ถ้อยระบายของชายตัวเขียว ภาคที่ 2

judas

ความเดิมภาคที่ 1
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/story6970.html
ภาคที่ 2
---------------------------
แสงจันทร์ส่องลอดช่องระหว่างเสาไม้ฉายเข้ามาที่ใต้ถุนศาลาวัด 
อีกกี่วันนะ 
นับนิ้วแปดนิ้วของผมดู 
เหลืออีก 7 วันแค่นั้นเอง 
................................. 
ประแจ ไขควง อุปการณ์ต่างๆทั้งหลายของโลกมนุษย์นี่จับลำบากชะมัด 
ทุกอย่างเหมือนถูกออกแบบมาให้ใช้ร่วมกับนิ้วหัวแม่มือทั้งหมด 
ผมไม่มีนิ้วสั้นๆ ที่แข็งแรงแบบหัวแม่มือ ตรงริมสุดด้านในของมือก็เป็นแค่นิ้วที่ยาวๆเท่าๆกับนิ้วอื่น ไม่ได้แข็งแรงไปกว่ากันนัก 
ก็ลำบากอยู่เหมือนกันในตอนแรกๆ แต่ตอนนี้เริ่มชิน.. 
ผมกำลังซ่อมยานของผมอยู่ 
ซ่อมมันด้วยความหวังที่จะได้กลับบ้าน 
หลังจากยานของผมถูกยึดไปเมื่อสามสี่เดือนก่อน ก็มีข่าวจากทางราชการออกมาว่า ยานของผมเป็นของปลอม เป็นของแหกตา 
มีการเอามาออกทีวีด้วยนะ ผมดูจากทีวีที่วัด มีพิธีกรรายการโน้นรายการนี้มาถ่ายทำกันด้วย หัวเราะกันใหญ่ ทำนองว่าใครกันนะที่เชื่อว่าไอ้ยานหน้าตาเหมือนของเล่นนี่เป็นยานจริง 
สุดท้ายหลวงพ่อเลยทำเรื่องขอไปกับทางการ ว่าจะเอายานที่ว่าของเล่นนี่มาตั้งโชว์ไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่วัดได้ไหม แล้วเรื่องก็ถูกอนุมัติอย่างง่ายดาย 
ของเล่นชัดๆ ใครมันบ้าเชื่อว่าเป็นของจริงนะ เจ้าหน้าที่ที่เอายานผมมาส่งให้ที่วัด หัวร่อกันอีกยกใหญ่ก่อนที่จะลาหลวงพ่อกลับไป 
มนุษย์นี่ก็แปลกนะ 
เค้าคิดว่ายานของผมเป็นของเล่น เพียงเพราะหน้าตามันไม่เหมือนกับสิ่งที่เค้าคิดว่า ของจริง นั้นควรจะเป็น 
ทำไมเค้าไม่เคยฉุกใจคิดกันบ้าง ว่าภาพของจริงที่เค้าคิดเอาเองนั้น มันอาจไม่จริง? 
แต่ก็อย่างว่าแหละ นี่ก็คือนิสัยของมนุษย์บนโลกใบนี้ตามที่ผมเรียนมาไม่ใช่หรือ 
โลกที่เมื่อมันหมุนรอบตัวเองและเคลื่อนไปรอบดวงอาทิตย์ คนบนโลกกลับมองเห็นว่าดวงอาทิตย์นั้นหมุนขึ้นลงวนเวียนอยุ่รอบโลก 
ทั้งๆที่ตำราทุกเล่มที่โลกนี้มีก็บอกอยู่ทนโท่ว่าโลกเป็นแค่บริวารของดวงอาทิตย์ 
แต่เนื้อแท้ของมนุษย์ก็มักหลงลืม ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอยู่ดี 
บางคนบอกว่าความไม่รู้นั้นคือความโง่ 
แต่ผมว่าความ หลงผิด ต่างหาก คือความโง่ที่แท้จริง 
เพราะมันจะทำให้คุณมองไม่เห็นอะไรเลย แม้ว่าสิ่งนั้นมันจะอยู่ตรงหน้าคุณก็ตาม 
หลวงพ่อเอายานมาไว้ที่ใต้ถุนศาลา ที่เป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ตามที่ได้แจ้งกับทางการ 
แต่ที่หลวงพ่อไม่ได้แจ้งกับทางการคือ หลวงพ่อให้กุญแจผมไว้ พร้อมทั้งเจียดเงินไปซื้อเครื่องมือช่างที่จำเป็น เท่าที่ผมพยายามวาดรูปให้ท่านดูมาให้ผม 
เครื่องมือซ่อมแซมบางอย่าง ก็พอมีหลงเหลืออยู่บ้างในยาน 
อ้อ ผมลืมบอกไป ผมแอบมาอาศัยอยู่ในวัดนานแล้วหละ 
หลวงพ่อจัดที่พักเป็นกุฏิพระเก่าๆที่ไม่มีใครอยู่ให้ผมพัก แล้วให้ผมออกมาเฉพาะกลางคืน จะได้ไม่มีปัญหา อาหารการกิน ท่านก็เจียดไปวางไว้หน้ากุฏิด้วยตัวเองทุกวัน 
ผมซาบซึ้งจนไม่รู้จะพูดยังไง 
ตอนนี้ผมสวดมนต์ได้แล้วนะ หลวงพ่อท่านสอนบทง่ายๆสองสามบทให้ 
ตั้งแต่ได้ยานกลับมา ความหวังที่จะได้กลับบ้านของผมที่เคยเหือดแห้งไปก็กลับคุโชนขึ้นอีกครั้ง 
จากเดิมที่หมดหวัง ผมเริ่มปรับตัวกับโลกใบนี้ได้ เริ่มกินได้มากขึ้น เริ่มนอนหลับได้นานขึ้น เริ่มเรียนรู้ที่จะรักโลกใบนี้มากขึ้น 
เค้าเรียกว่าการ ทำใจ มั้ง 
จนผมคิดว่า ผมคงพออาศัยอยู่บนโลกใบนี้ได้..ตลอดไป 
แต่พอยานมาอยู่ที่วัด ผมก็กลับรู้ตัว ว่าผมไม่มีวันอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกต่อไป 
ผมไม่มีวันนั่งมองยานแล้วมีความสุขกับโลกใบนี้ได้อีกแล้ว 
ผมต้องไป ผมต้องกลับบ้าน 
ผมเริ่มซ่อมยานตลอดคืน และนอนในช่วงกลางวัน 
จากการเช็คสภาพยานและเชื้อเพลิง สารกัมมันตภาพที่เหลืออยู่เพียงพอให้ใช้บินได้อีกนิดเดียวเท่านั้น 
เป้าหมายของผมคือสถานีสำรวจที่ใกล้ที่สุด ที่พวกผมมาตั้งทิ้งไว้ สถานีที่ไททัน ดวงจันทร์ดวงที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ 
ถ้าผมไปถึงที่นั่นได้ ผมก็จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังยานแม่ที่ออกไปจากระบบสุริยะจักรวาลแล้วได้ 
เครื่องส่งสัญญาณที่ตัวยานของผมมันพังยับเกินเยียวยาแล้ว 
จากเชื้อเพลิงที่เหลือน้อย ผมนั่งคำนวณอยู่ครึ่งค่อนวัน ได้ผลออกมาว่า ผมไม่มีทางขับยานออกพ้นเขตแรงโน้มถ่วงโลกได้เลย 
ผมเกือบหมดหวัง 
ถ้าไม่เห็นข่าวว่าจะมีสุริยุปราคา 
สุริยุปราคา คือการที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และโลกซ้อนทับอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน 
พูดให้ง่ายคือ ถ้ามองจากโลก จะเห็นเป็นดวงจันทร์อยู่ในแนวเดียวกับดวงอาทิตย์ 
ซึ่งตรงจุดนั้น แรงดึงดูดของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์จะบวกกันพอดี 
ถ้าผมออกยานตรงช่วงเวลานั้น มุ่งหน้าเข้าหาทิศสุริยุปราคา แรงดึงดูดนั้นจะหักล้างกับแรงโน้มถ่วงโลก ถึงจะไม่มาก แต่ก็น่าจะมากพอให้ยานผมหลุดออกไปได้ โดยมีพลังงานเหลืออยู่นิดหน่อยหรือไม่เหลือเลย 
แต่การเดินทางเป็นเส้นตรงในอวกาศไม่ต้องใช้พลังงานอยู่แล้ว 
ผมแค่ปรับทิศยานตอนก่อนหลุดจากโลกให้หันหน้าไปทางดวงจันทร์ไททันให้ได้เป็นพอ 
แล้วแรงเฉื่อยของยานกับคอมพิวเตอร์นำทางคงพาผมไปถึงได้ไม่ยาก 
ผมคำนวณแล้วคำนวณอีก 
ลงมือซ่อมอย่างเอาเป็นเอาตาย เวลาน้อยลงเรื่อยๆ 
บางคืนผมหลับคายาน เช้ามาหลวงพ่อต้องอุ้มผมไปนอนในกุฏิก่อนที่ท่านจะออกบิณฑบาตเพราะกลัวใครจะมาเห็นเข้า 
สุริยุปราคาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หนังสือพิมพ์ ทีวีเริ่มประโคมข่าวกันใหญ่ 
ยานผมคืบหน้าไปไม่มาก ผมไม่แน่ใจเลยสักนิด ว่าผมจะทำมันเสร็จทันเวลา 
ที่ข้างกำแพงวัด มีคนเอาโปสเตอร์หนังมาแปะ ผมไปเดินเล่นกลางดึกคืนหนึ่งเพื่อยืดเส้นยืดสายจากงานซ่อมเลยไปเจอเข้า โปสเตอร์ใบนั้นเขียนว่า 
 Get Rich, Or Die Tryin  
ผมฉีกเอามาแปะที่ข้างยาน ขีดคล่อมคำว่า Rich เพราะผมไม่ต้องการรวย 
แล้วเขียนใหม่เป็น 
Get It, Or Die Tryin  
ถ้าผมซ่อมมันไม่เสร็จทันเวลา ผมก็ยอมตายมันอยู่ข้างยานนี่แหละ 
กี่คืนแล้วนะที่ผมไม่ได้นอน 
สามคืน สี่คืน ห้าคืน ผมจำไม่ได้ เหมือนว่ามันเบลอไปหมด 
หลวงพ่อเดินมาดูเป็นระยะ แต่ท่านก็ไม่ได้ห้ามอะไร ผมคิดว่าท่านคงเข้าใจ 
คุณรู้ไหม เส้นแบ่งระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลวน่ะ มันเป็นแค่เส้นบางๆแค่นั้นเอง 
คนที่ทำสำเร็จคือคนที่ก้าวข้ามเส้นบางๆนั้นไปได้ แม้เพียงแค่เซ็นต์เดียวก็ตาม 
ขณะที่คนล้มเหลว อาจเป็นคนที่ขาดไปแค่เซ็นต์เดียวก็จะข้ามเส้นนั้นได้ 
ความเป็นจริงก็คือ เรื่องราวในจักรวาล ไม่ได้ต่อเนื่องเป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ แต่ขยับเป็นลำดับขั้นแบบขั้นบันได 
มีแค่ได้ กับ ไม่ได้ 
เกือบได้ ไม่ได้มีความแตกต่างกับ ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง 
ได้แบบฉิวเฉียดกับ ได้แบบสบายๆ ก็ไม่ได้ต่างกัน 
ผมวางเดิมพันทั้งหมดที่ผมมี เพื่อก้าวข้ามเส้นบางๆที่ว่าให้ได้ ซ่อมยานให้เสร็จทันเวลา 
ตีห้าของวันที่จะเกิดสุริยุปราคา ผมซ่อมมันเสร็จ 
เสียงหลวงพ่อทำวัตรเช้าแว่วมา ผมนั่งยองๆพนมมืออยู่ข้างยาน 
น้ำตาไหล ไม่รู้ทำไม 
สายวันนั้น หลังจากผมกินข้าวอิ่ม หลวงพ่อก็มาช่วยลากยานไปไว้ที่ป่าช้าหลังวัด เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีใครมาเห็น 
ทุกอย่างพร้อม เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง สุริยุปราคาเต็มดวงจะเกิด 
ผมเข้าไปกราบเท้าหลวงพ่อ 
ท่านให้พรผมเป็นภาษาบาลี 
ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี ผมเลยสวดอะระหังสัมมาให้ท่านฟังจนจบ 
ท่านลูบหัวผมแบบเอ็นดู 
ไปดีนะ ไอ้เขียว ท่านพูดแล้วหันหลังเดินจากไป ปล่อยผมไว้ลำพังกับยาน 
ตอนนี้ผมนั่งรออยู่ในยานเรียบร้อย ดูนาฬิกานับถอยหลัง 
มองออกจากหน้าต่างเห็นโปสเตอร์ Get It, Or Die Tryin  ปลิวหลุดไปตามลม 
5-4-3-2-1 
ฟ้ามืดแล้ว 
เสียงประทัดดังลั่น 
นกบินกลับรังกันเป็นหมู่ 
ผมกำลังจะกลับบ้าน 
ยานผมพุ่งทะยานวาบขึ้นไปในอากาศ สูงขึ้น สูงขึ้น เหมือนใครบางคนจุดพลุไฟขึ้นฟ้า 
ในห้องนักบิน ตัวยานเสียดสีกับบรรยากาศโลกจนเสียงดังแสบแก้วหู ทางด้านซ้ายเหมือนมีอะไรหลุดออกไป ทำให้ยานแกว่ง 
ผมมือเย็นเฉียบ กุมคันบังคับแน่น 
จะออกไปนอกชั้นบรรยากาศได้ก่อนยานพังหรือเปล่า ? 
เชื้อเพลิงผมจะพอพายานหลุดออกจากชั้นบรรยากาศได้จริงหรือเปล่า ? 
ผมหลับตา นึกถึงบ้าน ที่ผมยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อให้ได้กลับไป 
ย้อนนึกถึงสิ่งที่ทำมาทั้งหมดที่ผ่านมา 
จริงสินะ ที่ผ่านมาผมทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้จนหมดแล้ว 
ผมทำดีที่สุดแล้ว 
สิ่งที่เหลือ บางทีอาจเป็นโชคชะตา บางทีอาจเป็นความบังเอิญหรือ อะไรก็แล้วแต่ ผมคงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกแล้ว 
สุดท้ายผมก็ได้รู้ 
ว่าการที่เราได้ทำ เต็มที่ หรือยัง มันอาจสำคัญมากกว่าการ ไปถึงหรือเปล่า 
ผมยิ้มกับตัวเอง คลายมือจากคันบังคับ 
หลับตา.. เอ่ยคำอำลากับโลกใบสีฟ้าสวย 
..ผมไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว ว่าท้ายที่สุด ผมจะทำมันสำเร็จหรือเปล่า..
				
comments powered by Disqus
  • ผู้หญิงสีรุ้ง

    8 พฤศจิกายน 2549 14:51 น. - comment id 93467

    อืม สู้ๆนะ เขียนต่อไป เราชอบบบบบบบบบ
  • ก้าวที่...กล้า

    8 พฤศจิกายน 2549 15:55 น. - comment id 93476

    เป็นกำลังใจให้ชายตัวเขียวกลับถึงบ้านนะ  36.gif1.gif
  • keekie

    11 พฤศจิกายน 2549 10:24 น. - comment id 93534

    เปิดเรื่องนี้อ่านสามครั้งแล้ว 
    
    ไม่รู้จะเม้นท์ว่าอะไรดี
    
    ไม่นึกว่าเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว
    จะมีปรัชญาการดำเนินชีวิตของมนุษย์
    แทรกอยู่ในเรื่องด้วย
    
    โลกที่เมื่อมันหมุนรอบตัวเองและเคลื่อนไปรอบดวงอาทิตย์ คนบนโลกกลับมองเห็นว่าดวงอาทิตย์นั้นหมุนขึ้นลงวนเวียนอยุ่รอบโลก 
    
    ทั้งๆที่ตำราทุกเล่มที่โลกนี้มีก็บอกอยู่ทนโท่ว่าโลกเป็นแค่บริวารของดวงอาทิตย์ 
    
    แต่เนื้อแท้ของมนุษย์ก็มักหลงลืม ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอยู่ดี 
    
    
    บางคนบอกว่าความไม่รู้นั้นคือความโง่ 
    
    แต่ผมว่าความ หลงผิด ต่างหาก คือความโง่ที่แท้จริง 
    
    เพราะมันจะทำให้คุณมองไม่เห็นอะไรเลย แม้ว่าสิ่งนั้นมันจะอยู่ตรงหน้าคุณก็ตาม 
    
    
    สุดท้ายผมก็ได้รู้ 
    
    ว่าการที่เราได้ทำ เต็มที่ หรือยัง มันอาจสำคัญมากกว่าการ ไปถึงหรือเปล่า 
    
    
    ผมยิ้มกับตัวเอง คลายมือจากคันบังคับ 
    
    หลับตา.. เอ่ยคำอำลากับโลกใบสีฟ้าสวย 
    
    
    ..ผมไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว ว่าท้ายที่สุด ผมจะทำมันสำเร็จหรือเปล่า..
    
    
    Get It, Or Die Tryin  
    
    .. 36.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน