จง คุณเป็นอย่างไรบ้าง ผมรีบก้าวเท้าไปหาเธอ จงจิตรายังคงยิ้ม แม้สรีระภายนอกจะยังอิดโรย หาก กำลังใจอันเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ทำให้เธอไม่เคยโอดครวญ หรือพร่ำบ่นต่อความเจ็บปวดสักคำเดียว ไม่เป็นไรแล้วคะ สำเนียงตอบถึงจะแผ่วเบาก็ฟังจับกระแสความได้หมด คุณดูลูกเถิด นี่ไงคะ ลูกของเรา ผมก้มลงมองร่างหนึ่งซึ่งอยู่เคียงข้างเธอ ฉับพลันก็ต้องยืนตะลึงนิ่งขึงไปในบัดดล กระจ้อยร่อย เล็กเพียงนิดเดียว ลำตัวถ้าวัดตั้งแต่หัวจรดเท้าเห็นจะไม่ถึงศอก ดวงหน้าแทนที่จะสดใสกลับเซียวซีด ซีดราวดอกไม้กลีบเฉา เช่นเดียวกับผิวกายซึ่งแลแทบไม่ปรากฏสีเลือดฝาด หน้าท้องแบนแฟบ ผ่ายผอมเหลือเกิน ผอม และแบบบางจนผมไม่กล้าจะแตะต้อง เพราะเกรงกลัวว่า กระดูกทุกชิ้นจะหักลงทันทีที่ถูกมือสัมผัส นี่หรือลูกของเรา ผมพึมพำเบาๆคล้ายคนละเมอนิ่งงันอยู่ในอิริยาบถเดิมปานต้องมนต์สาป ระหว่างนั้น มีเสียงออกอุทานต่างๆจากญาติๆทั้งหลาย แต่ใครร้องว่าอย่างไรบ้าง ผมไม่สนใจเอาเสียเลย แกเพิ่งคลอด ซ้ำคลอดก่อนกำหนดเสียด้วย ก็เป็นอย่างนี้แหละคะ ผมคิดว่า นั่นคือคำปลอบโยนของคู่ชีวิตซึ่งเธอเก็บงำความหวั่นไหวได้เป็นเยี่ยมเสมอ ผมไม่มีวาจาใดจะโต้ตอบ นอกจากเสียงอันอึงอลวนเวียนกลับไปกลับมาในความคำนึงแต่ประโยคเดียว คือ จะรอดไหม? จะรอดไหม? จะรอดไหม? ดังนั้น เมื่อหมออนุวัฒน์ ผู้ทำคลอดให้จงจิตราเข้ามาเยี่ยมอาการของผู้ป่วย คำถามนี้จึงผ่านจากปากผมสู่เขา คุณหมอยิ้ม ยิ้มอ่อนโยนอบอุ่น พร้อมกับถ้อยคำให้กำลังใจ แหละน้ำเสียงนุ่มนวล รอดแน่นอนครับ พวกเรา ผมหมายถึงหมอทุกคน จะช่วยดูแลเขาเอง ฝากคุณหมอด้วยครับ ช่วยลูกเราด้วย เขาคือความหวังของพวกเราทุกคน ผมวิงวอนเสียงแผ่วต่ำ เพื่อบำรุงสุขภาพของเด็กให้แข็งแรง เจริญเติบโตได้ต่อไป ทางเราขออนุญาต นำเด็กเข้าสู่ตู้อบนะครับ โดยจะมีหมอ มีพญาบาล คอยเฝ้าอยู่ใกล้ชิดทุกระยะ ผมขอยืนยันอีกครั้งครับ ว่าเด็กจะปลอดภัย นับตั้งแต่นั้น เรื่อยมาเป็นเวลาสามเดือน ผมเปรียบโรงพญาบาลเสมือนเรือนพักอาศัย เลิกงานยามใด จะต้องมานอนค้างคืน เฝ้าดูลูกด้วยดวงใจห่วงใยเปี่ยมล้น ธงทิวตัวเล็กๆ อยู่ในตู้อบครบกำหนดแล้ว ทางโรงพญาบาลจึงนำเขาออกมาส่งให้จงจิตราอุ้มประคองอย่างแสนถนอมในอ้อมแขน ลูก ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ เธอขอความเชื่อมั่นจากหมอ สุขภาพสมบูรณ์ครับ หมออนุวัฒน์นั่นแหละ รับประกัน ตอนโตๆ จะอ้วนท้วนเสียด้วยซ้ำ หน้าตาหล่อเหลา ถอดพิมพ์พ่อแม่มาอย่างละเท่าๆกันเลย ชื่อก็เพราะด้วย ธงทิว เมื่อธงทิวกลับมาอยู่บ้านธนานิยม เราก็ต่างช่วยกันประคบประหงมเขาตลอดเวลา ในยามที่ผมกับภรรยาออกไปทำงาน ประยงเป็นคนช่วยเป็นหูตา เอาใจใส่เจ้าตัวน้อย ซึ่งเราเรียกว่า ทิว ด้วยความเอ็นดู ทิวเลี้ยงง่าย กินแล้วก็นอน ไม่ค่อยงอแง (อาจเพราะเอาแต่หลับก็ได้) พ่อแม่กลับจากทำงานก็ตื่นขึ้นมาอ้อแอ้ให้ชื่นฉ่ำจิต ไม่นานก็หลับปุ๋ยไปอีก อันเนื่องจากผมไม่มีเวลาสังเกตลูกนัก จึงไม่อาจค้นพบความผิดปกติของเขา จนกระทั่ง คุณแม่ผมท่านมาเยี่ยมหลานในวันหนึ่ง ท่านออกปากกับผมว่า ธง ลูกเอ็งท่าจะมีอะไรพิกลเสียแล้วหละ ยังไงครับ แม่ อ้าว ท่านออกอุทาน ไม่เคยเอาใจใส่ลูกบ้างหรือ ลูกเอ็งหลับตาตลอดเวลาแม้ในตอนตื่นนอน เท่านั้นยังไม่พอนะ เวลาใครเอาของเล่นมาชูล่อก็ทำเหมือนไม่เห็น เมื่อตอนกลางวันแม่เอามือไปโบกใกล้ๆหน้า ยังไม่ยกมือขึ้นปัดเลย ผมปรารภเรื่องนี้กับจงเธอจึงเผยควาจริงกับผมว่า สังเกตเห็นเหมือนแม่เช่นกัน (ตามวิสัยของเพศหญิงที่มีประสาทสัมผัสละเอียดอ่อน)และก็เฝ้าดูพัฒนาการของลูก พร้อมกับจดบันทึกอยู่เรื่อยๆ เหตุที่ยังไม่บอกผม เพราะต้องการดูลูกให้แน่ใจอีกสักพัก อีกประการหนึ่ง ก็ไม่อยากให้ผมต้องกังวลจนเกินไปนัก กลัวผมจะเคร่งเครียด แล้วก็จะคิดซ้ำๆ คิดญ้ำๆไม่รู้จบตามนิสัยที่เป็นอยู่ประจำ ด้วยความอยากพิสูจน์ ผมลองเล่นกับลูก กลับมาบ้านพร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวโต ตรงไปหาลูกพลางชูตุ๊กตาให้ดู ทิว พ่อกลับมาแล้วลูก ซื้อหมีมาให้อุ้ม นี่ไงละ สวยไม้ ผมชูตุ๊กตาขึ้อีก เปล่า! ลูกไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง ทำคล้ายกับไม่เห็นกระนั้นแหละ ส่งเสียร้องอ้อแอ้ สองมือยกขึ้นกวักไหวๆ คล้ายกับกำลังเล่นกับอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่ผมก็มองไม่เห็นเช่นกัน
21 กรกฎาคม 2549 14:00 น. - comment id 91782
จะคอยติดตาม เป็นกำลังใจนะค่ะ
21 กรกฎาคม 2549 16:32 น. - comment id 91784
เรื่องราวสนุกคะ... เป็นกำลังใจให้นะคะ เขียนต่อไป...
22 กรกฎาคม 2549 10:33 น. - comment id 91802
ครบสามตอนที่แสนตื่นเต้นน่าติดตามค่ะ พี่พุด จักรอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อค่ะ น้องรัก เป็นกำลังใจนะคะ ด้วยรักชื่นชม ศรัทธามากค่ะ พี่พุดไพร
23 กรกฎาคม 2549 21:27 น. - comment id 91834
ค่อยๆ เขียนน่ะค่ะ ยังติดตามอยู่เรื่อยๆ ค่ะ
28 กรกฎาคม 2549 11:38 น. - comment id 91928
ตลกดีไหม เมื่อกี้อ่านตอนที่ ๔ นะ แล้วย้อนกลับมาอ่านตอนที่ ๓ งงตัวเองเหมือนกัน