เวลา
ยโส
การบริหารเวลา (ในขวดแก้ว)
จำได้ว่าเมื่อผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง ผมเคยได้ฟังเพลง time in a bottle ขับร้องโดย Jim Croce รู้สึกได้ทันทีเมื่อฟังครั้งแรกว่า ชื่อเพลงและเนื้อหาของเพลงมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้ให้ค้นหาคำตอบ หากผมไม่ใช่คนเสแสร้ง ผมก็คงอินกับบทเพลงและอินกับความรัก (fall in song and love) มากเกินไปกระมัง แต่หากเนื้อหาของบทเพลงและความไพเราะในท่วงทำนองของมัน ประสานกับเสียงเกากีตาร์ยังคงอยู่ในความทรงจำของผม
If I could save time in a bottle
The first thing that Id like to do
Is to save every day
Till eternity passes away
Just to spend them with you (บทเพลง time in a bottle ขับร้องโดย Jim Croce)
ถ้าหากผมเก็บเวลาไว้ในขวดแก้วได้
สิ่งแรกที่ผมอยากจะทำ
ก็คือเก็บมันเอาไว้อย่างนี้ทุก ๆ วัน
จนกระทั่งถึงกัลปาวสาน
จะได้ใช้เวลาอยู่กับคุณ
ผมก็แค่คิดไปตามประสาเด็กนักเรียนวัยรุ่นช่วงต้น ๆ มัธยมปลายเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดไปถึงอนาคตอย่างที่วัยรุ่นช่วงปลาย ๆ วาดฝันเอาไว้ว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเอาอย่างนี้ และต้องอะไรต่อมิอะไรอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในความเป็นจริงและความหลอกลวงของสังคมที่ผมจะผ่านและไปพบในวันข้างหน้ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็ยังไม่รู้เลย อาจจะเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะรู้ก็ได้
ไม่มีใครสามารถที่จะซื้อ ขาย เช่า หยิบยืม ขโมย เก็บรักษาไว้ ทำให้มากขึ้น สร้างมันขึ้นมาใหม่ หรือเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราทำได้ก็คือการใช้ (เสริมศักดิ์ วิสาลาภรณ์. 2546 : 238) ถ้าไม่ได้ใช้ มันก็คงหมดไปอย่างไร้ค่า และช่างไร้ความหมายจริง
เพื่อน ๆ หลายคนในห้องเรียนในขณะนั้น บ่นว่าไม่มีเวลาทำการบ้าน บ้างก็ว่ามาไม่ทันเวลาเรียน เคยตอบเพื่อนไปเหมือนกันว่า นายกับเราก็มีเวลาเท่ากัน คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน แล้วทำไมต้องเอาเวลามาเป็นสิ่งอ้างและเอาเวลามาเป็นกำแพงปิดกั้นตัวเองด้วย แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบใด ๆ จากเพื่อน
อยากหัวเราะกับความคิดที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองในขณะนั้นจริง ๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังขำไม่ออก เพราะว่าเวลาทำให้ผมกับเพื่อนต้องจากกัน นั่นยังไม่รวมถึงการลาจากกับเพื่อนหญิง หรือใครสักคนที่เคยเห็นหน้ากันมาเป็นระยะเวลา 3 ปีที่เคยเล่น กิน เที่ยว แม้แต่การหนีเรียนวิชาฟิสิกส์ที่ผมเข้าใจยากที่สุด ปลดปล่อยสูตรและการคำนวณไว้ในห้อง ฝากเพื่อนอีกคนไว้ เพื่อจะได้ไปดื่มน้ำอัดลมสีน้ำตาลเข้ม รสซ่าเย็นในร้านที่มีตู้เพลงดัง ๆ และจะได้ลืมเวลาขณะพักเที่ยงวัน
But there never seems to be enough time
To do the things you want to do
Once you find them
Ive looked around enough to know
That youre the one I want to go
Through time with (บทเพลง Time in a bottle ขับร้องโดย Jim Crose)
แต่มันก็ดูเหมือนว่าไม่มีเวลาพอ
ที่จะทำอะไรสักอย่างตามที่ต้องการ
สักวันหนึ่งคุณจะเข้าใจว่า
ผมมองดูคุณอยู่ เพื่อให้คุณรู้ว่า
คุณเป็นหนึ่งเดียวที่ผมต้องการจะไปหา
ผ่านกาลเวลา (ผู้เขียนถอดความเอง)
ฟังดูเหมือนอยู่ในห้วงเหวลึกที่มืดและวังเวงยิ่งนักเสียนี่ เวลาได้กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ตัวของมันเอง เนิ่นนาน ผ่านมา
ด้วยความที่ตัวผมเกิดอยู่ในชนบท แม้กันดาร ผมก็ยังภาคภูมิใจในถิ่นเกิด แผ่นดินที่ผมอยู่มาตั้งแต่ลืมตามาดูโลก วิ่งไล่จับตั๊กแตน ซุ่มตามร่มเงาของต้นไม้ใช้ไม้ยาว ๆ ผูกด้วยเชือกไนล่อนคล้องคอกิ้งก่า ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ต้อนควายไปกินหญ้า ปล่อยให้มันกินไปตามเรื่องของมัน รวมหัวกับเพื่อน ๆ แก้ผ้ากระโดดเล่นน้ำในคลอง ว่ายน้ำแข่งกัน เป็นชีวิตวัยเด็กที่ไม่อาจย้อนกลับได้เช่นเดียวกับเวลา แต่ก็มีความสุขดีตามอัตภาพและตามแต่จะเป็นไป
แต่ก็มีบางครั้งที่ผมต้องหลบไป แอบเหงา และนั่งน้ำตาซึมอยู่กับวันและเวลาที่กำลังผ่านไปอย่างไม่มีวันกลับ
วันคืนและเวลาผ่านเลยมาอีกสัก 7 ปีได้กระมัง (หากผมไม่เสแสร้งนับผิด) เวลาก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนเดิม ผมอาจจะพอได้เห็นคุณค่าของเวลาขึ้นมาบ้างแล้วกระมัง รวมทั้งคนรอบข้างผมด้วย จึงได้รวมกลุ่มกับเพื่อนสมาชิกทำ baby thesis ในรายวิชาวิทยาการวิจัย ในหัวข้อเรื่อง การศึกษาการบริหารเวลาของนิสิตใน... ณ วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา 01.08 น.) ผมยังนั่งนึกย้อนไปถึงเวลาในขณะเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เขียนสิ่งที่ผมเรียกว่า บทความ เรื่อง การบริหารเวลา (ในขวดแก้ว)
ความก้าวหน้าในการทำ baby thesis ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบางอย่างอยู่ อีกสัก 5 วันเป็นอย่างมากก็คงเสร็จเป็นรูปเล่ม ถึงวันนั้นคงได้องค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับเวลาว่า ระหว่างเวลาที่ถูกเก็บไว้ในขวดแก้วเมื่อยังอยู่ในวัยเด็ก กับช่วงเวลาในปัจจุบันที่มีสถานภาพแตกต่างกัน มีความแตกต่างกันมากขนาดไหน
เห็นเพื่อนนักศึกษาแซวผมเล่นอยู่บ่อย ๆ ว่า สงสัยท่านจะมีความหลังหรือความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเวลาหรือเปล่าถึงได้ทำ baby thesis เรื่องนี้ ถ้าวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จและเป็นรูปเล่มเรียบร้อยผมจะนำองค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารเวลาไปแจ้งบอกกับเพื่อนนักศึกษาอย่างแน่นอน
แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ผมลังเลอยู่ในเวลานี้ก็คือ เพื่อน ๆ นักศึกษาจะยอมรับได้หรือเปล่าว่า เวลามีไว้ให้ใช้ ไม่ใช่มีไว้ให้เก็บ และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้รักษาเวลา พูดให้สั้น ๆ ก็คือให้ทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่ต้อง เร็ว ๆ
ที่ผมเกริ่นนำเกี่ยวกับเวลาตั้งแต่อดีต จนกระทั่งมันล่วงเลยและผ่านมาในขณะนี้ ก็เพราะว่า มันมีอะไรมากมายที่ต้องค้นหาและใคร่อยากจะรู้จริง ๆ ในวัยเด็ก (อีกนั่นแหละ) ผมเคยตื่นเต้นเมื่อพบว่าตัวผมเองสูงกว่าปีก่อนเกือบถึง 5 เซนติเมตร ดีใจเมื่อได้นับเลขอายุของตัวเองด้วยเลข 2 หลัก นี่ยังมิพักต้องพูดถึงความปลาบปลื้มเมื่อผมได้ทำบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรก
ผมเคยใช้ชีวิตในวัยรุ่นอยู่กระมัง? ลองถูกและลองผิดอยู่หลายเรื่อง โดยไม่สนใจกับการผ่านพ้นของการเวลา (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล. 2545 : 120) ทำงานในภัตตาคารเจ้าพระยา 1 ปี พบปะนักเที่ยวและกลุ่มทัวร์จากต่างประเทศมากมาย ใช้ภาษาอังกฤษคำสองคำเพื่อทักทายกับคนต่างชาติ
โอกาสทางการศึกษาช่างปิดกั้นเสียนี่กระไร เรียนเท่าที่มีโอกาสได้เรียน เรียนในมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ใบประกาศนียบัตรภาษาอังกฤษเฉพาะอาชีพ (ครู) 1 ปี ยังมิพักต้องพูดถึงการเรียนในสาขานิติศาสตร์ เอกนิติศาสตร์ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2544 แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เพราะว่ามันไม่ใช่หนทางและสิ่งที่ตัวเองชอบ จึงต้อง droup out ออกมาเพื่อเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ ชีวิตช่างตลกสิ้นดี!
แน่นอนว่า แม้ผมจะถูกถามในวันนี้ ผมก็ยังยืนว่าไม่เคยเสียดายวัน เดือน ปีเหล่านั้น เพียงแต่ว่า นับวันผมยิ่งมีสำนึกเกี่ยวกับกาลเวลามากขึ้น และนับวันผมยิ่งเลือกในสิ่งที่ตัวเองกระทำ
เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่า ถ้ากาลเวลาเป็นคน เขาจะมีบุคลิกเป็นอย่างไร?
ก่อนอื่น เขาคงเป็นคนที่มีรูปร่างสง่างามและมีใบหน้าที่เฉยเมย เขาต้องแต่งตัวด้วยชุดดำ
นอกจากนี้ ก็คงจะนั่งอยู่บนหลังม้าที่มีบุคลิกไม่ต่างจากเขาเท่าใดนัก
แน่นอน เขาคงนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าที่เหยาะย่างไปด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอ ดวงตาอันสงบนิ่งเพ่งไปข้างหน้าอย่างไม่กระพริบ และชายเสื้อสีดำของเขาคงจะพลิ้วไปมา เหมือนริ้วหรีดที่ไว้ทุกข์กับทุกอย่างที่ผ่านไป ซึ่งสอดคล้องกับงานเขียนของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (2545 : 121)
แม้เวลาจะเป็นทรัพยากรที่มีค่า ที่ไม่จำเป็นต้องจัดสรรหรือหามา แต่หากไม่รู้จักใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ คุ้มค่า และให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดแล้วไซร้ เวลาก็คงหมดไป จึงควรที่จะรู้จักการบริหารเวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยใช้เวลาน้อยที่สุดเพื่อนำเวลาในส่วนนั้นไปใช้ในกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องการเวลามาก การบริหารเวลา ก็เหมือนกับการบริหารตัวเอง เวลาเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลน ถ้าบริหารเวลาไม่ได้ ก็บริหารอย่างอื่นไม่ได้ (เสริมศักดิ์ วิสาลาภรณ์. 2546 : อ้างใน Drucker. 1996)
หากเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย ก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา ซึ่งมีข้อแนะนำมากมาย พอยกตัวอย่างเพื่อจะได้บริหารจัดการกับเวลาดังต่อไปนี้
1. กำหนดเป้าหมาย (Goal setting) เขียนหรือบันทึกเป้าหมายในระยะยาวและใน
ระยะสั้น จะช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น
2. กำหนดความสำคัญของงานสำคัญและงานด่วน (Prioritizing) เป็นเคล็ดลับที่จะ
จัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and effectiveness)
3. การตรวจสอบเวลา เวลาที่ต้องใช้ในการเรียน งานนอกเวลา พบปะสนทนา ไม่
เร่งรีบเพราะจะทำให้คุณเครียด วางแผนในสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้
4. ทำเรื่องที่ง่าย ๆ ไปหาเรื่องที่ยากและซับซ้อน หัดฝึกนิสัยเริ่มทำสิ่งที่มันง่ายก่อน
5. แบ่งงานกันทำ อย่าเก็บไว้ทำคนเดียว หาคนช่วยเหลือ หาคนช่วยแก้ปัญหา
ผู้ให้คำแนะนำทางด้านวิชาการ หรืออาจารย์ที่ปรึกษาก็ได้
6. จดบันทึกไว้ในสมุดเตือนความจำ เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องนำมาคิดและจำให้
ยุ่งสมอง ทำตามแผนที่กำหนดไว้ในสมุดบันทึก ทำงานให้เสร็จตามกำหนด
7. พักสายตาจากการทำงาน ใช้เวลาว่าง ๆ อาจจะทำงานอื่นที่เบา ๆ ในช่วงเวลาที่
รอคอยก็ได้ จะช่วยเรียกเวลาที่เสียไปคืนกลับมาใช้ประโยชน์ได้
8. ตั้งใจทำงาน คนที่ทำงานหลาย ๆ อย่างในคราวเดียวกัน มักไม่ประสบ
ความสำเร็จ (จับปลาสองมือ, เหยียบเรือสองแคม ดูเหมือนว่ายังใช้ได้เสมอ) ทำงานอย่างเดียวแต่มีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มีปริมาณก็ตาม
9. ลงมือทำงานในทันที เริ่มต้นจากงานชิ้นเล็ก ๆ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง
10. ทำงานเป็นกลุ่ม รวมตัวกับเพื่อน ๆ จะช่วยประหยัดเวลา
11. ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนแผนงานให้มีความเหมาะสม
12. บริหารตัวเอง สิ่งสำคัญก็คือ ต้องฝึกหัดและบริหารจัดการกับตัวคุณเองด้วย
ตัดสินใจให้ดีว่า จะทำงานอย่างไรถึงจะบรรลุเป้าหมายได้ (Brian Poser : 2003) (ผู้เขียนบทความเคยแปลและถอดความเรื่องนี้ให้เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งที่มาปรึกษาการแปล Journal)
การบริหารจัดการกับเวลา ต้องบริหารและจัดการกับตัวเองด้วย เป็นการไร้ประโยชน์จริง ๆ ที่จะต้องมานั่งน้ำตาซึมและนั่งแอบเหงาอยู่คนเดียว เพราะเสียดายวันและเวลาที่มันผ่านพ้นไปอย่างไม่เคยหวนมาอีก สายน้ำย่อมไม่เคยไหลกลับฉันใด กาลเวลาย่อมเลยผ่านไปได้อย่างไม่มีวันหวนกลับฉันนั้น จะป่วยกล่าวไปใยกับอดีตที่มีทั้งเลวและโหดร้ายที่คอยทิ่มแทงแผลในใจและคอยตอกย้ำในความรู้สึกทุกวี่วัน ปล่อยมันไปกับกาลเวลาที่ผ่านเลยจะดีกว่า อย่างน้อย กาลเวลาที่ผ่านเข้ามาและผ่านไปคงจะช่วยเยียวยาและรักษาแผลใจให้หายวัน
หายคืนขึ้นได้ แม้ไม่มากนักก็ยังดีกว่าการจมปลักอยู่กับอดีต
เวลาช่างผ่านไปโดยเร็ว ตรงกันข้ามกับมนุษย์ที่เจริญเติบโตช้าเหลือเกิน
แต่ก็ยังน่าเสียดาย ที่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเจริญเติบโตขึ้นเต็มที่ ก็ปาเวลาเข้าไปเกือบ 20 ปีเศษ ๆ มาแล้ว