บทที่ ๒๓ เสด็จนครพระราชสวามี กาลก่อนกระโน้นนั้นหาได้ประดับด้วยธงทิวแต่ประการใดไม่ และเพราะเหตุใด พระองค์ท่านพระมาตุลาองค์วานิระหะกับเจ้าหญิงเฌอมาลย์พระสหายเราทรงเสด็จไป ที่ใดเล่าทั้งๆที่เป็นพระราชอาณาเขตในการปกครองของพระองค์หรือว่าทรงจะทรงได้ รับเหตุอันตรายนั้นเสียแล้วหรือ” องค์เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงรับสั่งถาม “นั่นซิเสด็จพี่ หากเป็นดังนี้เห็นทีจะต้องเข้าไปตรวจสอบดูก็ดีนะเพค่ะ” องค์หญิงปทุมวดีทรงเอ่ยตรัสตอบ “ดีเหมือนกันน้องหญิง จะได้ทราบแล้วหาทางช่วยเหลือหากทราบอย่างไรให้รีบ กลับมาส่งข่าวให้พี่รู้ส่วนพี่จะรออยู่ตรงนี้นะ” องค์หญิงมณีกานต์ทรงตรัสขึ้น เมื่อทรงดำรัสแล้วก็ทรงหันไปทางทหารชายหญิงทรงเรียกให้ สินธุกาฬ วารินสีห์ เกศแก้ว และปิ่นมณี รีบติดตามพระขนิษฐาพระองค์เหาะลงไปยังยอดเขา นิละวานรคีรีมาศทันที ครั้นเจ้าหญิงปทุมวดีเสด็จลงไปก็พบทหารของเมืองสิงหะนคร เข้ามาขวางกั้นมิยอมให้เสด็จผ่านเข้าไป องค์เจ้าหญิงปทุมวดีพระองค์ซึ่งมีพระอุปนิสัย หุนหันพลันแล่นอยู่แล้วก็ทรงขัดเคืองพระหฤทัยยิ่งนักมิได้สอบถาม พลันตวาดเสียงลั่น พระองค์จึงทรงรับสั่งให้ สินธุกาฬและปิ่นมณี เข้าสู่รบกับทหารของสิงหะนครทันที สินธุกาฬและปิ่นมณีก็มีนิสัยดั่งเจ้าหญิงปทุมวดีต่างชักอาวุธประจำตัวประกอบด้วย ดาบประกายสีทองประกายแวววับและมีดคู่ประกายเขียวดั่งมรกตส่งประกายแวววาว เมื่อทั้งสองชักอาวุธออกมาพ้นฝักด้วยอำนาจอาวุธทั้งสองพลันส่งประกายโชติช่วง สว่างไสวไปทั่วบริเวณเกิดพลังพายุหมุนเข้ากระแทกเหล่าทหารสิงหะนครต่างปลิว กระเด็นไปทั่ว ทำให้ทหารสิงหะนครต่างพากันส่งเสียงร้องเอะอะโวยวายดังสนั่นลั่น เสียงดังกึกก้อง แต่ก็มิยอมหยุดยั้งเมื่อตั้งตัวได้ต่างก็รีบทะยานพร้อมชักอาวุธตรงเข้า เพื่อเข้าสู้รบกับทหารของเจ้าหญิงปทุมวดีทันที หาได้มีความเกรงกลัวต่ออำนาจพายุ ทั้งปวงก่อนที่การต่อสู้จะถึงเข้าปะทะกันจนถึงแก่จะถึงเสียเลือดเนื้อไปนั้น เสียงร้องของเหล่าทหารได้ยินกึกก้องดังไปถึงองค์พระยุพราชและเจ้าหญิงเฌอมาลย์ ทั้งสามพระองค์ให้สงสัยเสียยิ่งนัก จึงได้รีบเสด็จออกมาทันทีครั้นทรงแลเห็นเจ้าหญิง ปทุมวดีก็ทรงพระปรีดิ์เปรมฤทัยยิ่งนัก รีบตรงเสด็จไปห้ามทหารของพระองค์ที่กำลังต่อสู้ และรีบเสด็จส่งเสียงทักทายไปยังเจ้าหญิงปทุมวดีทันที เมื่อเจ้าหญิงปทุมวดีทอดพระเนตร เหลือบแลมาเห็นเจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็ทรงแปลกพระหฤทัยยิ่งนัก ตรัสสั่งให้สินธุกาฬและ ปิ่นมณี ถอยออกมา ครั้นทหารหญิงชายทั้งสองต่างพากันเก็บอาวุธเข้าฝักแล้วรีบถอยทันที เจ้าหญิงปทุมวดี หันมาทักทายเจ้าหญิงเฌอมาลย์ด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มทรงตรัสว่า “อ้าวหญิงใยจึงมาอยู่ที่นี้ล่ะ นึกว่ามีศัตรูบุกรุกอาณาเขตบนแนวเขานี้จัดตั้งเป็นกองทัพ อ้าวนั่นใครล่ะที่ยืนอยู่ข้างหญิงนะ” เมื่อทรงตรัสแล้วก็รีบตรงเสด็จเข้ามาหาพร้อมน้อมพระวรกายทำความเคารพเจ้าหญิง เจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็รีบเสด็จมาเข้าสวมกอดเจ้าหญิงปทุมวดีด้วยความดีพระทัยยิ่งนัก พลางทรงหันไปแนะนำเจ้าชายสิงหะฤทธาและเจ้าชายโกเมศกุมารให้เจ้าหญิงปทุมวดีได้รู้จัก พร้อมแจ้งถึงเหตุการณ์ต่างๆถึงความพระประสงค์ของเจ้าชายทั้งสองที่จัดตั้งกองทัพบนเขา ให้เจ้าหญิงปทุมวดีทรงทราบทุกประการ ครั้นเมื่อเจ้าหญิงปทุมวดีทรงทราบกระจ่างดีดังนั้น เจ้าชายทั้งสองซึ่งยืนรับฟังอยู่ก็เข้ามาแสดงความคาราวะแก่เจ้าหญิงปทุมวดีเพราะทราบก่อน แล้วว่าเป็นพระชายาขององค์ท่านทัศยุราชันย์แห่งนาครินทนาครซึ่งมีฐานันดรสูงกว่าพระองค์นัก ครั้นเหตุการณ์เป็นดั่งฉะนี้แล้วเจ้าหญิงปทุมวดีก็ทรงตรัสแก่ปิ่นมณีซึ่งยืนเฝ้ารักษาเจ้าหญิง “ปิ่นมณี เจ้าจงไปทูลอัญเชิญองค์หญิงมณีกานต์ตลอดจนไพร่พลให้เสด็จลงมายังสถานที่นี้ ได้แล้ว เราและเจ้าพี่หญิงตลอดองค์พระยุพราชทั้งสองจะรอเฝ้าพระองค์เสด็จยังที่นี้นะ ” “เพค่ะ” ปิ่นมณีรับพระบัญชา ก็รีบเหาะกลับไปเฝ้าเจ้าหญิงมณีกานต์ทันที ครั้นเจ้าหญิงมณีกานต์ทรงทราบก็นำกองทัพเหาะลงมายังพลับพลาแล้วก็ทรงแลเห็น เจ้าหญิงปทุมวดี เจ้าหญิงเฌอมาลย์และเจ้าชายทั้งสอง กำลังยืนรอเฝ้ารับเสด็จพระองค์อยู่ เมื่อถึงทั้งหมดยืนอยู่ องค์พระยุพราชสิงหะฤทธา ก็ทรงน้อมพระวรกายทูลถวาย บังคมพร้อมเจ้าชายโกเมศกุมารและเจ้าหญิงเฌอมาลย์ทันที อัญเชิญเข้าสู่ยังพลับพลาก่อน ด้วยองค์ชายสิงหะฤทธาทรงทราบแล้วว่าเจ้าหญิงมณีกานต์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งรัตนานคร อีกทั้งพระองค์ยังเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายขององค์ทัศยุราชันย์แห่งนาครินทนาคร ครั้นดำเนินมาถึงพลับพลาอัญเชิญเข้าภายในทรงประทับเป็นที่เรียบร้อย ต่างก็พากัน ถามไถ่สาเหตุทุกข์สุขต่างๆกัน ครั้นพระองค์ทรงทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เจ้าชายสิงหะฤทธากับเจ้าหญิงเฌอมาลย์แล้วพระองค์ทั้งสองก็ทรงพึงพอในพระราชหฤทัย ยิ่งได้สนทนาปราศรัยกันก็ยิ่งทรงชื่นชมในพระอัชฌาสัยขององค์พระยุพราชทั้งสอง ถึงกับพระองค์ทรงตรัสชมเชยเจ้าหญิงเฌอมาลย์ที่มีพระเนตรทัศน์วิสัยกว้างไกลมาก และทรงพระหยอกล้อเจ้าหญิงเป็นที่ขวยเขินแก่เจ้าหญิงเฌอมาลย์ จนพระองค์ทรงมี พระพักตร์แดงฉาน เมื่อทรงความเป็นไปมากันกระจ่างดีแล้วก็ทรงร่วมเข้าปรึกษาวาง แผนการต่างๆ และทรงเห็นด้วยที่จะให้องค์พระยุพราชทั้งสองจะวางกำลังไพร่พลไว้ที่นี้ เพื่อคอยประสานทางด้านนอกไว้และคอยเข้าโจมตีทหารของท้าวนิลกาฬและเจ้านครต่างๆ เมื่อได้โอกาสอำนวยดีกว่าจะยกทัพเข้าเมืองนาครินทนาคร อาจทำให้องค์นิลกาฬสงสัย รู้ตัวแล้วเปลี่ยนแปลงกลศึกเสียใหม่ก็จะทำให้ลำบากยากยิ่งขึ้น ส่วนพระองค์และเจ้าหญิงปทุมวดีจะเข้าไปยังเมืองนาครินทนาครพร้อมกับกองทัพ พร้อมจะทูลให้องค์ทัศยุราชันย์ทรงทราบความเป็นไปมาด้วยพระองค์เอง ถึงเหตุผลต่างๆ ที่ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากองค์พระยุพราชทั้งสอง ครั้นได้เวลาพอสมควรแก่การเวลา เจ้าหญิงมณีกานต์และเจ้าหญิงปทุมวดีก็กล่าวลา พร้อมเสด็จขึ้นยังพระยาราชสีห์และคชสีห์ นำทหารชายหญิงมุ่งตรงเข้าสู่กำแพงแก้วนครนาครินทนาคร เมื่อครั้นทรงเสด็จมาถึงบริเวณ รัศมีที่คอยคุ้มครองนครก็ค่อยผ่อนคลายอำนาจลงยินยอมให้เอกอัครมเหสีและพระชายา ในส่วนเหล่าทหารชายหญิงนั้นต่างก็ได้รับทานผลไม้วิเศษและน้ำอำมฤตจากท่านมหาราชครู เป็นอำนาจที่ใช้ผ่านทางเข้าเมืองได้ เมื่อลุล่วงผ่านเข้าสู่กำแพงเมืองแล้วก็ทรงนำเหล่าทหาร มุ่งเข้าสู่พระตำหนักด้านในทันทีผ่านทหารรักษาเมืองก็ให้การถวายการต้อนรับผ่านไป ภายในพระตำหนักก็ทรงแลเห็นเจ้าหญิงดาริกาพร้อมองค์ท้าวทัศยุราชันย์กำลังทรง ยืนรอรับเสด็จอยู่หน้าพระตำหนัก ด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งนัก เจ้าหญิงทั้งสองครั้นแลเห็นก็รีบเสด็จลงจากราชพาหนะก็น้อมพระวรกายถวายบังคม ท่านท้าวทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงดาริกาซึ่งตรงเข้ามาสวมกอดองค์หญิงทั้งสอง ทั้งสองพระองค์ พลางองค์ท้าวเธอทรงตรัสด้วยความดีพระทัยว่า “รบกวนน้องหญิงทั้งสองยิ่งนักแล้ว พี่นั้นเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาจนน้องดาริกาทรงเย้า หลังจากที่ฟื้นคืนกลับมานี้ยังไม่ได้ประสบพบเห็นน้องอย่างแต่ประการใด ครั้นจะไปพบ ยังเมืองน้องหญิงก็พอดีมาเกิดเหตุทางนี้เสียก่อน หวังว่าน้องหญิงคงจะเข้าใจเราดีนะ” พร้อมทั้งหันพระพักตร์ไปกล่าวแก่เหล่าสนมกำนัลให้นำทหารชายหญิงและราชพาหนะ ของเจ้าหญิงทั้งสองไปยังที่สถานรับรองต้อนรับทรงกำชับอย่าให้ขาดตกบกพร่องอย่างใด เจ้าหญิงมณีกานต์และเจ้าหญิงปทุมวดี ทรงเขม่นมองพระวรกายองค์ท้าวเธอเห็น พระวรกายแจ่มใสประกายสีทองเจิดจ้าหลากสียิ่งนัก ต่างก็ทรงรำพึงถึงอดีตความหลัง ก่อนเก่าหาได้มีประกายเจิดจ้าดั่งฉะนี้ ยิ่งทรงแปลกพระราชหฤทัยในพระองค์ยิ่งนัก ก็ยิ่งทรงปลาบปลื้มในองค์พระสวามีกว่าเดิมอีก พระวรกายทั้งสองพระองค์ก็เริ่มสั่นสะเทิ้ม ภายในทั้งจิตใจก็ยิ่งหวั่นไหวนัก ยามเมื่อองค์ท่านท้าวเธอทรงเข้าประคองพระวรกายโอบ เจ้าหญิงทั้งซ้ายขวาไว้ในอ้อมพระหัตถ์ก็ยิ่งทรงสั่นสะท้านพระหฤทัยจนถึงกับหลั่งน้ำพระเนตร สะอึกสะอื้นไห้พลางซบพระพักตร์เข้ากับพระอุระทรงพระกรรแสงมิได้ขาด จนองค์หญิงดาริกา ที่ยืนเฝ้าทอดพระเนตรดูก็ทรงที่จะอดหลั่งน้ำพระเนตรตามไปด้วยอีกพระองค์หนึ่ง ท่านองค์ท้าวเธอทัศยุราชันย์ก็ทรงพระดำรัสเฝ้าปลอบประโลมเจ้าหญิงทั้งสามพระองค์ว่า “น้องหญิงทั้งสามจงฟังไว้ พี่นี้จะขอให้สัจจะวาจาแก่เธอทั้งหลายว่า ต่อแต่นี้เป็นต้นไป หากมาดแม้นมิสิ้นพระชนม์ชีพไปในงานศึกครั้งนี้แล้ว จะขออยู่เคียงเธอมิหนีหายไปไหน อีกแล้ว” เมื่อทรงตรัสแล้วก็ดึงร่างองค์หญิงทั้งสามเฝ้าลูบไล้ปลอบประโลมใจจนเจ้าหญิงทรงสร่างลง เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงทั้งสามทรงมีพระอาการดีมากขึ้นแล้วพระองค์ก็ทรงตรัสขึ้นอีกว่า “ต่อไปนี้เราจะมิให้น้องหญิงมณีกานต์และปทุมวดีพรากจากเราอีกอยู่ร่วมกันที่นี่ พร้อมๆกันมิให้ห่างหายไปไหนได้อีกแล้วล่ะอยู่ร่วมกันทั้งหมดนี่แหละนะ” เมื่อตรัสแล้วก็ทรงประทับจูบลงบนพระพักตร์เจ้าหญิงทั้งสามทันที สร้างความ ปลาบปลื้มประโลมใจยิ่งนักแก่เจ้าหญิงจนทรงพระสะอื้นพากันซบพระพักตร์บน พระอุระพระอังสาองค์ทัศยุราชันย์ทุกๆพระองค์ มวลเหล่านางสนมกำนัลทั้งหลายก็ค่อยๆทยอยออกไปจากพระตำหนักจนหมดสิ้น เพื่อออกไปรอรับพระบัญชายังนอกพระตำหนัก คงปล่อยให้ทรงพระเกษมสำราญปรับทุกข์สุข ต่อซึ่งกันและกัน องค์หญิงมณีกานต์และเจ้าหญิงปทุมวดีต่างก็พากันเล่าเรื่องถึงองค์ชายแห่ง สิงหะนครและทันทะกะนครอันมีเจ้าหญิงเฌอมาลย์จะทรงเข้ามาช่วยเหลือในการศึกครั้งนี้ โดยมีเจ้าหญิงเฌอมาลย์เป็นผู้ประสานงานร่วมด้วย จัดตั้งกองกำลังยังบนยอดเขาทั้งสอง ก่อนจะมานั้นองค์ยุพราชทั้งสองก็ทรงแจ้งให้ทราบว่าได้รับหนังสือลับจากองค์พระยุพราช วานนรินทร์แห่งปักษินนครส่งมาว่าจะขอเข้าร่วมเป็นพระพันธมิตรอีกทางหนึ่งด้วยอีกพระองค์หนึ่ง เมื่อองค์ท้าวเธอทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงดาริกา ครั้นได้รับทราบจากองค์หญิงทั้งสอง ก็ให้ทรงพระเกษมฤทัยยิ่งนักทรงตรัสขึ้นอย่างดีพระทัยว่า “ถ้าอย่างนั้นเราเห็นทีศึกครั้งนี้ที่คิดว่าหนักหนาสาหัสนัก ซึ่งคงจะเป็นไปตามฟ้าดินได้ลิขิต เช่นนี้ทำให้เมืองทั้งสามนั้นทรงแปรเปลี่ยนพระหฤทัยแล้ว หรืออาจจะเป็นกระแสกรรม ของท่านท้าวนิลกาฬที่จะถูกลงโทษโดยฟ้าดินมิอำนวยในการกระทำซึ่งครั้งนี้นั้น เราคิดว่า เหตุการณ์คงจะเบาบางลงมิสาหัสหนักหนาดังที่คิดคาดไว้แล้วแต่ประการใด อันเนื่องด้วยเป็น เพียงแค่ทำศึกเพียงสองด้านเท่านั้นเอง เห็นว่าเราทั้งหมดควรจะไปแจ้งให้ท่านพ่อปู่ราชครูทราบ ด้วยตัวเองเพื่อฟังคำท่านพ่อปู่จะมีความคิดเห็นว่าดีร้ายเป็นประการใด น้องหญิงเห็นชอบด้วย ประการใดหรือไม่ล่ะ” “ถ้าอย่างนั้น เราก็ไปเสียบัดนี้ทั้งหมดดีไหมเพค่ะ” องค์หญิงดาริกาทรงดำรัส “เห็นด้วยที่พี่หญิงดาริกาทรงตรัสมาเพค่ะ” เจ้าหญิงทั้งสองต่างทูลพร้อมเพรียงกัน เมื่อเป็นดังฉะนี้แล้วองค์ท้าวเธอจึงรีบทรงนำเจ้าหญิงทั้งสามเสด็จเข้าไปพบท่านพ่อปู่ราชครู ยังพระตำหนักด้านหลังทันที ครั้นมาถึงที่ยังพำนักของท่านมหาราชครู ต่างพระองค์ก็เสด็จเข้าไปข้างในก็แลเห็น ท่านมหาราชครูกำลังนั่งอ่านหนังสือตำราพิชัยสงครามอยู่ ท่านพ่อปู่มหาราชครูครั้นแลเห็น เหล่าหน่อกษัตริย์เสด็จมาก็รีบลุกขึ้นน้อมก้มกายแล้วทรงเชิญเข้าประทับยังพระราช อาสน์ กล่าวขึ้นว่า “ลมอันใดหรือที่ทรงนำมหาราชและองค์หญิงทั้งหลายเสด็จมาด้วยเหตุอันใดฤา” “เรามีเรื่องที่ต้องขอคำแนะนำจากพ่อปู่ ด้วยได้รับทราบจากน้องหญิงทั้งสอง
ภาพประกอบทั้งหมดนี้เป็นของคุณ เฌอมาลย์ ขอรับท่าน...แก้วประเสริฐ.
29 พฤศจิกายน 2549 15:18 น. - comment id 93968
เจ้าหญิงมณีกานต์มาแล้วค่ะ มาชื่นชมหญิงกล้าค่ะ ถ้ากานต์เก่งแบบนี้จริงๆก็ดีสิคะคุณลุง
29 พฤศจิกายน 2549 18:52 น. - comment id 93979
คุณชาย....ปทุมวดีก้อมาเหมือนกันเจ้าค่ะ...
30 พฤศจิกายน 2549 06:44 น. - comment id 93985
คุณ เพียงพลิ้ว ผมมานึกๆดูผู้หญิงที่มาที่นี่นะครับล้วนเก่งๆ กันทุกๆคนเลยครับ ผมทดสอบดูเห็นผู้หญิงมีมาก กว่าผู้ชายซะอีกครับ เรียกกันว่ากินขาดกันเลยล่ะ แสดงถึงความอาจหาญชาญชัยมากจริงๆนะครับ ผมเลยแต่งเรื่องนี้ให้ผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายซะเลย อิอิ แก้วประเสริฐ.
30 พฤศจิกายน 2549 06:46 น. - comment id 93986
คุณ เฌอมาลย์ ผมว่าเก่งกันพอๆกันแหละครับ ไงไปองค์หญิง กำมะลอไปได้นะครับ แต่ช่างเถอะเป็นว่าผู้หญิงใน เรื่องนี้เก่งกว่าผู้ชายมากครับ ฮ่าๆๆๆแล้วอ่านไป ก็จะทราบเองแหละครับ แก้วประเสริฐ.
30 พฤศจิกายน 2549 06:49 น. - comment id 93987
คุณ ทางแสงดาว จ้าเจ้าหญิงปทุมวดีเปิดเผยตัวแล้วนะครับ ฮ่าๆๆ ครับต่อไปสนุกๆสนานกันมากครับแล้วจบ โอ้ยไม่บอกให้ติดตามเองดีกว่านะครับรับรองว่า ไม่จบแบบห้วนๆแน่นอนเลยล่ะ แก้วประเสริฐ.