*อ้อ อ้อ ไอ้อ้อ...* เสียงเพื่อนสาวเรียกมาจากด้านหลัง *อารายยยย * ฉันตื่นจากพะวง ในสายฝน *แกเป็นอะไรของแก* เสียงเพื่อนสาวถามมา *เปล่า คิดอะไรเพลินไปหน่อย* ฉันตอบกลับด้วยอาการเอ๋อหน่อยๆ อ้าว...ฉันเป็นอ้อไปแล้วเหรอ? ฉันสะบัดหัว แรงสุดเท่าที่จะแรงได้ เพื่อจะได้ไม่เป็นอ้อ ตัวละครเรื่องสั้นที่ฉันกำลังคิดพลอตเรื่องอยู่... ฉันหันหน้ากลับมาที่หน้าจอคอมพ์แล้วฉันก็หยุดการเดินเรื่อง เรื่องสั้นไว้แค่นั้นก่อน วันศุกร์แล้วสินะ เอ...สัปดาห์นี้เสาร์-อาทิตย์ เราว่างนี่หว่า....ฉันคุยกับตัวเองไปเรื่อย คงต้องพักซะบ้างแล้วล่ะ ฉันคิดไปเรื่อย วางแผนหากิจกรรมทำในวันหยุด สายตาก็มองไปเห็น น้องน้ำตาลเด็กผู้หญิงวัย 5 ขวบ กำลังคุยกับคุณพ่อเป็นภาพที่น่ารัก... ทำให้ฉันคิดถึง ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ฉันรู้จักเขาดี คนนั้น วันหยุดสัปดาห์นี้ฉันว่างเว้น จากการทำงาน กับการต้องวุ่นวาย และความรับชอบกับชีวิตของตัวเอง... แบกไว้ก็หนักซะเหลือเกินฉันจึงตัดสินใจวางทุกอย่างไว้ แล้วพาตัวกับหัวใจ กลับบ้าน (บ้านนอก นอกจริง ๆ อยู่นอกเมืองประมาณ 20 กว่า ๆ กิโล) นานหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้กลับไปเลย ตั้งแต่แม่จากไป พ่อก็อยู่คนเดียว แต่ฉันคิดว่าเขาคงไม่เหงา เพราะแม่จากไปไม่นานพ่อก็มีคนใหม่ นี่ละมั่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันห่างพ่อไป ฉันไม่ว่าอะไรท่านหรอก ขอเพียงปั้นปลายชีวิตท่านมีเพื่อนเคียงข้าง เพราะท่านอยู่คนเดียวคงไม่ได้ คงจะเหงา ก็ในเมื่อฉันเอง ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนท่านเลย ฉันไม่สนิทกับพ่อเท่าไหร่หรอก ก็จะสนิทกับแม่มากกว่า พอแม่จากไป ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเคว้งคว้าง อยู่พักหนึ่ง เวลาผ่านไปก็ทำใจได้ และยอมรับว่าตัวเองต้องโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว วันนี้ ฉันกลับมาบ้านเงียบจัง พ่อคงไปบ้านโน้น ฉันเก็บของเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเก็บเข้าตู้ ทำความสะอาดบ้านไปเรื่อยๆ สักพักได้ยินเสียงรถเครื่องพ่อมา ดูพ่อคงแปลกใจ ที่เห็นลูกสาวกลับบ้าน เพราะนานหลายเดือนแล้วที่ไม่เจอกัน *มานานแร้วติ* พ่อเอ่ยถามฉัน *ตั้งแต่สาย ๆ แร้วล่ะ* ฉันเอยแบบเรียบตามสำเนียงของเผ่าย้อ *กินเข่ามาละติ* เอ่ยถามอีกครั้ง *กินมาแร้ว*ฉันตอบกลับ ฉันพูดจบพ่อก็เดินไปคอกวัน เอาหญัาให้วัน แล้วนั่งดูวัวในคอก สายตาฉันพ่ออย่างไม่ว่างตา ดูท่านแก่ไปมากแล้ว พอละสายตาจากจุดที่พ่อนั่งฉันก็เดินขึ้นบ้าน ง้วนอยู่กับผ้าห่ม นานมากที่ไม่มาฝุ่นเต็มไปหมดเลย... เช้าตรู่ของอาทิตย์ฉันตามพ่อออกไปทุ่งนา ผืนกว้างงง ตลอดทางไปทุ่งนา มีน้ำค้างลงเต็มไปหมดเลย พระอาทิตย์ไม่ขึ้นเลย อากาศก็ออกจะเย็น ๆ พอสาย ๆ พระอาทิตย์ขึ้นเป็นแสงที่ทอง ๆ ได้สักพัก ก็มีหมอกมาจากไหนไม่รู้ มองไปรอบ ๆ มีแต่หมอกที่ขาว ว้าว...เหมือนอยู่บนสวรรค์เลย ฉันพูดกับตัวเอง จริง ๆ ฉันไม่เคยไปหรอกสวรรค์ แต่ฉันรู้สึกว่ามัน เวิ้งว้าง สบาย ๆ อย่างไง อธิบายไม่ถูก บรรยากาศแบบนี้ที่ฉันไม่ได้สัมผัสมานาน นานมากจริง ๆ ครั้งสุดท้ายคงเป็นตอนจบชั้นป.6 ฝนโปร่ย ลมพัดฝนเรียงเป็นเส้นสวย... ฉันนั่งมองสายฝนจากชานเถียงนาที่ยื่นออกมา สายตาก็มองทุ่งกว้างสีเขียวขจี ยิ่งทำให้เห็นเส้นน้ำเรียงกันเป็นเส้นสาย บางครั้งก็เป็นเหมือนไอน้ำฟุ้งกระจาย ทำให้รู้สึกเย็นฉ่ำหัวใจ แล้วฉันก็ต้องไปสะดุดกับ กลุ่มเด็ก ๆ กำลังง้วนอยู่กับอะไรสักอย่าง จ้อย ลูกชายป้านวล ป้านวลเขามีที่นาติดกับที่นาของพ่อ... จ้อยส่งเสียงเจี้ยวจ้าว กับเพื่อนอีกสองสามคน ดูท่าเขามีความสุขมาก ฉันแอบมองดวงตา ผ่านถึงตาดำของเด็กชายวัย 9 ขวบ แว๊บเดียวก็รู้เลยว่าเขามีความสุข จ้อยกับเพื่อนช่วยกันปักเบ็ดดับล่อกบให้มากินเหยื่อ ทุกคนช่วยกันทะมัดทะแมง ฉันนั่งมองเด็ก ๆ ช่วยกันปักเบ็ดเพื่อล่อกบนา... (ได้เยอะ ๆ แล้วนำไปขายในหมู่บ้าน ได้กิโลตั้ง 60 บาทแน่ะ) ฉันนั่งมองเด็ก ๆ เหมือนมองเห็นภาพตัวเองเมื่อครั้งยังเด็กตัวเล็ก ๆ *อ้ายโย อ้ายโย มาเบิ่งนิเร้ว ๆ * ฉันตะโกนบอกพี่ชายคนโตด้วยอาการตื่นเต้น *หยางงงง มีหยัง* พี่โยรีบวิ่งมาจุดที่ฉันกำลังง้วนอยู่กับเบ็ด ในทันที *โกบ โกบ โต๋ใหย๋แทะ* ฉันตื่นเต้นมาก ที่กบโชคร้ายตัวนั้นติดเบ็ด *เออ ใหย๋อะหลีตั๊วนิ* พี่โยปากก็พูดไปมือก็ปลดเบ็ดออกจากปากกบ จับกบโชคร้ายตัวนั้นหยัดใส่ข้อง แล้วเดินไปปักเบ็ดคันต่อไป.... ฉันเดินตามก้นพี่ชายคนโตต้อย ๆ ตากฝนปร่อย ๆ ปากก็สั่นงับๆ ปากงี้เขียวเชียว แต่ก็ไม่ยอมกลับเถียงนา พี่โยฉันไล่แล้วไล่อีก ให้กลับเพราะฝนตกลมก็พัด หนาวเหน็บสะท้านทรวงจริง ๆ แต่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกหนาวสักนิดเลย ก็คนมันตื่นเต้นที่จะได้เห็นกบติดเบ็ดนี่นา มันสนุกมากจนลืมความหนาวกับสายฝนสายลมที่พัดมา... ฉันเดินเลาะบนคันนา เดินไปเรื่อย ๆ ละอองฝนเกือบจะกลายเป็นไอน้ำ หรือจะคล้ายหมอง ฉันก็อธิบายไม่ถูก มีความสุขดีจัง... *แหลม แหลม* เสียงพ่อเรียกทำฉันสะดุ้งจากห้วงความหลัง *ปะเมือค่ำแล้ว ตะเว็นสิตกดินแล้วปะ* พ่อชวนฉันกลับแล้ว เพิ่ง 4 โมงเย็นเอง ฉันตามก้นพ่อต้อย ๆ พ่อแกอยู่คนเดียวนาน ๆ ฉันจึงจะมาหาทั้งที่ก็ไม่ไกลกันมาก เมื่อว่างเว้นจากงาน ว่างจากวัตถุต่าง ๆ ที่ฉันวิ่งไล่ไข้วคว้าหา ภายในใจลึก ๆ ฉันก็อยากจะใช้วิถีชีวิตอย่างที่พ่อ และบรรพบุรุษของฉันเคยทำมา แต่...ปัจจุบันการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมาก จนฉันไม่สามารถที่จะ ไปใช้ชีวิตอย่างวิถีของพ่อได้ แต่ก็ไม่ใช่ ไม่ได้เลย อาจผสมผสานกันยุคปัจจุบันและอดีต เพราะจะทิ้งเสียเลยก็ไม่ได้.....
13 ตุลาคม 2548 09:08 น. - comment id 87262
น้องมะกรูดจ๋า น้องอ้อจ๋า น้องแหลมจ๋า พี่กานต์อ่านแล้วคิดถึงบ้านจัง คิดถึงทุ่งนา คิดถึงพี่ชายไปล่อเบ็ด คิดถึงสายลมหนาวที่ทำให้ขาแตกเหิบ อิอิ คิดถึงปลาข้อนบ้านเฮาแฮงๆ คิดถึงน้องสาวเมืองสกลนำจ้า
13 ตุลาคม 2548 15:38 น. - comment id 87270
น่ารักดีค่ะ วิถีไทย ทำให้คิดถึงชนบทน่ะค่ะ.. ..
13 ตุลาคม 2548 19:38 น. - comment id 87289
พี่เองก็เคยไปเที่ยวกับพี่ชายเสมอ พี่ชายพี่ก็น่ารัก ตามใจตลอดเลย ส่วนคุณพ่อคุณแม่ พี่อยู่กับท่านไม่เคยห่างสักที คิดถึงน้องมะกรูดนะจ๊ะ
14 ตุลาคม 2548 13:16 น. - comment id 87294
สวัสดีค่ะ พี่กานต์ มะกรูดมีความสุขมากที่ได้กลับไปบ้าน แม้จะเป็นเพียงบางช่วงเวลาที่เล็กน้อยนั้น บางสิ่งเราต้องการจะทำให้ได้ ต้องการจะเป็น ตอ้งการจะไปให้ถึงจุดหมายที่วางไว้... คิดถึงพี่นะคะ สักวันเราคงมีโอกาสได้พบกันนะคะ...
14 ตุลาคม 2548 13:18 น. - comment id 87295
สวัสดีค่ะ คุณกุ้งฯ ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมาย ที่อยู่ในความทรงจำ.. จะเล่าทั้งหมดคงไม่ได้ ชีวิตตอนเด็กเป็นอดีตที่น่าจดจำ เพราะมันเป็นชีวิตที่ไม่ต้องคิดไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพียงแต่ใช้ชีวิตในวัยเด็กให้มีความสุข ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรมาก...
14 ตุลาคม 2548 13:30 น. - comment id 87301
สวัสดีค่ะ พี่หญิงฯ พี่ชายมะกรูดอยู่ที่กรุงเทพฯ กันหมด ซื้อบ้าน อยู่ที่โน้น เขาสร้างครอบครัวอยู่กันที่โน้น เขาคงไม่กลับมาใช้ชีวิตในวิถีชีวิตแบบชาวบ้านอีกแล้ว... พี่หญิงฯ น่ารักมากค่ะ อิจฉาพี่นะคะ ที่ได้อยู่กับท่าน(คุณพ่อ คุณแม่) ได้ปนิบัติ ได้ดูแลใกล้ชิดท่าน...มะกรูดก็อย่างให้เป็นอย่างนั้น.... คิดถึงพี่หญิงฯ เช่นกันคะ เห็นภาพตอนไปเที่ยวกรุงเทพฯ น่ารักดีค่ะ ทำให้อยากเจอตัวจริงเน๊อะ