บทที่ ๔ อลังการ เพียงแต่ว่าข้าพเจ้าอยากท่องเที่ยวนครของท่านสักพักหนึ่งก่อน ที่จะเข้าสู่พิธีกรรมดังที่ท่านว่าไว้ฉะนี้จะเป็น ประการใดได้หรือไม่ท่านพ่อปู่ราชครู” “อีกประการหนึ่งหากมาดแม้นว่าข้าพเจ้าได้ขึ้นเถลิงแผ่นดินนี้แล้วไซร้ การกระทำสิ่งใดหากผิดพลาด ประการใดขอความเมตตาท่านพ่อครูกรุณาชี้แนะติเตียนถึงผลร้ายฤามิดีแก่ข้าพเจ้า ต้องคอยหมั่นบอกกล่าว ตักเตือนย้ำข้าพเจ้าว่า “ท่านเป็นมนุษย์” ในทุกวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงด้วยจะขาดเสียมิได้สักกรณีหนึ่ง และ หาทางนำคำพุทธพจน์ของพระสัมมา-สัมพุทธะเจ้ามาปาฐกกถาอธิบายธรรมนั้นๆแก่ข้าพเจ้าด้วย เพื่อที่จะได้มิบังเกิดความปรามาสแต่ประการใดอันมิชอบธรรม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้เพราะข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ย่อมมีผิดพลาด เสมอๆให้ท่านต้องคอยชี้แนะในทางปฏิบัติข้อวัติต่างๆอีกทั้งราชสำนักตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆให้ทราบอย่าง กระจ่างแจ้ง เพื่อข้าพเจ้าจะได้ยึดถือมิบกพร่องในสิ่งอันมิควรซึ่งอาจจะบังเกิดขึ้นในกาลข้างหน้าโดยละเอียด ไม่มีการปิดบังซ่อนเร้นแต่ประการใด มาดว่ามิเป็นดังที่ข้าพเจ้ากล่าวก็ขอปฏิเสธเหตุการณ์เหล่านี้ของท่านด้วย” ชายหนุ่มคิดว่าที่กล่าวไว้ดีแล้วเหมาะสมแก่ฐานะของตนให้แก่ท่านพ่อปู่ราชครู ครั้นพ่อปู่ราชครูและดาริกาได้ฟังคำขอร้อง ก็ให้บังเกิด-ยินดีลืมตัวพากันก้มลงกราบชายหนุ่มอย่างหมดหัวใจ จนทำให้ชายหนุ่มตกตะลึงพึงเพริศรีบจับมือท่านพ่อปู่ราชครูแล้วก้มลงกราบตอบ พลางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงตะหนกว่า “ท่านพ่อปู่...จะทำให้ข้าพเจ้าอายุสั้นเสียแล้ว” เขารีบกล่าวอย่างระล่ำระลัก “ส่วนมหาศาสตราอาวุธ ๕ ประการนั้นมีอะไรบ้าง ท่านพ่อปู่พอจะทราบไหมขอรับ” “อ๋อ...มหาศาสตราอาวุธ ๕ ประการนั้น มีคันศรพร้อมลูกธนู ๕ ดอก จักร ตรีเพชร ดาบและบ่วงนาคราช ซึ่งเก็บไว้ในภูเขาหลังศาลาที่เราอาศัยอยู่นี่แหละท่าน หากจะไปชมดูก่อนก็ได้ ดีเสียอีกอาจบางทีจะทำ ให้มหาศาสตราอาวุธเจิดจ้าขึ้นได้เมื่อหากได้พบเจ้าของของเขา” ชายชรากล่าวด้วยสำเนียงอ่อนโยนแฝงชื่นชม “เอ๊ะ..ทำไมถึงมีเพียงแค่ ๕ ดอกล่ะท่านพ่อปู่ราชครู” ชายหนุ่มสงสัย “ท่านทัศยุราชันย์เคยกล่าวให้ฟังว่า ใช้ปราบศัตรูที่มีรูปและไม่มีรูป ดอกหนึ่ง ปราบเสียงและไม่มีเสียง ดอกหนึ่ง ปราบบุคคลที่ยังติดในรสดอกหนึ่ง ปราบผู้ที่ยังติดในกลิ่นนานาประการดอกหนึ่งและปราบผู้ที่ยัง ข้องแวะกามรมย์โดยการสัมผัสทั้งกายและจิตใจชั่วร้ายดอกหนึ่ง จึงรวมเป็น ๕ ดอกดังนี้ท่าน หากมาดแม้นว่า ผู้ใดพ้นจากลักษณะดังกล่าวแล้ว คันศรและดอกธนูก็ไม่สามารถทำอันตรายได้” ชายชราบรรยาย “แล้ว จักร ตรีเพชร ดาบและบ่วงนาคราชล่ะท่านพ่อปู่ราชครู” “จักรนั้นหากผู้เป็นเจ้าของใช้กงจักรจะหมุนเป็นไฟกรดลุกไหม้เมื่อส่งออกไปจะทำลายทุกสิ่งให้เป็นจุล ยากจะหาผู้ใดต้านทานได้ แม้แต่สามภพยังต้องเกรงขาม ซ้ำยังเป็นพาหนะนำท่องเที่ยวไปทั้งสามภพได้อีกด้วย ตรีเพชรนั้นปลายทั้งสามจะปรากฏเป็นวิชชุสายฟ้าพุ่งเข้าบดทำลายข้าศึกหากใช้ในการทิ่มแทงถึงแม้ว่า จะอยู่ยงคงกระพันชาตรีทนต่อศาสตราอาวุธทั้งปวงสักเพียงไหนก็ไม่อาจต้านทานอำนาจตรีเพชรได้ ดาบนั้นใช้ปราบพวกอสูร ยักษ์ เทวดา ที่มีฤทธิ์มากซึ่งได้ทานน้ำอมฤตอุทกไว้จึงเห่อเหิมทะเยอทะยาน คอยรังควาญมนุษย์เทวดาอวดเก่งในฤทธิ์ของตนเองเสมอจนมีร่างกายที่คงทนไม่เกรงกลัวต่ออำนาจทั้งปวง ให้พินาศย่อยยับดับสิ้นสูญไป ต้องแล้วแต่อำนาจในการกระทำนั้นๆ ส่วนบ่วงนาคราชเมื่อยามใช้ ขว้างออกไปจะเป็นพญานาคราชจำนวนมากเขาห้ำหั่นกับศัตรูและทำลายล้างด้วยพิษไฟหรือมัดร่างกายให้อ่อน เปลี้ยเพลียแรงใช้ในการจับกุมข้าศึก มหาศาสตราอาวุธนี้ได้ถูกประทานจากจอมเทพต่างๆกัน คันศรและลูกศรนั้นได้รับพระราชทานจากองค์พระพรหมผู้เป็นจ้าวแห่งพรหมทั้งปวง จักรนั้นได้รับประทานจากองค์พระนารายณ์แห่งมหาสมุทรใต้บาดาล ตรีเพชรนั้นได้รับพระราชทานจากองค์พระแม่เจ้าอุมามหาเทวีแห่งจอมเขาไกรลาส ดาบนั้นได้รับพระราชทานจากองค์อินทร์ธิราชเจ้าร่วมกับท่านท้าวจตุรโลกบาลทั้ง ๔ ที่ร่วมจัดทำขึ้นเฉพาะกาลนี้ ส่วน บ่วงนาคราชนั้นได้รับพระราชทานจากองค์พระอิศวรมหาเทพแห่งเขาไกรลาส ฉะนั้นจึงมีอิทธิฤทธิ์เดชานุภาพมากเหลือคณา ยากจะหาศาสตราอาวุธใดๆเปรียบได้ต้องมีมนต์ใช้กำกับอาวุธนี้ มหาศาสตราอาวุธ ๕ ประการนี้ จะมีแสงประกายดุจสายรุ้งที่แวววาวระยิบระยับวนล่องลอยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งประกอบด้วยธาตุบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของสามภพมารวมไว้ในมหาศาสตราอาวุธนี้ การเก็บรักษาต้องใช้ธาตุ บริสุทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์หล่อเลี้ยงไว้หากมิได้พกติดตัวเจ้าของเฉพาะโดยตรง” ชายชราเล่าอธิบาย “อืมม...ๆๆนับได้ว่าร้ายแรงยิ่งนักที่ทรงอิทธิฤทธิ์ประการหนึ่ง” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง??????....... “แล้วท่านพ่อปู่ราชครูมีอะไรจะให้ข้าพเจ้ารับใช้อีกเล่านอกจากที่กล่าวมาแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวถาม “ไม่หรอกท่านทัศยุ ไปพักผ่อนเถอะเมื่อจันทร์เพ็ญขึ้นเต็มดวงเมื่อใด เราจะให้หญิงดาริกาไปตามท่าน อ้อ...เป็นภาระท่านหญิงด้วยช่วยนำท่านทัศยุไปพักผ่อนยังปราสาทเถอะ และท่านช่วยปรนนิบัติดูแลด้วย งานนี้ปู่ขอมอบให้เจ้านะ” ชายชรากล่าวแล้วหันไปสั่งกับหญิงดาริกา ซึ่งน้อมรับและพาเขาเดินออกไป...... ทั้งสองเดินอ้อมผ่านวิหารเล็กที่ท่านพ่อปู่ราชครูอาศัย ตามทางทั้งสองข้างปลูกดอกไม้นานาพันธุ์ ส่งกลิ่นหอมโรยรินตลอดทางตรงไปยังภูเขาที่มีแสงสว่างพุ่งรุ่งโรจน์สว่างไสวเป็นพิเศษ พลันภูเขาก็เปิดเป็นทางเล็กๆหินต่างๆทอแสงประกายระยิบระยับประหนึ่งโรยด้วยเพชรนิลจินดาหลากสี แพรวพราวไปทั่วตามแนวทางที่ทั้งสองเดิน พอพ้นทางก็บังเกิดทัศนียภาพแปลกใหม่สว่างไสวรุ่งโรจน์ชัชวาล ในรูปอีกแบบหนึ่งประกอบด้วยปราสาทราชมณเฑียรสูงระฟ้าที่ห่อหุ้มด้วยเมฆน้อยใหญ่ลอยละล่องดุจประหนึ่ง เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าในภาพวาดก็มิปานที่เคยเห็นตามปฏิทินที่เคยชอบมองอยู่เสมอๆ รายล้อมด้วยกำแพงจะว่าเป็นหินผาก็ไม่เชิงซึ่งมีหลากหลายสีน่าจะเรียกว่ากำแพงแก้วมากว่าแบ่งเป็นชั้นๆ จนถึงปราสาทใหญ่หลังหนึ่งที่ยอดประดับประดาด้วยแก้วกลมสีขาวใหญ่ดังไข่มุกที่แวววาวส่องส่งแสงเป็นนวล ประกายพร่างพราวพรรณราย นอกกำแพงแก้วตรงประตูผ่านเข้าทั้งสองข้างมีทหารหญิงและชายตั้งแถวรอรับโดย แบ่งออกสลับเป็นหมวดหมู่แต่งกายหลากสีไม่เหมือนกัน ทหารชายแต่งกายด้วยชุดสีเขียวเข้มตัดกับกางเกงสีดำ ส่วนทหารหญิงนั้นแต่งกายด้วยชุดสีชมพูกางเกงรัดรูปสีน้ำตาลเข้ม ต่าง ถือโล่ เขน หอก ดาบ ทวนและอาวุธอีก นานาชนิดแบ่งเป็นหมู่ๆ ทหารหญิงทุกคนสวมที่คาดด้วยมงกุฎสลับสีแพรวพราว ส่วนทหารชายนั้นคาดด้วยผ้า สลับสีเป็นตารางตรงกลางตารางนั้นประดับด้วยหินสีต่างๆกันและทอแสงแวววับ แต่ทุกๆคนต่างสวมกำไลแขน ขาที่ทำด้วยหินสี หน้าสุดของแถวทหารชายหญิงมีขบวนนางรำถือพานดอกไม้ต่างสีนานาพันธุ์ยืนคอยอยู่ พอ ทั้งสองเดินถึงต้นขบวนนางรำที่ถือพานต่างก็โปรยดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมแตกต่างกันไป เมื่อทั้งสองเดินย่ำบน กลีบดอกไม้ เสียงทหารทั้งชายและหญิงต่างก็เปล่งเสียงด้วยถ้อยคำแตกต่างกันเป็นเสียงสูงต่ำไม่เท่ากันโดยต่าง ผลัดกันเปล่งเสียงทำนองดั่งระนาดที่ใช้บรรเลง ด้านทางทหารหญิงจะเปล่งเสียงร้อง “ พระมเหสีดาริกา จงทรงพระเจริญ” แล้วก็มาทหารฝ่ายชายส่ง เสียงขานรับเป็น “มหาราชทัศยุราชันย์ จงทรงพระเจริญ ” สลับกันไปแต่ละหมู่กองจนสิ้นสุดที่หน้าประตูกำแพง แล้วย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ต้นแถวเป็นดังนี้ในระหว่างทั้งสองกำลังเดินบนระหว่างกลีบดอกไม้เหล่านั้น การร้องในทำนองนี้ทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดชะงักหลายครั้งซึ่งก็ไม่ได้สอบถามหญิงดาริกาเลยทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพราะเขาพอจะทราบดีอยู่ว่า ทุกอย่างนั้นล้วนแล้วด้วยอิทธิฤทธิ์ทั้งสิ้น กระแสข่าวย่อมสื่อได้รวดเร็วเสมอคงจะ เป็นการสื่อด้วยอำนาจของจิตที่ถ่ายทอดรับสู่กันของชาวเมืองนาครินทนาครนี้ เพียงแต่เขาทึ่งต่อการต้อนรับและ เสียงเสนาะไพเราะจับใจของเหล่าทหารหาญทั้งหลายสุดจะพรรณนาได้ แต่ชายหนุ่มมิได้ลุ่มหลงต่อสิ่งที่เขาได้รับนี้กลับคิดยิ่งกังวลว่าจะสามารถทำตามที่รับการร้องขอของท่านพ่อ ปู่หรือไม่เท่านั้น จิตใจจึงไม่ใยดีเท่าที่ควรรีบเดินตามหญิงดาริกาไป แต่เหมือนหญิงน้อยจะรู้ใจหรือว่าจะ กลั่นแกล้งเขาก็ไม่รู้กลับเดินเอื่อยทอดน่องวางมาดราวกับนางพญาที่เฝ้าเดินชมสถานที่สวยงามฉะนี้ เขาคิดว่า พิธีการคงจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้ จึงได้เข้าไปสะกิดหญิงดาริกาเสมือนเร่งให้รีบเดินจะรีบไปพักผ่อนเสียแต่หาเป็น เช่นนั้นไม่ หญิงดาราเพียงแค่หันมายิ้มกับเขาแล้วก็ยังคงเดินนำหน้าต่อไปจนสิ้นสุดถึงหน้าประตูกำแพงเข้าวัง เมื่อเขาก้าวเข้าประตูหน้ากำแพงวังก็ต้องผิดหวังอีกเพราะภายในประตูกำแพงนั้นกลับมีอีกขบวนที่รอคอย ต้อนรับแต่กลับเป็นเสลี่ยงทั้งสองเป็นเสลี่ยงเล็กมีวอและใหญ่มีวอ ขบวนทหารชายหญิงสลับกับเหล่ามโหรีต่างๆ ทางด้านหญิงดาริกาหันไปสั่งกับทหารเหล่าละสี่รูปร่างทะมัดทะแมงกำยำทั้งชายและหญิงที่ยืนคอยรับคำสั่งว่า “อัสนีและวารุณี จงนำเราไปที่วังหลวง และจัดเวรยามขอมอบให้เป็นหน้าที่ของเหล่าทั้งสอง” หล่อนกล่าวกับนายทหารหญิงและชาย “อย่าได้บกพร่องต่อหน้าที่ผลัดเปลี่ยนเหล่าละสองท่าน” หญิงกำชับอีกที “ พะยะค่ะ” ทั้งอัสนีและวารุณีน้อมตัวขานรับบัญชา “ส่วนแต่ละชั้นให้ วายุ พินทุ พิรุณ กับ ศันสนีย์ วิรดี และ นาฏฤดีจับคู่กันแบ่งรับผิดชอบสลับเหล่านำ ทหารท่านผลัดเปลี่ยนเวรยามระมัดระวังคนเข้าออกด้วย” “พะยะค่ะ” หัวหน้ากลุ่มต่างขานรับพร้อมเพียงกัน ซึ่งหัวหน้าทั้งหมดมีแปดนาย นายทหารชายสี่นายทหารหญิงสี่นาย ทำหน้าที่สลับแต่ละหมวดหมู่กันและกัน ชายหนุ่มรู้สึกทึ่งต่อการแบ่งหน้าที่ของหญิงดาริกาเพราะการที่เป็นเช่นนี้ย่อมสะดวกต่อเหล่าทหารหาญยิ่งนัก ป้องกันการตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายย่อมสามารถตรวจสอบได้ง่ายดายไร้ข้อครหานินทาภายหลัง แสดงถึงนางต้องรอบรู้ตำหรับพิชัยสงครามกลศึกระเบียบต่างๆอย่างกระจ่างแน่แท้เหมือนดังที่เคยฟังวิทยุยามว่าง ในเรื่องของสามก๊กต่อการจัดการทั้งหลายเป็นแน่เชียว ชายหนุ่มคิดและได้แต่ยิ้มกับนางเท่านั้นที่หันมามองเขา “เชิญท่านพี่ทัศยุขึ้นเสลี่ยงได้แล้วค่ะ” หล่อนหันมายิ้มกล่าวกับเขา “อ้าวๆ..เราไปด้วยกันไม่ใช่หรือหญิง” ชายหนุ่มถามพร้อมทั้งดีใจที่หล่อนปรับสถานการณ์เข้ากับเขาได้ดียิ่ง เลยโมเมเรียกหล่อนว่าหญิงเสียเลยเพื่อจะได้สะดวกใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับสาวน้อยคนสวยนี้ เขาคิดกระหยิ่มในใจ “ไม่หรอกท่านพี่ หญิงไปกับวอเสลี่ยงคันเล็กค่ะ” หล่อนตอบ “อ้าวๆเดี๋ยวเกิดทหารพาพี่หลงล่ะจะทำอย่างไรรึ?” เขาแกล้งถาม หล่อนหัวร่อก่อนตอบเขาว่า “ถ้าหลงสงสัยพาไปหาสาวๆในวังกระมังค่ะ” หล่อนทิ้งท้ายพร้อมหัวร่อยกใหญ่ “นั่นซิๆ พี่ไม่เคยคบหาสมาคมกับสาวใดเลย แล้วทำฉันท์ใดดีล่ะน้องหญิง” เขาแสร้งทำหน้าขึงขัง “ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิดค่ะ หญิงกลัวว่าจะงมงายจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเสียอีก” หล่อนกระเซ้าบ้าง “ถ้าเป็นอย่างน้องหญิงว่า เห็นทีพี่ต้องวิ่งไปหาน้องให้ช่วยแล้วล่ะ” เขาทิ้งท้ายอีกที “เอาเถอะๆตอนนี้ท่านพี่ขึ้นเสลี่ยงไปก่อนแล้วเรื่องอื่นว่าทีหลัง “ หล่อนตัดบทเขาดื้อดื้อๆ “อ๋อ...ท่านอัสนีและวารุณี พาท่านพี่เราตระเวนรอบๆนาครก่อนก็ได้สิ้นสุดพารอบวังต่างๆแล้วค่อยไปยัง วังหลวงเพื่อให้ท่านพี่ที่จากไปนานจะได้รู้เห็นสิ่งต่างๆบ้าง ลางทีอาจจะย้อนระลึกความหลังได้นะ” หล่อนสั่ง “พะย่ะค่ะ” พร้อมทั้งสั่งทหารให้เคลื่อนขบวนเพื่อนำเสด็จประพาสน์ทอดพระเนตรตามที่รับสั่งมา ขบวนได้เริ่มเคลื่อนวนจากซ้ายไปขวาผ่านถนนต่างๆบ้างเป็นที่อยู่อาศัยของชาวนคร บ้างเป็นสถานที่พักผ่อน หย่อนใจ บ้างเป็นสถานที่ใช้ในการฝึกทหารหาญ บ้างเป็นธรรมสถานขนาดใหญ่ทราบว่าใช้เป็นที่อบรมศีลธรรม ของชาวเมืองและทหารหาญ ทุกสถานที่ผ่านหากมีชาวนครนาครินทนาครก็จะมีชาวประชาออกมาต้อนรับและ โปรยปรายกลีบดอกไม้พร้อมเปล่งเสียงต้อนรับอย่างเนืองแน่น ข่าวกระแสคงทราบไปทั่งนครนครินทนาครแล้ว จึงมีฝูงชนเนืองแน่นเพื่อเข้าชมพระบารมีของมหาราชทัศยุจอมราชันย์ วงมโหรีที่นำขบวนบรรเลงเพลงฟังดู ช่างไพเราะจับใจยิ่งนักแต่ไม่เหมือนกับเขาได้เคยฟังเพลงต่างๆเลยหรือแม้แต่วงไทยเดิมก็เพียงมีส่วนคล้ายๆ เสียงทำนองอ้อยอิ่งหวานสั่นระริกดุจดั่งนกร้องประสานเสียงกับเสียงของระฆังแก้วที่ก้องกังวาน ยามพัดผ่าน เข้าโสตถิจนเกิดอาการทำให้สุดจะเคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองล่องลอยพลิ้วแผ่วอ่อนไหวไปๆมาๆเสมือนดัง ล่องลอยตามไปในอากาศก็มิปาน แต่สิ่งที่แปลกตาของเหล่าชาวนครนี้ซึ่งตบแต่งประดับประดาเสื้อผ้าที่มีแสง ระยิบระยับแพรวพรายคล้ายมีละอองสีลอยล่องตามตัวแทบทุกตัวคนมากบ้างน้อยบ้าง ครั้นเพ่งก็ยิ่งตลึงเท้าของชาวนาครนี้คล้ายล่องลอยไปในอากาศแทบจะไม่ได้ติดพื้นก็ว่าได้ ครั้นสังเกตดูพบ เหล่าทหารที่แบกเสลี่ยงเขาที่ใช้ถึงแปดนายทุกนายก็เหมือนกับชาวนครทั้งหลายคือคล้ายลอยละล่องไป และเป็นไปเกือบทุกๆคน เขาพึ่งจะมาสังเกตเห็นคราวนี้เอง แต่ละชั้นนั้นชาวนาครมักจะแต่งตัวไม่เหมือนกัน คือการโพกผ้าคาดของหญิงและชายมักจะเป็นสีเดียวกันของแต่ละชั้นกำแพงตลอด พอเปลี่ยนชั้นกำแพงก็จะเป็น อีกสีหนึ่งรวมทั้งผ้าคาดเอวปล่อยชายของแต่ละชั้นด้วยเป็นแบบนี้สลับกันไปจนครบสี่ชั้น แต่พอเข้าสู่ประตูของ วังแต่ละวังจะมีกำแพงแบ่งแยกวังเอาไว้ เสื้อผ้า ผ้าคาดผมและคาดเอวก็แตกกันไปอีกไม่เหมือนนอกวัง วังแต่ละวังจะใช้ผ้าโพกศีรษะกับผ้าคาดเอวแม้ต่างสีกันระหว่างผ้าโพกกับผ้าคาดเอวแต่ก็เหมือนๆกันที่ใช้ ตลอดทั้งวัง การใช้ผ้ามิได้ปะปนเฉพาะของแต่ละวังส่วนวังหลวงซึ่งเป็นวังใหญ่เมื่อล่วงเลยเข้ากำแพงแล้วผ้าคาด และคาดเอวจะเป็นสีทองสีเดียวกันหมด ในแต่ละวังนี้ชายหนุ่มสังเกตเห็นการแบ่งชั้นของทหารและเหล่าบริพาร จะมีหินสีประดับไว้ที่หน้าผากของผ้าคาดศีรษะบอกถึงตำแหน่งยศศักดิ์ของแต่ละนายกำกับไว้ว่าสูงต่ำเพียงใด และประกายของสีจะสว่างไสวไม่เท่ากันต้องแล้วแต่ละบุคคลด้วย เปรียบเสมือนฤทธิ์เดชของธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ชาว นาครนี้ได้อาบและดื่มกินกันยามเมื่ออุบัติขึ้นมาย่อมแตกต่างกันแต่ละบารมีของคนนั้นๆเหมือนอย่างที่ท่านพ่อปู่ ราชครูเล่าไว้ให้ฟังอีกทั้งอิทธิฤทธิ์ของศาสตราอาวุธที่คอยควบคุมปกป้องรักษาไว้ด้วย จนกระทั่งสิ้นสุดการนำเสด็จประพาสน์เข้าสู่กำแพงวังหลวงของนาครินทนาครจนถึงประตูวัง นายทหาร ทั้งแปดต่างแยกย้ายกันเข้าน้อมอัญเชิญชายหนุ่มและหญิงดาริกาลงจากเสลี่ยงวอเพื่อนำเสด็จไปยังปากประตูวัง แล้วก้าวตามหลังหญิงดาริกากับชายหนุ่ม เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูชั้นในวังหลวงเข้าไปภายในทำให้เขาต้องยิ่งตก ตะลึงยิ่งกว่าเก่า ด้วยภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่นั้นประดับด้วยที่ประทับเศวตฉัตรสามชั้นม่านฟ้าซึ่งทำด้วยผ้า แพรบางเบาหลากสีคล้ายปีกของแมลงทับบินส่องไสวจะมีประกายระยิบลอยละล่องไปมาบนม่านชั้นๆทั่วห้อง ข้างประทับเศวตฉัตรจัดตั้งด้วยเก้าอี้แก้วพร้อมฉัตรหนึ่งชั้น สองพระที่ลวดลายงดงามตระการตายิ่งนัก เข้าใจว่าคงเป็นของพระมเหสีของกษัตริย์จอมราชันย์ ถัดลงมาลดหลั่นลงถูกจัดวางเรียงด้วยเก้าอี้หินสลับสีสัน ต่างๆ เขาคิดว่าคงเป็นตามลำดับตำแหน่งต่างๆกันคงจะเป็นพวกราชวงศ์หรือคนใน ตำแหน่งที่ปรึกษาทางทหาร และเหล่าอำมาตย์ที่มียศสำคัญใหญ่โต ถัดจากชั้นดังกล่าวก็จะเป็นพื้นห้องบริเวณกว้างถูกจัดแบ่งเป็นวงกลมรูป ดวงดาวกระจายรายล้อมเรียงรายแบบรัศมีเป็นไปตามลำดับนับที่ประทับเศวตฉัตรเป็นศูนย์กลางรัศมี คงจะถูก เป็นที่พักของบรรดาเหล่าขุนนางทั้งทหารและพลเรือนทั้งสิ้น ตามประตูหน้าต่างแต่ละช่องถูกจัดยืนไว้ด้วยทหาร ทั้งหญิงและชายสลับอย่างล่ะคู่ หลังพระที่นั่งเศวตฉัตรถูกกั้นด้วยม่านบางเบาไม่สามารถมองและเห็นสิ่ง ภายในได้ พื้นผนังภายในห้องถูกทำเป็นลายละเหลื่อมคล้ายๆพลิ้วไปพลิ้วมาดั่งเมฆที่ล่องลอยได้ฉะนี้ หญิงดาริกาคงเดินนำหน้าพาชายหนุ่มก้าวล่วงผ่านแนวกลางห้องโถงขึ้นไปยังแนวชั้นของพระที่นั่ง เศวตฉัตรพร้อมทั้งชี้ให้ชายหนุ่มดูกล่าวว่า
30 ตุลาคม 2549 22:21 น. - comment id 93257
กว่าจะนับลูกธนู จักร ตรีเพรช บ่วงบาศ อาไรอีกนะ ถ้าเป็นยายแม่มด คงต้องใช้ที่เดียวพร้อมกันหมดแน่ๆ ตื่นเต้นบ้างแล้วค่ะ......เจ้าชายของยายแม่มด เป็นหวัดไม่ดีนึ สวัสดีครับผม
31 ตุลาคม 2549 07:59 น. - comment id 93259
เรื่องนี้กานต์แสดงเป็นทหารหญิงใส่ชุดสีชมพู กางเกงสีน้ำตาล อิอิ ดูเท่ห์ชะมัดเลยค่ะคุณลุง
31 ตุลาคม 2549 08:51 น. - comment id 93261
อลังการค่ะ ทั้งภาพทั้งเนื้อเรื่อง แต่จะไปชมภาพต้นเดือนหน้าแล้วค่ะ
31 ตุลาคม 2549 18:09 น. - comment id 93267
คุณ ร้อยรัก เหมือนกับผมแหละครับ หวัดนี้เป็นเพื่อนรัก กันมากไม่มีวันจากไปแน่เลย ทำไงได้ครับ จ้าวหญิง หรือครับ อิอิ คุณทราบได้ยังไงครับ แก้วประเสริฐ.
31 ตุลาคม 2549 18:11 น. - comment id 93268
คุณ เพียงพลิ้ว แค่ทหารหญิงพอแล้วหรือครับไม่เป็นมเหสีของ องค์ราชันย์หรือครับใกล้จะมาแล้วครับ แก้วประเสริฐ.
31 ตุลาคม 2549 18:16 น. - comment id 93269
คุณแม่มดใจดี หรือครับนั่นก็อลังการแน่ครับเขาให้เข้าได้ แล้วหรือครับเห็นปิดชั่วคราวนะ ใกล้ๆจะสนุกแล้ว ล่ะครับอีกไม่กี่ตอนเท่านั้นครับนี่ผมทำตามใจคุณ นะจะพยายามเร่งหน่อยเจ้าหญิง แก้วประเสริฐ.
2 พฤศจิกายน 2549 22:09 น. - comment id 93292
...แฝดเพื่อน...บรรยายได้เห็นภาพชัดเจนมาก...คล้ายๆกับว่า..ได้กลับเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง...อลังการจริงๆค่ะ...ขอชื่นชมด้วยใจจริง ...จะติดตามตอนต่อไปค่ะ..
2 พฤศจิกายน 2549 23:08 น. - comment id 93296
คุณ ราชิกา แฝดเพื่อนที่รักยิ่ง มันเป็นสิ่งที่ผมจินตนาการ เพ้อฝันขึ้น ซึ่งมันเกิดจากใจผมเมื่อเขียนเสร็จมา นั่งอ่านเพื่อตรวจสอบทบทวน ยังอดจะคิดเสียมิได้ ผมเขียนเข้าไปได้อย่างไร จนแปลกใจทั้งๆที่ผมมิได้ คิดจะเขียนเลียนแบบใครเลยและไม่เคยอ่านนิยาย แบบนี้มาก่อน ดูหนังเคยดูมาบ้างครั้งสมัยเด็กๆ จนผมคิดว่ามันแปลก แต่ก็เป็นไปแล้ว ระหว่างการเขียนอารมณ์ผมกลับจมดิ่งไปแล้วก็เขียน ขึ้นโดยไม่คิดจะวางโครงเค้าไว้ก่อนแต่ประการใด เลย เพื่อนรักว่าแปลกไหมครับ นี่ผมพูดจาก จากใจจริงกับเพื่อนที่ผมรักนะครับ ขอบคุณ แก้วประเสริฐ.