เย็นวันเสาร์สบายๆ วันหนึ่ง .. เป็นวันที่ฉันหลุดจากความจอแจในสังคมเมือง .. ไปยังบ้านริมน้ำหลังเล็กๆ นอกเมือง .. ปากแม่น้ำเจ้าพระยา .. "จอดรถไว้ตรงนั้นแหละ .. เดี๋ยวค่ำๆ น้ำขึ้น .. " เสียงเจ้าของบ้านตะโกนบอกมาจากในบ้าน .. เสื้อกล้ามสีขาว .. กางเกงขาก๊วยสีน้ำเงิน .. รองเท้ายางสีเขียว .. ชุดสบายๆ ที่สลัดฉันหลุดจากคราบคนเมือง .. ทำให้ฉันดูทะมัดทแมงยามเดินลุยน้ำลอดใต้ถุนบ้าน .. ในมือหอบเสบียงบรรดามี .. หนังไก่ปิ้ง .. ไก่ย่าง .. เมื่อมีกับแกล้มมันก็ต้องคู่กับ .. วิสกี้ .. สำหรับเจ้าของบ้าน .. หลังจากยกมือสวัสดีทักทายทุกคนแล้ว .. ฉันเดินลุยน้ำตามสะพานไม้กระดานเก่าๆ ไปยังท่าน้ำหน้าบ้าน ..
อาทิตย์อุทัยเรื่อเรืองที่ปลายฟ้า ทอแสงอ่อนโรยตัวอยู่เหนือผิวน้ำที่มีกอผักตบชวาลอยล่องอย่างไร้จุดหมายปลายทาง .. ฉันนึกถึงคำว่า .. เศษสวะ .. มันช่างแสดงความดูถูกดูแคลน .. ไร้ค่า .. ไม่เป็นที่ต้องการ .. อย่างได้อารมณ์จริงๆ "ผมนั่งตกปลามาตั้งแต่เที่ยงแล้ว .. ไม่ได้อะไรเลย .. เพราะติดไอ้สวะพวกนี้แหละ.." เด็กน้อยบ่นให้ฟังด้วยความเบื่อหน่ายพร้อมกับใช้ไม้ไผ่ท่อนยาวเขี่ยกอสวะให้พ้นทางเบ็ด เขาไม่ต้องการมันจริงๆ ด้วย .. พยายามผลักไสมันไป .. ไม่รู้มันทำอะไรผิด ฉันเหลือบแลไปเห็นเรือไม้เก่าๆ ลำน้อยจอดลอยเทียบท่าน้ำ ..
"ปลายทางชีวิตคุณจะเป็นยังไง?" ใครบางคนเคยถามคำถามนี้กับฉัน .. เมื่อนานมาแล้วมั้ง .. จำได้ว่าฉันตอบเขาไปว่า .. "หากไร้ซึ่งพันธกิจแห่งชีวิตเมื่อไหร่ .. จะวิ่งเข้าป่าหาผีตองเหลืองหนุ่มหล่อแต่งงานด้วยซักคน .." ฉันยิ้มใหักับถ้อยคำที่ผุดในมโนสำนึก .. "บั้มระวังตกน้ำนะลูก .. " เสียงตะโกนเตือนมาจากบนบ้านปลุกฉันจากภวังค์ ฉันเหลือบแลมองเก้าอี้สีฟ้าใสที่วางอยู่ปลายท่า .. มันทำหน้าที่เป็นที่เกาะรั้งของท่อนไม้ไผ่ที่พ่อคงเอามากั้นกันไม่ให้ลูกชายตกน้ำยามนั่งตกปลา .. ในขณะที่ฉันเห็นเด็กน้อยนั่งถือเบ็ดบนเก้าอี้ตัวนั้นเช่นกัน .. หรืออีกบางทีมันก็ใช้เป็นที่วางเบ็ด .. ยามขี้เกียจถือ ..
เก้าอื้วางเดียวดาย .. ปลายท่า เจ้าอ่อนล้าแรมรอนบ้างไหม? เหน็ดเหนื่อยเมื่อยหนักสักเท่าใด? ถอดใจ .. ใกล้ดับดิ้น .. สิ้นพลัง .. ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมันก็ต้องฟันฝ่ากันไปทั้งนั้น .. จะบ่นไปทำไมมี .. จะขับรถบนท้องถนน .. ก็ต้องฝ่าฝูงรถติด ..
ที่นี่ก็ต้องฝ่าเช่นกัน .. ฝ่ากอสวะ ..
นั่นก็กำลังจะต้องหลุดเข้ามาเพื่อฟันฝ่า ..
ดูเขาใจลอย .. เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง .. คงทอดถอนกับชีวิตกระมัง .. หรืออาจกำลังเหน็ดเหนื่อยกับมันเหลือใจ ชีวิตก็เป็นแบบนี้ .. หากเหนื่อยนักก็พักสักหน่อย .. "ระวังนะคุณ .. ไปยืนแอ็คท่าบนนั้น .. เดี๋ยวตกน้ำ .." เสียงพ่อเจ้าบั้มเตือนฉัน เมื่อเห็นฉันยืนตั้งท่ากดชัตเตอร์บนกระดานไม้ผุเหนือน้ำ .. "ยืนบนคานนะ .. อย่าเหยียบไม้ .. " เสียงสำทับตามมา .. แหม .. นึกยังไงให้ไปยืนบนคาน .. ฉันกำลังดูบ้านหลังนั้นต่างหาก .. บ้านไม้หลังคาสังกะสีผุๆ .. มันพอจะเป็นที่ซุกหัวนอนของฉันยามปลายทางแห่งชีวิตได้ไหมนะ .. ?
ฉันนึกถึงบ้านหลังใหญ่โต .. อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน .. อยู่บ้านแบบไหน .. ชีวิตมันถึงจะสงบสุขนะ? .. เสียงหัวร่อต่อกระซิก ระเบ็งเซ็งแซ่ .. เด็กน้อยเล่นน้ำกันสนุกสนานที่ท่าหน้าวัด .. ฉันยิ้มให้กับภาพที่เห็น .. เด็กน้อย .. ให้ยังไงก็มีความสุข .. ยามทุกข์ที่สุดคือยามไม่ได้วิ่งเล่น .. ยามทุกข์น้อยลงมาหน่อยก็คือ .. ยามไม่มีขนมกิน .. แล้วผู้ใหญ่ล่ะ .. มีความสุขตอนไหน? .. ตอนนั่งมองตัวเลขในบุ๊คแบงค์วิ่งขึ้นเรื่อยๆ .. หรือตอนนอนหลับสนิทปราศจากความฝัน .. สำหรับผู้ใหญ่อย่างฉันน่ะหรอ .. มีความสุขที่สุดก็ตอนนี้ไง .. ตอนที่รอบตัวมีแต่ความสงบและได้นั่งเพ้อฝันเรื่อยเปื่อยไร้สาระ .. มีความสุขชะมัด .. เฮ่อ .. ยังไงซะ .. ก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ที่ต้องทำอยู่ดี .. รีบมีความสุขเสียให้สำลักก็แล้วกัน .. "เฮ้ย .. ได้แล้ว .. " เสียงดังแสดงความดีอกดีใจ .. ฉันเหลียวหลังไปดู .. เจ้าของบ้านกำลังเย่อปลาดุกตัวงาม .. "บอกแล้วเข้ามาตกใต้ถุนบ้านนี่ดีกว่า .. " เสียงดังสำทับมา .. ใครจะคิด .. นั่งตกปลาใต้ถุนบ้านจะได้ปลา .. คนนั่งจับเจ่าเฝ้าคันเบ็ดริมแม่น้ำตั้งแต่เย็นจนจะค่ำ .. ได้แต่ถุงพลาสติก .. แถมยังต้องคอยยกคันเบ็ดหนีเศษสวะอีกตะหาก .. "ย้ายเข้าบ้านเหอะ .. ฟ้าจะมืดแล้ว" เสียงบอกข้างหู .. ฉันมองคุ้งน้ำยามเย็น .. แดดร่มลมตก .. แม้อาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าแล้ว .. แสงสีทองยังคงทอทอดเรื่อเรืองสุดปลายฟ้า .. แม้หากแสงสว่างเรืองรองนั้นจะลาลับดับแล้วจริงๆ .. พรุ่งนี้ .. มันก็ต้องตื่นขึ้นมาสาดแสงสีทองใหม่ ..
สุริยาลับฟ้าลาโลก อย่าเศร้าโศกไปเลยจอมขวัญ แสงสีทองเคยทอทาบอาบชีวัน ต้องมีอันดับลงตรงขอบฟ้า พรุ่งนี้ .. แสงทองแห่งชีวีที่ล้ำค่า จะสาดส่องนำทางอย่างเคยมา แม้นานช้าเพียงไร .. ให้รอคอย .. ย้ายเบ็ดไปวางไว้บนชานบ้าน .. ใต้ชายคา .. เพิ่งรู้เหมือนกัน .. ตกปลากันบนบ้าน .. ระหว่างรอ .. ก็นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระ .. เจ้าของบ้านเล่าให้ฟังว่า .. จะมีการสร้างเขื่อนที่ปากแม่น้ำ .. และบ้านของเขาจะต้องรื้อบางส่วน .. ได้ค่ารื้อถอนเป็นเงินจำนวนหนึ่ง .. ฉันนึกเสียดายกอไม้ไผ่กอโตที่จะต้องถูกรื้อถอนด้วย .. มันคงใช้เวลานานกว่าจะโตได้ขนาดนั้น .. "ยังไม่รู้เลยว่าจะต่อเติมแบบไหน .. บ้านออกมามันจะหน้าตาเป็นยังไง .." เสียงเจ้าของบ้านทอดถอน .. อยู่ดีดีบ้านก็โดนรื้อ .. "คงจะใช้ไม้เก่าที่รื้อนั่นแหละมาต่อเติม .. ไม้ใหม่มันแพง .. ไม่มีปัญญาหรอก .." เขาเล่าต่อ .. หลายคนต่อเติมเปลี่ยนแปลงบ้านใหม่เพราะ .. มันไม่สวย .. หากแต่อีกบางคน .. นั่งกุมขมับคิด .. จะต่อเติมอย่างไรให้อยู่ได้ .. "ปลากินเบ็ดแล้ว" ฉันร้องบอกเพราะนั่งใกล้คันเบ็ดที่สุด .. เขากระโดดตัวลอยข้ามวงข้าว .. เอหรือวงเหล้าหว่า? .. มาคว้าคันเบ็ดอย่างไว .. "โห ตัวบะเริ่มเลย .. " ฉันเห็นปลาดุกตัวเขื่องกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด .. "ตวัดขึ้นไปตากแห้งบนหลังคาเลย .. เดี๋ยวอีกวันสองวันเก็บให้ .. " เสียงเจ้าของบ้านสัพยอก .. เรียกเสียงหัวเราะกันได้ทั้งวง .. เย่อปลากันใต้ชายคา .. บนชานเรือน .. หาจากไหนได้ .. สมคำ .. เมืองไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ .. ในน้ำมีปลา .. ในนามีข้าว .. ดึกมากแล้ว .. ได้เวลาลากลับเสียที .. น้ำขึ้นจนท่วมใต้ถุนบ้าน .. เจ้าของบ้านใจดี .. ให้ฉันลงเรือลำเล็ก .. พร้อมถังใส่ปลาดุกห้าตัวที่ตกได้ .. แล้วเขาเข็นเรือลอดใต้ถุนบ้าน .. ไปส่งถึงประตูรถ .. "ขอบคุณค่ะ .. วันนี้สนุกมากเลยค่ะ .. กลับก่อนนะคะ .." ฉันยกมือไหว้ขอบคุณ .. "คราวหน้าถ้าจะมา .. โทรมาบอกเนิ่นๆ นะ .. จะได้หาของไว้ให้กิน .." เสียงเจ้าของบ้าน .. บอกด้วยความใจดี .. ฉันก้าวขึ้นรถ .. แหงนหน้ามองฟ้า .. ฟ้าคืนนี้ไม่มีเมฆ .. ไร้ดาว .. มีแต่ดวงจันทร์กลมโตส่องสว่าง ..
แม้ไร้ดวงตะวัน .. หากดวงจันทร์ยังคงส่องแสง เพิ่มเติมเสริมต่อเรี่ยวแรง ยามพลังเหือดแห้งราโรย .. ฉันจ้องมองดวงจันทร์ .. นึกถึงเพลงกระต่ายหมายจันทร์ .. ที่เปรียบหญิงสาวสูงศักดิ์เป็นดวงจันทร์ที่ชายต่ำต้อยเอื้อมเพียงใดก็ไม่ถึง .. นึกสงสัย .. จันทร์นั้นงามจริงหรือ .. ยามไร้ดวงดาวทอแสง .. ยามไร้เมฆาเติมแต่ง .. ดวงจันทร์นั้นก็เป็นเพียงดวงไฟดวงเดียว .. หากแต่สำคัญตรงที่ว่า .. ตอนนี้มีเพียงมันที่ทอแสงสาดส่องกลางนภา .. ในเวลาค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ .. ความสวยงามให้คุณค่าแก่เพียงดวงตาอย่างเดียว .. หากแต่แสงสว่างแห่งมันเท่านั้น .. ที่ทอทาบอาบหัวใจ .. ขอบคุณวันดีดีริมน้ำเจ้าพระยา ..
28 กันยายน 2548 12:05 น. - comment id 86932
คุณ กี้ฯ มะกรูดชอบจังค่ะ ริมน้ำ ลมเย็น ๆ สายน้ำที่กำลังไป... เมื่อเรานั่งอยู่ริมน้ำ จะรู้สึกสดชื่น เย็นสบายอย่างบอกไม่ถูกเลย...
28 กันยายน 2548 13:05 น. - comment id 86934
พี่พุดละเมียดอ่านงานละมุนนี้ ด้วยดวงใจหอมกรุ่นแสนรักค่ะ และ คนดีช่างรจางามนักค่ะ สอนธรรมชาติชีวิตพร้อมกันไปด้วย พีพุดคงต้งอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าค่ะ น้องกี้รจนาแบบนี้บอ่ยๆนะคะน้องน้อยน้องรัก พี่พุดจะรอตามติดค่ะ ด้วยรักชื่นชมและแสนชื่นฉ่ำใจ ราวลงเรือตามไปด้วยแล้วค่ะคนดี รักน้องนะ
28 กันยายน 2548 13:08 น. - comment id 86935
พี่พุดหวังน้องน้อยจะรักบทเพลงนี้นะคะ ที่ฝากหอมในหัวเสียเหลือแล้วค่ะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5.html เรือนแพ ...ชรินทร์ นันทนาคร เรือน แพ สุขจริง อิงกระแสธารา หริ่งระงม ลมพริ้วมา กล่อมพฤกษา ดังว่า ดนตรี หลับอยู่ใน ความรัก และความชื่น ชั่ววัน และคืนเช่นนี้ กลิ่นดอกไม้ รัญจวน ยังอบอวน ยวนยี สุดที่จะ พรรณา เรือน แพ ล่องลอย คอยความรักนานมา คอยน้ำค้าง กรุณา หยาดมา จากธารา แหล่งสวรรค์ วิมานน้อย ลอยริมฝั่ง ถึงอ้างว้าง เหลือใจรำพัน หิวหรืออิ่ม ก็ยิ้มพอกัน ชีวิต กลางน้ำสุขสันต์ โอ้สวรรค์ ใน เรือน แพ...
28 กันยายน 2548 13:13 น. - comment id 86936
พี่พุดหวังน้องน้อยจะรักบทเพลงนี้นะคะ ที่ฝากหอมในหัวใจเสียเหลือแล้วค่ะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5.html เรือนแพ ...ชรินทร์ นันทนาคร เรือน แพ สุขจริง อิงกระแสธารา หริ่งระงม ลมพริ้วมา กล่อมพฤกษา ดังว่า ดนตรี หลับอยู่ใน ความรัก และความชื่น ชั่ววัน และคืนเช่นนี้ กลิ่นดอกไม้ รัญจวน ยังอบอวน ยวนยี สุดที่จะ พรรณา เรือน แพ ล่องลอย คอยความรักนานมา คอยน้ำค้าง กรุณา หยาดมา จากธารา แหล่งสวรรค์ วิมานน้อย ลอยริมฝั่ง ถึงอ้างว้าง เหลือใจรำพัน หิวหรืออิ่ม ก็ยิ้มพอกัน ชีวิต กลางน้ำสุขสันต์ โอ้สวรรค์ ใน เรือน แพ...
29 กันยายน 2548 06:12 น. - comment id 86949
ือืมม.. อ่านแล้วนึกถึงตอนเด็ก ตอนเด็ก..มีบ้านอยู่ริมน้ำเหมือนกัน จริงๆคืออยู่แพ ลอยอยู่ในน้ำเลย แพที่อยู่ อยู่ที่แม่น้ำสะแกกรังไม่ใช่เจ้าพระยา ตอนนั้น..ยังเด็ก..ชอบตกปลาเป็นชีวิตจิตใจ(เดี๋ยวนี้ก็ยังคงชอบ แต่ไม่มีโอกาส) ตื่นเช้ามา แปรงฟันลวกๆก็คว้าเบ็ดมาหย่อนแล้ว ตั้งแต่ฟ้ายังไม่แจ้งดี ทุ่นที่มองเห็นบนผิวน้ำยังลางๆไม่ชัด จนแม่ต้องทัก บอก..ปลามันยังไม่ตื่นหรอกลูก ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือ ปิดเทอมก็นั่งตกมันอยู่อย่างนั้นทั้งวันจนมืดจนค่ำ จนลูกทุ่นที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ จมหายไปกับความมืดอีกคน จนแม่ต้องส่งเสียงเตือนมาอีกครั้ง.. ว่าปลามันนอนหลับหมดแล้วลูก.. เดี๋ยวนี้ ไม่ได้อยู่แพแล้ว จะมีโอกาสก็ปักเบ็ดที่ท้องนาร้างข้างบ้านเท่านั้น ซึ่งก็ไม่บ่อยนัก ต่อไปก็คงไม่ได้ปัก เพราะที่นาถูกถมปลูกบ้านหมด ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเวลาหนึ่งของการตกปลา คือการนั่งถือเบ็ด มองทอดออกไปข้างหน้าเงียบๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยบนความสงบของผิวน้ำ ขณะตาหนึ่งก็คอยแตะอยู่ที่ทุ่น สังเกตการเปลี่ยนแปลงไหวขยับแม้แต่เพียงเล็กน้อย เหมือนปล่อยใจให้ล่องลอย แต่ไม่หลุด เป็นหนึ่งในไม่กี่การรอคอยที่งดงามในตัวมันเองพอๆกับผลของการรอคอยที่จะได้รับ.. -------------------------------------------------- เสียงปลาช่อนฮุบน้ำดังโผงโผง นั่งมองฟ้าลากดาวโยงเป็นลูกไก่ หย่อนเบ็ดหวังเกี่ยวปลาหรือเกี่ยวใจ เจ้าตาหวานฝันถึงใคร ก็ไม่รู้ .. --------------------------------------------------- วันนี้..มาทำบ้านคุณรกบ้างแล้วหละ
29 กันยายน 2548 08:29 น. - comment id 86951
เขาสอนตกปลา .. และคอยกำชับให้สังเกตทุ่น และสายเบ็ด เสียงขรึม ทำให้เราต้องใจจดใจจ่อกับสิ่งที่ได้รับมอบหมาย พอรู้สึกว่า ปลากินเบ็ด ก็จะยกเบ็ดขึ้นมาดู ดูทีไร เหลือแต่เบ็ด เหยื่อก็พลอยเกลี้ยงไปด้วย คนสอนตกปลาไม่เบื่อที่จะเกี่ยวเหยื่อให้ใหม่ ทำให้เราไม่กล้าบ่น ชักจะเมื่อยตาแฮะ การที่จ้องอะไรนาน ๆ มีเวลาให้คิดอะไรบางอย่าง มันก็ดีอยู่หรอก .. แต่ทว่า ง่วงน่ะ นึกสงสารเจ้าปลาตัวน้อยเหมือนกัน ที่มาติดเบ็ด ไม่น่าเล้ย ... ดันมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ ชะตาก็เลยขาด.. สงสัยว่าจะตกปลาได้ตัวเดียวมั๊งในชีวิต คราวโน้นนนนน คราวที่ยืนมองฟ้า ตาจับจ้องอยู่ที่ดาวไถ .. ดาวไถ อืม เขาบอกว่างั้น พยายามมองให้เป็นรูปคันไถ มองจนไม่ทันสังเกตว่าปลาติดเบ็ด ถึงรู้ก็เหอะ ทำอะไรก็ไม่เป็น ได้แต่เย่อ รอ .. จะตวัดก็ไม่กล้า กลัวปลามันหล่นปุ๊ตรงหัวเรา สนุกตรงไหนนะ ตกปลา .. ยังไม่รู้เลย
29 กันยายน 2548 09:48 น. - comment id 86953
คุณแมงกุ๊ดจี่ .. มันเย็นสบายจริงๆ อย่างที่คุณว่าเสียด้วย .. กีกี้บอกความลับให้เอาไหม? .. บอกแล้วอย่าบอกให้ใครรู้นา .. รู้แค่กีกี้กะคุณสองคน .. .. คือว่า .. กีกี้ว่ายน้ำมะเป็น .. แหะ แหะ .. คุณพี่พุดไพร .. ขอบคุณค่ะ พี่พุด .. มันเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้นเองค่ะ .. ตอนอยู่ที่นั่น .. กี้นั่งมองน้ำ .. คิดอะไรเรื่อยเปื่อย .. มือกดชัตเตอร์ไปเรื่อย .. พอมานั่งดูรูปแล้ว .. ให้นึกถึงบรรยากาศ .. ความรู้สึก .. และสิ่งที่เพ้อฝันไร้สาระตอนนั่งอยู่ริมน้ำที่นั่น .. เลยเขียนมันออกมาเท่านั้นเองค่ะ .. ไม่ได้จะคิดจะสอนธรรมชาติชีวิต .. หากคิดจะสอน .. คงต้องสอนตัวเองก่อนซะล่ะมั้งคะ .. .. ดีใจจังค่ะ ที่พี่พุดชอบ .. .. ขอบคุณสำหรับเพลงค่ะ .. แม้กี้จะเกิดไม่ทัน .. แต่เคยฟัง .. หวานเน๊อะ .. คุณหมอกจาง .. ไม่มีเรื่องหวานๆ มาปลอบโยน .. เพราะมัวแต่นั่งกลัวเหมือนกัน .. เขียนเรื่องหวานๆ ไม่ออก .. เอาเป็นเรื่องสบายๆ แล้วกันนะคะ .. .. เสียงปลาดุกดุ๊กดิกดีดดิ้น .. .. ยามมันกินเหยื่อปลายเบ็ดเจ้าเข็ดไหม? .. .. อยากซุกซนแอบงับโดนจับไป .. .. จำเอาไว้อย่าซี้ซั้วมั่วมากิน .. .. .. กี้ก้อมั่วมาเขียนเหมือนกัน .. คุณอัลมิตรา .. โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่มีคนสอนให้ตกปลา .. กีกี้เลยนั่งมองฟ้ารอเวลาอาหารซะดีกว่า .. ไม่เหนื่อย .. แต่อิ่มท้อง .. ไม่รู้สนุกหรือป่าว? .. แต่การตกปลาคงทำให้คนเราใจเย็นขึ้นมั้งคะ .. .. อดทน .. รอผลการกระทำ .. ว่าจะได้หรือไม่ได้ .. .. หากได้แล้ว .. จะสามารถดึงมันมาไว้กับเราได้หรือไม่ .. หากใจร้อนรีบตวัดยังไม่เย่อ .. มันก้อหลุด .. ทุกอย่างอยู่ที่ใจ .. .. นิ่งสงบสยบทุกสิ่ง .. ไม่ให้ความตื่นเต้นดีใจ .. ทำให้เสียการ .. อีกตอนนั่งรอเวลา .. คงมีโอกาสได้ทบทวนเรื่องราว .. ขบคิด .. ทบทวน .. ในหลากเรื่องราว .. หรือหากไปตกปลากะคนรู้ใจ .. คงได้แลกเปลี่ยน .. ผ่อนคลาย .. คุยกันในเรื่องมีสาระ ไร้สาระมั่ง .. .. มันคงปลดปล่อยเรื่องไม่สบายใจไปได้บ้าง .. .. สรุปแล้ว .. สุดท้าย .. ที่กีกี้พูดมาเนี่ย .. .. ก็ไม่รู้เหมือนกัน .. ตกปลามันสนุกตรงไหน? ..
12 มีนาคม 2549 02:06 น. - comment id 90014
She\'s my best friend 555 หนูเพื่อนกีกี้ค่า มันเก่งอะ แต่น่าเสียดาย ความดีมากกว่า