ฝั่งน้ำเอย.. ฝั่งน้ำน่าน.. ยามจากกันหวิวหวั่นบ่วาย เบนเอียงตามสาดซับ.. ภาพซึมซึ้งซ่านหวานใจ คงมีวันหนึ่งไหนได้ไปเยือนถึง ครวญ.. คะนึง.. ทิ้งทางทอดยาวผ่านเลยลา... ..เสียงโหยหวน ครวญเพลงยามโพล้เพล้ พลบค่ำ ล่องลอยมาตามสายลมยามเย็น ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มเย็นลง เย็นลง โอบรอบบริเวณ หากทว่าฟังดี ๆ จะเป็นดังเสียงสะอื้นไห้ระคนเสียงครวญเพลงของหญิงสาว น้ำเสียงที่แว่วลึกบาดไปถึงห้วงเหวก้นบึ้งของหัวใจ.. ผู้คน ชาวบ้านแถบย่านร้านถิ่นต่างก็ล่ำลือกันว่าคุ้งน้ำนี้ผีดุเหลือหลาย พอถึงคืนเดือนหงายผู้คนต่างกล่าวกันว่าจะเห็นหญิงสาวมาเล่นน้ำที่คุ้งน้ำนี้บ่อยครั้ง หากเข้าไปใกล้ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็พลันอันตธานหายไป พอพลบค่ำก็แทบจะไม่ใครอยากจะสัญจรผ่านทางเท่าใดนัก..!!! .. .. .. เราพบกัน.. เมื่อสามปีก่อน เธออยู่ปีสอง ส่วนผมอยู่ปีหนึ่ง.. กับการมาค่ายครั้งแรกนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ประทับใจยิ่งสำหรับผม ไม่แพ้ไปกว่าการได้เจอเธอ.. บนรถบัสกระป๋องบุโรทั่งคันเล็ก ๆ ระยะทางจากสถานีรถไฟเมืองแพร่ไปสู่ชนบทหมู่บ้านในจังหวัดน่าน การรอคอยเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางย่อมก่อความเบื่อหน่ายแก่ผู้เดินทาง ผู้คนที่อ่อนเพลียเหนื่อยล้า ต่างโรยตัวพิงพนักพักสายตา ดิ่งลึกไปสู่อารมณ์อันหลับใหลเพื่อรอคอย.. จะมีอะไรดีไปกว่าการชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง จน.. แวบ.. นึง ที่เธอเอนตัวตามแรงเหวี่ยงของรถ จากแนวที่นั่งด้านหน้า.. ทำให้ผมได้พบกับเธอ เธอกำลังหลับ.. เธอดูไม่สวย และเธอ ก็ไม่ใช่คนสวยที่สุดในค่ายนี้ หากแต่ดูไร้เดียงสา.. ในคราใดที่ผมแอบมองเธอในขณะที่เธอกำลังหลับ เธอ ดูอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาในสายตาผมเสมอ จนผมไม่อยากละสายตาอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้.. ทำไมหนอ ในค่าย.. ขณะที่เธออยู่กลุ่มสอน และ ขณะที่ผมอยู่กลุ่มสร้าง.. เธอยิ้มหัวเราะ สนุกไปกับการทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ ผม.. แอบมองลอดหน้าต่าง ในแวบนึงที่เธอมองกลับมา ผมรู้สึกเขินอายเกินกว่าจะสบสายตา จึงเบนหน้าและเดินลับไป ..คืนแสงดาว ใต้เปลวเทียน ทำนองเพลงฝั่งน้ำน่านที่กรีดผ่านสายเส้นเสียง.. เธอ เอนตัวอ่อนไหวไปตามริ้วทำนองเพลง หลับเคลิ้มไปตามกระแสอารมณ์ ผม.. แอบเฝ้ามองดวงหน้าอันไร้เดียงนั้น อย่างพิศวง ท่ามกลางเงาอารมณ์ลุ่มไหลด่ำเคลิ้มเกินบรรยาย จากค่าย.. ผมพยายามติดต่อเธอ แต่กลับถูกปฏิเสธ เธอว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก เธอมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว เราพบกันช้าเกินไปไป.. ความผิดหวัง ความสิ้นหวัง ความเศร้า มันเป็นความจริงที่เราจะต้องยอมรับ ความเศร้าที่เป็นความจริง หากแต่ผมหาลืมเธอไม่.. ผม.. เบนหน้า ทุ่มเทให้กับงานกิจกรรมสรรค์สังคม สัมผัสกับกลุ่มชนที่ถูกทิ้งให้อยู่เบื้องหลัง กับปีที่สอง.. ปีที่สองที่.. ไม่มีเธอ.. บนใบหน้าไร้เดียงสาดูอ่อนเยาว์ต่อโลก.. บนใบหน้านั้น จนกระทั่งวันนึง.. เธอชวนผมไปค่ายด้วยกันอีกครั้ง.. เป็นโอกาสที่ผมจะตอบปฏิเสธบ้าง.. ถึงกระนั้น.. อารมณ์ที่เก็บไว้ไม่อยู่ มันฉุดตัวผมให้ต้องติดตามไปเบื้องหลัง.. หลังเปิดค่ายหนึ่งวัน ไม่มี.. ไม่มีเธอ.. เธอไม่ได้ไป.. ความคิดถึง.. ความเศร้า.. จนกระทั่งปิดค่าย.. เราคงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกแล้ว ปีที่สาม.. ความมุ่งมั่นหาคำตอบ มาพร้อมกับความเหนื่อยล้า ท้อถอย เบื่อหน่าย อันเป็นคำตอบข้อท้ายสุดอย่างที่เราไม่คาดคิดอยากจะให้เป็น.. ผมเอนตัวนอนเหยียดยาวไปตามม้านั่งหินอ่อนริมถนน มองดูท้องฟ้า แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า ชีวิตคนเรา.. เกิดมาทำไม..? พักนี้.. ผมไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมเท่าใดนัก อาจจะแวะมาช่วยงานบ้าง.. ก็เพียงบางครั้งบางหน แต่.. สิ่งที่ไม่คาดฝัน ผมพบเธอที่นั่น ทุกครั้งที่ผมแวะมา.. ท่ามกลางวงเสวนา.. คำพูดที่อ่อนหวาน ใบหน้าที่อ่อนโยน ถ้อยทีถ้อยฟัง ถ้อยทีถ้อยถาม และ.. ดวงหน้าแววตาอันไร้เดียงสา.. ดวงหน้า เธอ.. ตามตัวผม อยากจะให้ผมเข้ากิจกรรมบ่อยขึ้น.. บางทีผมรู้สึกลำคาญที่มีใครมาควบคุมความอิสระ และ ความเป็นปัจเจกชนในตัวผม.. ทำไม ? คุณต้องมายุ่งกับชีวิตผมนัก เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ไม่อยากคุยกับชั้น ชั้นอยากรู้จักกับเธอ...??? ..ในบางเวลาการนิ่งเงียบเสีย.. และไม่เอื้อนเอ่ยคำใด.. อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด.. เดินตามบรรยากาศแห่งห้วงอารมณ์.. เราต่างสบสายตากันและกัน.. บนดวงหน้าและแววตาอันไร้เดียงสา ในวันนี้ ที่เรา.. ต่างก็ไม่มีใคร ความฝัน ความหวัง และ เปลวเทียนในหัวใจของผมเริ่มฉายโชนหวลกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง เรา.. ต่างก็เข้ากิจกรรมกันบ่อยขึ้น เจอกันบ่อยขึ้น.. แทบจะเรียกได้ว่าย้ายมาอยู่ที่ห้องกิจกรรมเลยก็ว่าได้.. ความสนิทสนมที่นับวันต่างทบทวีพูนเพิ่ม เราต่างเป็นเงาของกันและกัน.. เมื่อครั้งที่ผมต้องออกเดินทางไปต่างจังหวัด ผมจะเด็ดดอกหญ้า บนพื้นถิ่นที่ผมก้าวไปถึง มาให้เธอ.. ในบ้างครั้งที่ผมแอบวิสาสะค้นกระเป๋าของเธอ.. ผมมักจะพบดอกไม้แห้ง ๆ อยู่ในนั้นเสมอ ๆ.. ยังอยู่ครบทั้งห้าดอก.. เธอไม่เคยทิ้งแม้แต่ดอกเดียว เมื่อวันสุดท้ายก่อนที่เธอจะสำเร็จการศึกษา.. ในเมื้อเย็นครั้งสุดท้ายมื้อนั้น.. เราต่างก็คุยกัน ถึงอนาคตของเราที่จำต้องเป็นไป.. เธอ.. มองโลกในแง่ดี เมตตา และ อ่อนโยน ผม.. อยู่ในโลกที่หมองมัว เศร้าสร้อย และ เซื่องซึม เธอ.. เป็นนักวิชาการเต็มตัวที่เดินบนแนวทางของเหตุผล ผม.. เป็นศิลปินที่ยากจะคาดเดาจังหวะอารมณ์ เธอ.. มีภาระที่จะต้องดูแลกิจการทางบ้าน ผม.. มีภาระที่จะต้องเลี้ยงดู และ ส่งตัวเองเรียน ..ถึงแม้ว่าผมจะยืนกราน อ้อนวอน วิงวอน ขอร้อง ที่จะฉุดรั้งไม่ให้เธอต้องจากไป หากทว่า เธอ..ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวด้วยเหตุผลอันหนักแน่น เรา.. จะไม่มีวันได้พบกันอีก เธอยื่นดอกหญ้าแห้ง ๆ ที่ผมเคยให้ คืนให้แก่ผม กับรอยน้ำตาบนดวงหน้าอันไร้เดียงสา โลกทั้งโลกหมุนคว้าง.. ผมเดินหอบซากเศษเดนชีวิตที่หลงเหลืออยู่ ค่อยค่อยก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ทีละขั้น แข้งขามันช่างหนักหน่วงเหมือนถ่วงท่อนซุงสักสิบตั้น ช่วงบันไดหนึ่งขั้นมันเหมือนไกลออกไปสักร้อยเมตร ห้องพักชั้นสองที่ดูเหมือนอยู่บนชั้นที่ร้อยที่พัน เดินไปเท่าไรก็ไม่ถึงสักที ผมโยนตัวแล้วซุกหน้าลงใต้หมอน ปล่อยน้ำตาให้มันไหลออกมา ไหลออกมา ไหลออกมา ชีวิตคนเรา.. เกิดมาทำไม..!! .. .. .. ..หลายปีแล้วที่ผมไม่ได้หวลกลับมาเยี่ยมที่แห่งนี้ สนามเด็กเล่นที่ผมเคยได้มาร่วมสร้างเมื่อค่ายครั้งนั้น หายไปเสียแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกรื้อทับด้วย ถนนยางมะตอยที่ตัดเข้าหมู่บ้าน อาคารไม้ชั้นเดียวหลังเก่าที่เธอเคยสอนหนังสือเด็ก ๆ กลายมาเป็นอาคารเรียนถือปูนสองชั้น เรื่องราวของผมและเธอต่างก็ผันผ่านไปนานแล้ว พอกับที่ค่อยค่อยเลือนไปตามกระแสธารแห่งการเวลาที่ไม่เคยไหลย้อน.. ผมเดินไปที่ริมฝั่งน้ำน่านด้านหลังโรงเรียน.. แล้วล้วงหยิบเอาดอกหญ้าแห้งจากย่ามออกมา โปรยดอกหญ้าดอกแรก.. ให้ไหลไปกับสระแสน้ำ ..เธอจะยังจำครั้งที่ผมเคยแอบมองเธอลอดหน้าต่างบานนั้นได้ไหมหนอ โปรยดอกหญ้าดอกที่สอง เธอจะยังจำคืนใต้แสงเทียนที่นี่ได้ไหมหนอ โปรยดอกหญ้าดอกที่สาม เธอจะยังจำทำนองเพลงฝั่งน้ำน่านที่ผมเล่นให้ฟังได้ไหมหนอ หยิบดอกหญ้าดอกที่สี่.. ผมลังเลที่จะโปรยมัน.. จึงเปลี่ยนใจ.. ตั้งใจที่จะเก็บมันไว้เป็นที่ระลึกถึงวันเก่า ๆ.. แต่ผมจำได้ว่า ผมเคยให้ดอกไม้เธอไป ทั้งหมดมันมีอยู่ห้าดอก ..หรือเธอให้มาไม่ครบ ..หรือผมจะทำหล่นหายไประหว่างทาง.. พลันสะดุ้ง.. กับเสียงเรียกของชาวบ้านบนเรือหาปลา ที่กำลังลอยเรือมาเทียบฝั่ง หนุ่มเอ้ย.. เป็นคนต่างบ้านล่ะสิ นี่ก็จวนจะมืดค่ำแล้ว ถ้ายังไม่รีบกลับ แวะไปกินข้าว พักบ้านลุงซักคืนก่อนสิ เดินทางค่ำมืดมันอันตราย.. รีบ ๆ หน่อยแถว ๆ นี้ผีดุซะด้วยสิ ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความหวังดี นี่ก็ค่ำแล้ว รถออกจากหมู่บ้านก็คงจะไม่มี อีกอย่างผมก็เป็นโรคกลัวผีหนักเอาการเสียด้วย ระหว่างที่กินข้าวนั้น.. ลุงแกเล่าว่า.. เมื่อสักสามสี่เดือนก่อน มีผู้หญิงคนนึง ใส่แว่น สูง ๆ ผมยาว ผิวขาว หน้าตาท่าทางเหมือนลูกผู้ดีหน่อย ดูจะมาจากกรุงเทพ เห็นมานั่งร้องห่มร้องไห้ที่ริมคุ้งน้ำที่เองไปยืนเมื่อเย็นนี้ แต่พอวันถัดมา ก็มีคนไปเห็นเป็นศพลอยอืดอยู่ใต้แพปลาไปเสียแล้ว.. น่าเสียดายยังสาวยังนางอยู่แท้ ๆ.. เองพอจะรู้จักเขาบ้างไหมล่ะ.. ..พลันน้ำตาของผมไหลพราก ผมว่า.. ผมเจอดอกหญ้าดอกสุดท้ายแล้ว..!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ฝั่งน้ำเอย.. ฝั่งน้ำน่าน.. ยามตะวันสายันสั่งลา โรยรอนรอนอ่อนแสง.. สีทองพลิ้วอาบทาบทา ธารธาราสะท้อนริ้วทองทิวเขา งาม.. เหมือนมนต์เทพไทสรรค์เอา.. ถิ่นแดนไพร เปลี่ยวค่ำลง.. แว่วเพลงหลงหวลไห้ วอนลมฝากใจล่องไกลสุดดอย ดังกังวานแผ่วผา.. เวิ้งทรายคล้ายคำมั่นคอย คนดงดอยทิวไหนทิ้งใจฝากลม.. พรม.. รักพร่างใสดังแสงดาว เด่นประกาย ฝั่งน้ำเอย.. ฝั่งน้ำน่าน.. ยามจากกันหวิวหวั่นบ่วาย เบนเอียงตามสาดซับ.. ภาพซึมซึ้งซ่านหวานใจ คงมีวันหนึ่งไหนได้ไปเยือนถึง ครวญ.. คะนึง.. ทิ้งทางทอดยาวผ่านเลยลา.
ความจริงบางอย่าง.. เป็นเรื่องที่เราไม่อาจหักห้ามใจที่จะปฏิเสธมัน เราต่างก็มีทางเดินในชีวิตที่แตกต่างกันออกไป กับวันนี้ที่จะต้องหันมาทบทวนความจริง ทบทวนชีวิต และยอมรับ สิ่งที่ไม่อาจก้าวล่วงกลับไปสู่หนทางแก้ไข จึงได้ยอมรับกฎิกาแล้วเดินต่อไป.. เก็บไว้เพียงความทรงจำ เก็บไว้เพียงความระลึกถึง แต่.. ความรักของฉันยังมั่นคงต่อเธอเสมอ แม้วันเวลาจะพรากสองเราจากกันไปแล้ว แต่ฉันก็ยังเชื่อว่า สักวัน.. วันเวลาจะนำพาให้เราหวลกลับมาพบกันอีกครั้ง. ขออุทิศให้แด่เธอ.. ผู้มั่นมั่นคงไม่เสื่อมคลาย.
25 สิงหาคม 2549 16:11 น. - comment id 92337
เศร้าจัง...เรื่องจริงหรือเปล่าเนี๊ยะ...?
27 สิงหาคม 2549 02:06 น. - comment id 92354
หากมีโอกาส.. คงจะมีฉบับเต็มเร็วๆ นี้
27 สิงหาคม 2549 16:18 น. - comment id 92359
...เก็บเอาไว้ในความทรงจำ... กับ...ความเป็นจริง (เป็น) บางอย่าง บอกกันงี้แหล่ะ ร้องเป็นเพลงให้ฟังไม่ไหว เสียงดีผิดมนุษย์มนา กลัวชาวบ้านวิ่งหนีกันหมด อิ อิ
28 กันยายน 2549 16:57 น. - comment id 92861
.. .. อย่างน้อย .. เราก็รักกัน .. ไม่ใช่ฉันรักเธอ .. หรือ เธอรักฉัน .. .. จะรออ่านฉบับเต็มนะ ..