัดจากลูกทั้งสอง เด็กผมทองสองคนกำลังยืนมองหญิงชราคนหนึ่งอย่างสนใจ จากการแต่งกายคงเป็นชาวบ้านละแวกนี้ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกใจ มองเผินๆ เธอก็ค่อนข้างชรามาก แล้ว ก้าวเดินเชื่องช้า หลังเริ่มคุ้มงอ ยามที่ก้มลงเก็บบางสิ่งบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายเล็กๆ ก็ดูแสนจะลำยาก เด็กผมทองเดินตามดูพฤติกรรมของเธออยู่ห่างๆ อย่างสนใจ ขณะหนึ่งเธอหันมองเด็กๆ แล้วเดินเข้าหา ทว่าเด็กน้อยกลับหันหลังวิ่งหนี ประหนึ่งหน้าตาของเธอน่าเกลียดน่ากลัวกระนั้น
เธอมองตามเด็กครู่หนึ่งจึงบ่ายหน้าเดินตรวจตราผืนทรายต่อไป นานๆ ครั้งจะเห็นก้มลงเก็บบางสิ่งหย่อนลงในตะกร้า...เขาเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาแล้วสิ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร และอีกครั้งเมื่อเธอก้มลงเก็บ เขาก็เห็นว่าวัสดุในมือนั้นต้องแสงแดดวาบส่งประกาย ชายหนุ่มยิ่งทวีความสงสัยมากขึ้น...มันคืออะไรกันแน่ หรือว่า...มันคือโลหะ...หรือของมีคม?...
นึกขึ้นได้ดังนั้นเขาใจหายวูบ ขณะหนึ่งเขาเห็นว่าเธอกำลังเดินเข้าไปใกล้ลูกๆ ซึ่งเล่นก่อกองทรายอยู่ห่างเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว หญิงชราเดินเข้าไปใกล้ลูกของเขา...ใกล้เข้าไป...
ในมือนั้นมีวัสดุบางอย่าง สะท้อนเป็นประกายจนแสบตา เขาใจเต้นถี่ รีบยันกายลุกขึ้นยืนเพ่งมองพฤติกรรมของเธอ...
เด็กๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า เธอประสงค์ดีหรือร้าย และเหตุใดเธอจึงให้ความสนใจมองจ้องลูกๆ ของเขานานเช่นนั้น เธอสือบเท้าเข้าไปใกล้ในระยะพอจะเอื้อมมือเข้าไปหาลูกคนเล็ก เขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก...
"ปิ๊ก-ป๊อก..มาหาพ่อเร็วลูก!!!"
เด็กทั้ง 2 ชะงักมือที่โกยทราย หันมองซ้ายขวา ครั้นแหงนมองเห็นหน้าหญิงชราก็ร้อง กรี๊ด!! แล้ววิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้แน่น
ชายหนุ่มถอดแว่น แล้วมองจ้องหญิงชราเขม็ง เธอช้อนตามองจ้องกลับด้วยแววตาแตกต่าง คล้ายมีคำอธิบาย แต่แล้วก็หันหลังทำภารกิจของเธอต่อไป
ฝ่ายภรรยาสะดุ้งตื่น ด้วยเพราะเสียงตะโกนของสามี หันมองเห็นลูกทั้งสองกำลังกอดขาพ่อเนื้อตัวสั่น
"เกิดอะไรขึ้นที่รัก" เธอถาม แต่เขานิ่ง...หายใจแรง ก่อนจะสั่งเธอเสียงสะบัด
"ไม่ต้องถาม! เก็บของกลับห้อง"
ว่าแล้วเขาก็อุ้มลูกคนเล็กก้าวฉับๆ นำหน้าไป ปล่อยให้ลูกคนโตวิ่งตาม ส่วนภรรยารีบเก็บของเดินตามไปอย่าง งุน-งง...
* * * * *
"ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะ...ทำไมถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้"
ภรรยาซักทันทีเมื่อตามมาถึงห้องพัก วางเสื้อคลุมพาดที่เก้าอี้ นั่งรอฟังคำอธิบาย สามีถอนหายใจ ก่อนหันมาตอบ
"ขอโทษทีที่อารมณ์เสียใส่คุณ ผมโมโหพวกคิดไม่ดีกับลูกเรา...คุณคงไม่เห็น...มียายแก่ที่ชายหาด กำลังจะเดินเข้ามาจับลูกเราไป"
"หา ! จริงเหรอคะที่รัก...เอ่อ-แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณยาย จะทำอย่างนั้นล่ะคะ"
ภรรยาตกใจ แต่ก็ช่วยสะกิดให้คิด ชาตรีนิ่ง-ทบทวนถึงลักษณะพฤติกรรมและวัสดุที่สะท้อนกับแสงแดดนั้น
"อือม์...ไม่รู้สิ ก็ผมเห็นยายคนนั้นเหมือนถือมีดหรืออะไรซักอย่าง คงเป็นของที่มีคม...เดินเข้ามาใกล้ จะเอื้อมจับลูกของเรา ผมเลยรีบเรียกเตือนลูก" เขาอธิบายเหตุการณ์
"ถ้าคุณว่า ยายคนนั้น ซึ่งก็น่าจะอายุมากแล้ว...แกจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาจับเด็กกำลังซนอย่างลูกเราล่ะคะ แกอาจจะเอ็นดูลูกๆ ของเรา ก็ได้...แต่นี่คือความเห็นนะคะ เพราะหากไม่ใช่อย่างที่คุณคิดก็น่าสงสารแกนะคะที่รัก ที่เหมือนเราไปปรักปรำแก...
...ก้อยว่า ช่วงนี้ดูคุณเครียดๆ นะคะ สัปดาห์ก่อนก็เกือบจะไล่พนักงานออก ก็เพราะคุณรีบด่วนสรุปไม่ใช่เหรอคะ...ก้อยอยากให้คุณใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดน่ะค่ะ"
ภรรยาเตือนสติด้วยความห่วงใย พลางเอื้อมบีบมือสามีเบาๆ...ชายหนุ่มนั่งนิ่ง เม้มปากแน่น... พลางคิดหากกิริยาที่เขาแสดงออกไป มาจากการที่เขาด่วนสรุป หญิงชราก็คงเจ็บปวดไม่น้อย
* * * * * *
ผืนฟ้ากว้างถูกคลี่คลุมด้วยกำมะหยี่สีดำไปพักใหญ่แล้ว ลมกรรโชกแรงจนต้นมะพร้าวสูงเสียดยอดโอนเอนตาม บางต้นที่ผลแก่คาต้น ก็ปลิดขั้วหล่นสู่พื้นทราย ดังตุ๊บตั๊บเป็นระยะ ขณะที่เมฆทมึนเริ่มคล้อยต่ำอยู่เหนือหมู่บ้านอันเป็นชุมชนเล็กๆ ริมหาดแห่งนี้ ซึ่งปลูกสร้างแบบง่ายๆ ราว 20 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงน้ำตื้นออกเรือหาปลาใกล้ชายฝั่ง
เว้นแต่กระต๊อบกะทัดรัดหลังนั้น ที่ชาวบ้านคุ้นเคยกับเธอมานับสิบปี แต่รู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯ นานๆ ครั้งจะมีคนแต่งตัวดีมาพบ โดยครั้งหลังเหมือนพยายามจะนำเธอกลับไปด้วยให้ได้ ทว่าชาวบ้านก็ยังคงพบเธออยู่ที่นี่เหมือนเดิม
เธอมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เด็กๆ แถวนี้ชอบไปที่บ้านของเธอ เพราะเธอมักทำขนมไว้แจกเด็กๆ เสมอ และนี่คือความสุขที่ได้ทำ นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันในการเดินเลาะริมหาดทรายพร้อมตะกร้าหวายเพื่อเก็บบางสิ่งใส่ตะกร้า
ความสว่างปลายไส้ตะเกียงวูบไหวตามแรงลมหลายหน เพียงครู่ฝนก็เทจากฟ้าอย่างหนัก ดุจใครคว่ำชามอ่างยักษ์เทน้ำลงสู่พื้นดิน พร้อมๆ แสงไฟปลายตะเกียงดับวูบ
ความสว่างจากฟ้าแลบ ที่ส่องลอดมาทางขื่อกระต๊อบ สะท้อนกับน้ำใสๆ ที่ไหลผ่านแก้มเหี่ยวๆ ของหญิงชราผู้โดดเดี่ยว...ไม่บ่อยนักที่จะต้องเสียน้ำตา...ใครๆ ที่รู้จัก ย่อมรู้ดีว่าเธอเด็ดเดี่ยวเสมอ ยอมแม้ต้องละทิ้งทุกอย่างจากเมืองหลวง ทิ้งสังคมชั้นสูง มาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบง่ายที่ชุมชนแห่งนี้ อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยมีอะไรแฝงเร้นในแววตา สีหน้า และคำพูดของผู้คน
แต่ครั้นนึกถึงกิริยา และแววตาอันดุดันหมิ่นแคลนของชายหนุ่มเมื่อตอนบ่ายแล้ว มันช่างกรีดใจเธอให้เจ็บปวดยิ่งนัก
* * * * * *
สองยามเศษ...หลายหลังคาเรือนในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ต่างหลับใหลกันหมดแล้ว ทว่าชาตรีเพิ่งกลับถึงบ้าน...นับแต่วันที่กลับจากพักร้อน เขาก็เข้าสู่ภาวะปกติที่ต้องทำงานหนัก ตื่นเช้า เข้านอนหลังสองยามเสมอ
หลังจากอาบน้ำจนสบายตัวแล้ว เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงชงน้ำขิง แล้วออกมานั่งจิบที่ระเบียง พร้อมหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับรายสัปดาห์ เขาเอนตัวลงบนเก้าอี้โยก ค่อยๆ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ในหนังสือพิมพ์ ก่อนจะดึงส่วนแทรกที่เป็นเรื่องราวไลฟ์สไตล์ออกมา เพียงอ่านด้านหน้า ก็สะดุดตากับสาระเบาๆ กับสไตล์การใช้ชีวิตของนักธุรกิจ ในมุมที่คนทั่วไปไม่ทราบ...หัวเรื่องฉบับนี้สะกดสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว...
"วันนี้ของหญิงแกร่ง....คุณหญิงพิมลพร จากไฮโซฯสู่สามัญ"
ชาตรีค่อยๆ อ่านเนื้อหาอย่างใคร่รู้ กับชีวิตของนักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน ส่งบุตร-ธิดาศึกษาจบในระดับสูงสุดทุกคน จนถึงเวลาหนึ่ง เธอเหนื่อยล้าและอยากหันหลังให้กับงานที่ทำเพื่อพักผ่อน จึงโอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรธิดาหมดสิ้น แล้วอพยพตัวเอง ทิ้งสังคมชั้นสูง เลือกที่จะมาใช้ชีวิตอย่างสมถะ อาศัยที่กระต๊อบหลังเล็กๆในหมู่บ้าชาวประมงน้ำตื้น ริมชายหาด แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต กิจวัตรในแต่ละวันเธอมีความสุขกับการได้พูดคุย ทำขนมแจกเด็กๆ ลูกหลานชาวบ้านระแวกนั้น และเดินตรวจตราริมชายหาด...
อ่านมาถึงตอนนี้ชาตรียิ่งจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะสถานที่ที่ว่านี้คือ ชายหาดที่เขาและครอบครัวเพิ่งจะกลับมาจากการพักร้อนเมื่อสัปดาห์ก่อน...และแล้วความร้อนผ่าวก็วูบแล่นทั่วใบของเขา เมื่ออ่านพบประโยคที่ว่า
...กิจวัตรของเธอคือ เดินตรวจตราชายหาด...เก็บเศษแก้วและของมีคมบนผืนทราย ใส่ตะกร้าหวายใบเล็กๆ แล้วนำไปทิ้ง เพียงเพื่อจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กๆ และนักท่องเที่ยว...!!!
ชาตรีเพ่งอ่านข้อความ แล้วหัวใจยิ่งเต้นแรงขึ้น เมื่อเลื่อนสายตามองภาพใบหน้าของคุณหญิงพิมลพร...ชายหนุ่มถึงกับอึ้ง...เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอย
เพราะภาพใบหน้าของเธอ...กับภาพใบหน้าของหญิงชราที่เขาเคยตราหน้าว่าเป็นมิจฉาชีพที่คิดจะทำร้ายลูกของเขา...คือ คนคนเดียวกัน...!!!
* * * * * * * * * *
หมายเหตุ
เรื่องนี้ได้รับคัดเลือกตีพิมพ์ในหนังสือชุด
"เขียนความดีที่หัวใจ ถวายในหลวงครับ
ตามลิงค์
http://www.thaiwriternetwork.com/writeratheart.php