+++ChiNa VoL iii+++
ardin
วันที่ 14
เช้าวันนี้เรา Morning call กัน 6 โมงเช้าเพื่อลงมาทานอาหารและเตรียมขนย้ายกระเป๋า เอ้อ การเดินทางทริปนี้เราจะต้องเปลี่ยนโรงแรมกันทุกๆวัน ดังนั้นกลับมาถึงผมจึงมีของฝาก ของที่ระลึกจากโรงแรมต่างๆมากไปสักหน่อย เวลา 8 โมงเศษ เราก็ขึ้นรถเดินทางออกจากเมืองซูโจว เพื่อไปยังเมืองหังโจว เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์บนโลกมนุษย์ เพราะพร้อมด้วยบรรยากาศสถานที่ที่สวยงาม อาหารอร่อย และสาวสวย ที่แรกของวันนี้เราจะไปชิมชาดอกไม้กัน ก็เหมือนทั่วไปคือ ทางสถานที่จะนำพวกนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ไปยังห้องเพื่อแนะนำสินค้า ทดลองชิม และใครถูกใจก็ซื้อหากันได้ตรงนั้น ส่วนผมไม่ซื้อ ไม่เสียตังค์สักอย่าง ใช่ว่าผมจะขี้เหนียวนะ ก็ไม่มีอะไรถูกใจ ผมก็ไม่ซื้อ ผมไม่ผิดนะครับ ชาดอกไม้ที่ได้ชิมกันไป ก็คือ เก๊กฮวย บ้านเรานี่แหละครับ แต่รู้สึกว่าเขาจะใช้ดอกเก๊กฮวยขาว มาต้มชงแบบน้ำชาคือมีกากของดอกเหลืออยู่ด้วย ไม่ได้นำมากรองออกก่อนแบบเก๊กฮวยที่ขายตามบ้านเรา ซึ่งดอกที่เหลืออยู่นั้นก็สามารถทานได้เช่นกัน หลังจากชิมเรียบร้อยผมก็เดินทะลุมาอีกห้องหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ เป็นที่ขายขนม มีตั้งแต่ลูกอม ขนมห่อๆ น้ำ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ก็คล้ายกับซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆนี่แหละ เดินออกไปอีกจะเป็นคล้ายๆตลาดขายของสด ซึ่งจะส่งกลิ่นแรงอยู่ไม่น้อย ผมซึ่งไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร เลยขอหลบไปรออยู่บนรถก่อนละกัน หลังจากพวกเรากลับขึ้นรถกันเรียบร้อยก็ออกรถมุ่งหน้าไปทานอาหารเที่ยงกัน ซึ่งทัวร์ลีดเดอร์ของเราได้แจ้งว่าจะต้องรีบทำเวลาเพราะจองเรือที่จะล่องทะเลสาปซีหูไว้ในเวลาบ่ายโมง ถ้าเราไปไม่ทันจะตกเรือและคนจะเยอะมากๆ เพราะช่วงนี้ก็เป็นไฮล์ซีซั่นของเมืองหังโจว เพราะถือเป็นช่วงที่อากาศกำลังดีเข้าฤดูใบไม้ร่วง เมืองหังโจวนี่เวลาเข้าหน้าร้อนก็จะร้อนมากๆอุณหภูมิทะยานเกิน 40 องศาเซลเซียส ส่วนถ้าหนาวก็จะหนาวสุดๆแบบถึงขั้นติดลบเลยทีเดียว ถือว่าโชคดีที่เรามาเที่ยวกันในช่วงที่เรียกว่าอากาศดีที่สุดของหังโจว หลังจากรับประทานกันเสร็จ ก็ได้พบกับไกด์ท้องถิ่นของเมืองนี้ ซึ่งที่นี่จำเป็นต้องมีไกด์ท้องถิ่นไปกับเราด้วย คาดว่าคงเป็นการเพิ่มอาชีพให้กับท้องถิ่นด้วย และใครก็คงไม่รู้ประวัติสถานที่ต่างๆ ดีเท่าท้องถิ่นประจำตัวเอง ไกด์ของเราเป็นสาวสวย ดูอวบอิ่มสมบูรณ์ ซึ่งเจ้าตัวก็ยังแซวว่า อย่าผิดหวังนะ ถ้ามาเมืองหังโจวทำไมไม่เจอสาวสวย แต่เป็นสาวอ้วนไปได้ อิอิ อันนี้เรียกว่าผมไม่ได้ว่านะ เล่ามาให้ฟังกันอีกที จากแผนที่วางไว้สงสัยว่าต้องผิดแผนไปสักหน่อยเมื่อทางเรือที่จองไว้โทรมาเลื่อนเวลาเนื่องจากคนเยอะมากๆ ทำให้ทัวร์ลีดเดอร์ของเราตัดสินใจพาไปยัง วัดจินฉือ
วัดจินฉือหรือที่เรียกว่าวัดจี้กงก่อน ภายในวัดมีพื้นที่กว้างขวางมากดูร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ เมื่อเดินเข้าไป ทางด้านขวามือจะเป็นศาลเจ้าหลังหนึ่ง เราจะได้เข้าไปดูระฆังที่ใหญ่มาก ซึ่งอยู่ชั้นสองของศาลเจ้า เมื่อขึ้นไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ออกมาโล้งเล้งไม่ให้เราถ่ายภาพ หรือแม้แต่สัมผัสระฆังนี้ ผมก็นึกว่าคงศักดิ์สิทธิ์และเคารพกันมาก ดูเป็นของหวงห้าม ไกด์ก็แนะนำประวัติ ว่าถ้าได้ตีระฆังใบนี้จะทำให้เรื่องทุกข์ หายไปได้ หลังจากฟังบรรยายจบ ทางเจ้าหน้าที่ก็ลุกมาตีระฆังให้ดู เสียงสะท้อนดังไกลมากๆ แล้วที่นี้ก็เริ่มขายของแล้วครับ จากของที่เราคิดว่าศักดิ์สิทธิ์จับต้องไปไม่ได้ เปลี่ยนมาเป็น จ่าย10 หยวน จะได้ขึ้นไปตีระฆัง 1 ที แล้วก็แอ็คท่าถ่ายรูปได้แล้ว โธ่ ที่แท้คุณพี่จะเอาเงินก่อนนี่เอง มาถึงถึงได้ห้ามทุกอย่างซะน่ากลัวเชียว ผมก็เลยได้เก็บภาพระฆังศักดิ์สิทธิ์ใบนี้มาได้ด้วยเหตุฉะนี้แล ผมออกมาเดินชมบริเวณรอบๆวัด มีแท่นหินสลักอักษรจีนสูงใหญ่ตั้งอยู่ ส่วนด้านหน้าวิหารใหญ่ก็มีเก๋งจีนลักษณะอย่างเดียวกันให้โยนเหรียญใส่ช่อง ผมแวะเข้าไปไหว้พระองค์ประธาน ในวิหารใหญ่ ทะลุไปข้างหลังยังมีบันไดขึ้นไปอีกศาลเจ้าหนึ่ง เมื่อถ่ายรูปเป็นที่เรียบร้อยก็เดินกลับออกมาทางเก่า เพื่อไปขึ้นรถมุ่งหน้าไป ไร่ชาหลงจิ่ง ซึ่งเป็นชาเขียวที่มีชื่อของเมือง ปลูกกันเป็นไร่ๆกว้างใหญ่มากๆ เป็นของรัฐบาลจีน ปลูกเป็นเนินเขาขั้นบันได สวยงาม มีคนงานเดินเก็บยอดอ่อนของใบชาเต็มไปหมด ก่อนอื่นเราไปดูใบชาที่เขาเก็บมา เขาจะเลือกเก็บเฉพาะยอดอ่อนของใบชา แล้วจะนำมาผัดในกระทะร้อนๆด้วยมือเปล่า พลิกใบชากลับไปกลับมา โดยต้องมีการควบคุมอุณหภูมิให้ดี อยู่ประมาณ 80 องศาเซลเซียส แค่ผมยืนอยู่ข้างๆกระทะก็รู้สึกถึงไอร้อนแล้วครับ ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยมือตัวเองก็ได้ หลังจากนั้นเราก็เข้าไปยังด้านในอาคารที่สร้างสไตล์บ้านจีนโบราณ ซึ่งมีรูปถ่ายครั้งสมเด็จพระเทพฯ เราเยือนเสด็จที่แห่งนี้ด้วย เมื่อเข้าไปในห้องเจ้าหน้าที่ก็รินน้ำลงในแก้งที่มีใบชาอยู่ ในสัดส่วน 1 ใน 4 ของแก้ว แล้วส่งมาแจกจ่ายกันครบ ชาที่รินมาครั้งแรกนี้เขาไม่ได้ให้เราดื่มนะครับ ไม่ใช่เขาจะใจจืดใจดำให้เราชิมแค่นี้ แต่แก้วนี้เขาจะให้เราดมกลิ่นของใบชา ว่าหอมขนาดไหน หลังจากนั้นเขาจะเดินมารินน้ำให้เรา 3 ยก เหมือนนกผงกหัว 3 ครั้งก็จะเต็มแก้วพอดี เขาก็เริ่มบรรยายถึงสรรพคุณของชาเขียว ซึ่งผมก็คิดว่าเหมือนๆกับ ชาเขียวหลายๆยี่ห้อ ที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่นบ้านเราอยู่ในขณะนี้แหละครับ ทั้งช่วยป้องกันมะเร็ง ลดระดับน้ำตาลช่วยควบคุมโรคเบาหวาน ช่วยลดไขมัน อ้อ ที่แถมมาด้วยก็คือ เมื่อเรารินน้ำชาใหม่ๆเต็มแก้วแล้วให้ใช้มือปิดปากแก้วครึ่งหนึ่ง แล้วก้มหน้าให้ลูกตาไปใกล้ รับไอร้อนของชา เขาว่าจะช่วยรักษาตาให้สดใส แถมด้วยเมื่อทานชาหมด อืมที่นี่ไม่เรียกว่าดื่มชานะครับ เขาจะเรียกว่า กินชา เพราะใบชาของเขาสามารถเคี้ยวกลืนไปได้ด้วย กากชาที่เหลือให้นำไปผสมไข่ขาว มาพอกหน้ารักษาผิวพรรณได้อีกต่างหาก ส่วนผมไม่ขอลองดีกว่าใช้แค่ครีมบำรุงบ้าง ครีมกันแดดบ้าง ก็มากมายเหลือเกินแล้วครับ ใบชาที่ขายที่นี่มี 4 เกรด คือเกรดเอ บี ซี และมีแบบเกรดดับเบิ้ลเอ คือเป็นแบบที่สมเด็จพระเทพฯ ของเราทรงดื่มอยู่ ราคาก็ต่างกัน รู้สึกว่าแบบที่ได้รับการนิยมซื้อกันคือ เกรดเอ นี่ตกกระป๋องละ 200 หยวน อ้อ ที่นี่เขาไม่มีตาชั่งมาตวงวัดใบชากันหรอกนะครับ เขาใช้วิธีการวัดโดยการยัด ใส่เท่าไหร่ก็ได้เท่าที่กระป๋องจะรับไหว ยินดีให้เราใส่เองด้วยต่างหาก แต่เท่าที่ผมดูให้เจ้าหน้าที่เขาใส่นั้นแหละดีแล้ว เขากรอกใบชาลงไปพูนๆ พร้อมกระทุ้งแบบไม่บันยะบันยัง ทำซ้ำๆอย่างนี้อยู่หลายรอบ ซึ่งคงอัดจนไม่มีอากาศหรือช่องว่างในกระป๋องนั้นเลย เราคงไม่สามารถยัดได้มากเท่าเขาแล้วละครับ ปล่อยให้มืออาชีพจัดการไปเถอะครับ ออกจากห้องชิมชา ก็เดินมาทางออก ซึ่งทางออกที่นี่เขาสร้างไว้ให้เราเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกต่างๆมากมาย มีทั้งขนมที่ทำจากชาเขียว ยังไปถึงพวงกุญแจ ที่คั่นหนังสือ เสื้อผ้า กระเป๋า หนังสือ สร้อยคอ กาชงชา และยังของอีกต่างๆนานา ซึ่งก่อนจะถึงทางออกเราจำเป็นต้องได้ดูทุกร้านจริงๆ เรารีบเดินทางต่อไปยังทะเลสาปซีหู
ทะเลสาปซีหู ซึ่งเป็นทะเลสาปธรรมชาติและมีการขุดเพิ่มเติมด้วย มีขนาดใหญ่มากๆ เรามาถึงทันเวลาลงเรือพอดี ประมาณ 4 โมงเย็น แดดร่มลมตกอาทิตย์คล้อย เราลงเรือขับเครื่องยนต์ ไม่ใหญ่มากจุประมาณ 40 คน มีด้านท้ายเรือเปิดโล่งให้ได้ออกไปชมธรรมชาติ
บรรยากาศรอบๆ เป็นต้นหลิวสีเขียว แสมด้วยดอกท้อสีชมพู มีภูเขาโอบล้อมเกือบทุกๆด้าน ไกด์ท้องถิ่นก็ทำหน้าที่บรรยายประวัติความเป็นมา และตำนานต่างๆที่เรารู้จักกันดีก็คือ นางพญางูขาว ที่โดนขังอยู่ในเจดีย์เหลยเฟิง ที่ตั้งอยู่บนเกาะในทะเลสาปนี้ เกาะหนึ่งที่เราผ่านไกด์แนะนำว่าคือเกาะกูซานหรือเกาะเดียวดาย บนเกาะมีสะพานโค้ง ที่เชื่อว่าถ้าคู่รักเดินจูงมือข้ามสะพานกันไปจะทำให้อยู่ด้วยกันยืนยาว
ภายในเกาะยังมีพิพิธภัณฑ์มณฑลเจ๋อเจียง ซึ่งเป็นมณฑลที่ตั้งของเมืองหังโจว มีเก๋งจีนที่เอาไว้ชมจันทร์ ในคืนวันไหว้พระจันทร์ เกาะใหญ่อีกเกาะ คือเกาะที่ทางด้านใต้ของเกาะจะมี เจดีย์ลอยกลางน้ำ 3 เจดีย์ ขนาดไม่ใหญ่มาก เหมือนโคมที่จะมีช่อง แต่ละโคมมี 5 ช่อง โดยรอบ ซึ่งในวันไหว้พระจันทร์ จะมีการจุดเทียนภายในช่องเหล่านี้ ทำให้แสงไฟสะท้อนเงาของพระจันทร์ในน้ำ สวยงาม เราใช้เวลาล่องเรืออยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงขึ้นมาเดินชมบรรยากาศบนเกาะ ซึ่งยอมรับแล้วว่าคนเยอะจริง อีกทั้งรถจักรยานที่ปั่นกันแบบที่คนเดินต้องรีบหลบ ไม่งั้นได้เสยแน่ๆ ออกมาจากทะเลสาปซีหู เราก็เดินทางไปทานอาหารเย็น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคืนนี้ ที่เราจะไปยังเมืองจำลองซ่ง เพื่อดูโชว์กัน
บรรยากาศภายนอกเมืองจำลองซ่ง จัดเป็นกำแพงเมืองที่มีไฟประดับ ค่ำคืนของที่นี่ อากาศลมหนาวใช่ได้เลยละ ต้องรีบหาแจ็คเก็ตมาสวม โชว์จะเริ่มเวลา 2 ทุ่ม ก่อนหน้านั้นเรามีเวลาสำหรับเดินดูบรรยากาศรอบๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นร้านขายของที่ระลึกพวกพวงกุญแจ ตุ๊กตา ตราประทับ หรือร้านถ่ายรูปที่จะให้เราได้แต่งตัวเป็นฮ่องเต้ เป็นฮองเฮากันด้วย พร้อมกับการถ่ายภาพร่วมกับม้าและอูฐ ยังมีพวกร้านขายอาหารหมี่ผัด สลัด ซึ่งแต่ละร้านจะจัดเป็นคล้ายๆซุ้มขายของติดๆกันเป็นแถวยาวๆ คล้ายๆงานวัดบ้านเรา นอกจากนี้ยังมีบางจุดจัดแสดงถึงวิถีชีวิตของคนจีนด้วย มีช่างตีมีด ตีเหล็ก เชิดตัวละคร พิธีแต่งงานแบบจีน ผมเดินมาเรื่อยจนถึงป้อมหนึ่ง ที่มีบันไดให้ขึ้นไปดูด้านบนได้ เมื่อขึ้นไปถึงก็เหนื่อยพอสมควร พบว่าอาคารภายในก็เป็นที่นั่งจิบชา กาแฟ รวมถึงเล่นไพ่นกกระจอกด้วย ดูเป็นมุมสงบบนที่สูงหลีกหนีความวุ่นวายด้านล่าง ผมเดินออกไปดูรอบๆ จะเห็นบรรยากาศโดยรอบของเมืองจำลองซ่ง จากมุมสูงเห็นความสวยงามไปอีกแบบ ใกล้เวลาแสดงแล้วผมออกมารอตรงจุดนัด ก็ได้เห็นอีกธุรกิจหนึ่ง คือ การตัดภาพเงาจากหน้าด้านข้างของเรา เขาจะให้เรายืนหันข้างนิ่งๆ แล้วเขาก็จะนำกระดาษคล้ายๆกระดาษฟิล์มสีดำ กับกรรไกร มายืนเล็งมองแล้วก็ลงมือตัดกระดาษตามรูปหน้าด้านข้างของเราใช้เวลาไม่นาน สัก 10 นาทีก็สำเร็จออกมา เอาไปแปะกับกรอบก็เรียบร้อย เป็นเหมือนภาพถ่าย ขนาดประมาณโปสการ์ดได้ ราคาอยู่ประมาณ 5 หยวน ซึ่งเป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวมากมาย ได้เวลาเข้าไปดูโชว์ด้านในโรงละคร
เขาจะแบ่งโชว์เป็นฉากๆ มีทั้งฉากยิ่งใหญ่ในวังฮ่องเต้ มีการแสดงออกมาฟ้อนรำ และ ระบำหน้าท้อง รวมถึงโชว์กายกรรมน่าหวาดเสียว ทั้งต่อตัว กระโดดเกาะเสาสลับไปมา หรือใช้ผ้าคล้องแล้วเหวี่ยง เวทีของเขามีการเคลื่อนที่ เปิดเขาออกเพื่อทำเป็นน้ำตก น้ำพุได้สารพัด ที่นั่งผู้ชมด้านหน้าก็เลื่อนไปมาได้ และยังมีฉากต่อสู้ สงครามแบบจีนที่ขี่ม้า ยิงปืนใหญ่ หรือการใช้พลอง ใช้กระบี่ฟาดฟัน รวมถึงมีการเล่าถึงตำนานนางพญางูขาวด้วย แสงสีเสียงอลังการ ใช้เลเซอร์ในการทำฉากต่างๆให้ดูเหมือนเหาะเหินได้จริง
ฉากสุดท้ายเป็นการแสดงชุดนานาชาติรวมการแสดงชุดประจำชาติต่าง ทั้งจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ฝรั่งเศส ผมนั่งดูก็ยังคิดว่าสักวันคงจะได้เห็นรำไทย หรือการแสดงของชาติไทยอยู่ในนั้นบ้าง ผมจะรู้สึกภูมิใจมากที่เขายังเห็นคุณค่าของไทยเราเช่นกัน และเท่าที่ผมนั่งดูโชว์ เกือบครึ่งผมว่าเป็นคนไทยทั้งนั้นแหละ ผมว่าต้องมีสักคนที่คิดเหมือนผม หลังจากจบก็ได้เวลากลับไปพักผ่อนกันสักที ใช้เวลาเดินทางไปยังโรงแรมเกือบชั่วโมง เพราะมีการปิดซ่อมถนนทำให้ต้องวกรถกลับไปอีกเส้นทาง กว่าจะถึงที่พักจัดการเช็คอินเรียบร้อย ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนพอดี
ภาพการแสดงโชว์ ที่เมืองจำลองซ่ง