มิลาเรปะ (พ.ศ. 1583 - 1666) เป็นกวีและนักบวชที่สูงส่ง เป็นที่รู้จักและเคารพนับถือกันทั่วไปในธิเบตและแถบเทือกเขาหิมาลัย ชีวประวัติของมิลาเรปะก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
บิดาของมิลาเรปะสืบเชื้อสายมาจากวงศ์ตระกูลของคนเลี้ยงสัตว์ ท่านเป็นพ่อค้าที่มีฐานะมั่งคั่งเลยทีเดียว เมื่อมิลาเรปะอายุได้ 7 ขวบ บิดาของเขาถูกโรคร้ายคุกคาม ท่านรู้ตัวว่าคงจะ
ไม่รอดแน่จึงตกลงใจมอบครอบครัวและทรัพศฤงคารของท่านทั้งหมดให้ญาติของท่าน โดยเฉพาะลุงและป้าของมิลาเรปะเป็นผู้ดูแล โดยคาดหวังว่าเมื่อมิลาเรปะโตขึ้นเป็นหนุ่มเขา
จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของท่านในภายหลัง
แต่ครั้นเมื่อบิดาของมิลาเรปะเสียชีวิตลงแล้ว ลุงและป้าของมิลาเรปะก็จัดการฮุบสมบัติทั้งหมดไปเป็นของตน ปล่้อยให้มารดาของมิลาเรปะ ตัวเขา และน้องสาวของเขาอยู่อย่าง
อดอยากทุกข์ยากหิวโหย เสื้อผ้าขาดวิ่นแร้นแค้นและขมชื่นห่อเหี่ยวใจ
ขณะนั้นมิลาเรปะมีอายุได้ 15 ปี มารดาของเขาได้บอกกับเขาว่า นางอยากเห็นเขาไปแก้แค้นพวกที่ทรยศหักหลังพวกนาง นางจึงสั่งให้มิลาเรปะไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ให้สำเร็จ
แล้วกลับมาทำร้ายป้าลุงเป็นคนแรก จากนั้นก็พวกชาวบ้านที่สุมหัวกับลุงป้ารังแกพวกนาง
สองปีต่อมา มิลาเรปะร่ำเรียนเวทย์มนต์คาถาสำเร็จ จนกระทั่งสามารถเสกฝนและลูกเห็บให้ตกลงมาทำลายหมู่บ้าน จนบ้านหลายหลังพังครืน มีคนบาดเจ็บล้มตายทั้งหมด 35 คน
ล้างแค้นได้เป็นผลสำเร็จ แต่หลังจากที่ได้ล้างแค้นไปแล้ว ตัวมิลาเรปะเองกลับรู้สึกเสียใจที่ได้ประกอบบาปกรรมไว้มากมาย เขาจึงต้องการค้นหาคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาเกิด
ความรู้สึกอยากแสวงธรรมขึ้นมาอย่างรุนแรง ถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาได้ตัดสินใจที่จะปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง
ชายหนุ่มเดินทางไปที่ภูเขา "นยัง" เพื่อไปหาพระลามะรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากนามว่า "รังตัน"
"ท่านลามะครับ บุคคลที่นั่งอยู่ ณ เบื้องหน้าท่านนี้คือผู้มีบาปหนา ขอท่านจงช่วยให้ผู้น้อยได้หลุดพ้นจากห้วงแห่งวัฏฏสงสารด้วยเถิดครับ"
"ดูกรพ่อหนุ่ม คำสอนเรื่องนิพพาน อันเป็นยอดปรารถนาของความสำเร็จทั้งมวลนั้นอยู่ที่ใจอันมั่นคงที่เข้าสู่สุญตาธรรม หากปฏิบัติในยามกลางวัน เธอก็จะได้พบพุทธะในตอนกลางวัน
หากเธอปฏิบัติในตอนกลางคืน เธอก็จะได้รับพุทธะในตอนกลางคืน เช่นกันสำหรับคนที่สร้างกุศลกรรมมาดีแล้ว แม้ไม่ต้องนั่งสมาธิภาวนาก็สามารถบรรลุได้ เพียงแต่ได้ฟังธรรมที่เรา
อยากจะสั่งสอนเธอเท่านั้น"
ความที่มิลาเรปะเป็นคนเรียนเก่ง แม้ตอนไปเรียนไสยศาสตร์เขาก็ประสบกับความก้าวหน้าในการฝึกวิชาอย่างรวดเร็วมาก เขาจึงประมาทคิดว่าการปฏิบัติเพื่อการบรรลุมรรคผลนี้คงจะ
ง่ายกว่าการเรียนเวทย์มนต์หลายเท่า เพราะอาจารย์บอกกับเขาเองว่าถ้าปฏิบัติในยามราตรีก็จะบรรลุในราตรี ตัวเขาคงจะเป็นพระโพธิสัตว์ผู้โชคดีที่มีโอกาสได้สดับฟังธรรมและ
สามารถบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องปฏิบัติสมาธิภาวนาเลย เมื่อมิลาเรปะคิดลำพองใจอยู่เช่นนั้น เขาจึงไม่ได้ปฏิบัติสมาธิใดๆ ทั้งสิ้น เอาแต่นอนหลับใหลซึมเซาเกียจคร้านอยู่ ไม่กี่วัน
หลังจากนั้น พระลามะรังตันจึงเรียกมิลาเรปะเข้าไปพบและพูดกับเขาว่า
"มิลาเรปะ เมื่อตอนที่เธอมาหาเราครั้งแรกนั้น เธอบอกว่าเธอเป็นผู้ที่มีบาปหนา ตัวเราหลงภูมิใจในคำสอนของตนจึงบอกบทธรรมแก่เธอเร็วเกินไป ทำให้บัดนี้เราไม่สามารถสอนเธอให้
บรรลุธรรมได้อีกแล้ว ขอให้เธอจงไปหาท่านมาร์ปะ ลามะที่มีชื่อเสียงทางตอนใต้แล้วร่ำเรียนกับท่านเถิด เธอกับท่านมาร์ปะได้เคยสร้างบารมีร่วมกันมาเมื่อชาติปางก่อน เพราะฉะนั้น
เธอจึงต้องไปหาท่าน"
มิลาเรปะจึงเดินทางไปหาท่านมาร์ปะโดยตรง เข้าไปกราบท่านที่เท้า พร้อมกับกล่าวว่า
"ข้าแต่ท่านลามะ กระผมผู้บาปหนาขอมอบ กาย วาจา และใจแก่ท่าน โดยศิษย์ขอเพียงอาหาร เสื้อผ้า และคำสอนเป็นสิ่งตอบแทน ขอได้โปรดสั่งสอนศิษย์ถึงมรรควิธีแห่งการพ้นทุกข์
ในช่วงแห่งชีวิตนี้ด้วยเถิดครับ"
"เจ้าหนุ่ม มันเป็นการดีที่เจ้าจะอุทิศ กาย วาจา และใจ ให้แก่เรา แต่เราจะไม่ให้อาหาร เสื้อผ้า และคำสอนทุกอย่าง เราจะให้เพียงอาหารและเสื้อผ้าแก่เจ้า สำหรับคำสอนเจ้าต้องไปให้
คนอื่นสอนให้ แต่ถ้าเจ้าต้องการคำสอนทั้งมวล เจ้าก็จะไม่ได้อาหารและเสื้อผ้า เจ้าจงเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น การที่เจ้าจะบรรลุธรรมหรือไม่ในชีวิตนี้ก็ขึ้นอยู่กับความมานะ
พากเพียรของเจ้าเท่านั้น"
ตอนนั้นมิลาเรปะยังไม่รู้หรอกว่า เขากำลังถูกอาจารย์มาร์ปะทดสอบ "ขันติธรรม" ของเขาอยู่ มันเป็นบททดสอบความอดทนที่หนักหน่วงที่สุดครั้งหนึ่ง ขนาดที่ชายหนุ่มทั้งหลายในโลกนี้
คงไม่มีใครได้เผชิญมาก่อนเหมือนที่มิลาเรปะได้เผชิญมาแล้ว
ในตอนแรกอาจารย์มาร์ปะสั่งให้เขาไปปราบโจรอันธพาลที่เข้ามาปล้นสะดมหมู่บ้านอยู่เป็นนิจโดยใช้คาถาอาคมของเขา เมื่อเขาทำงานที่ได้รับมอบหมายนี้เสร็จแล้ว อาจารย์มาร์ปะ
ก็แกล้งสั่งให้เขาสร้างหอคอยให้เสร็จก่อนท่านถึงจะสอนให้
ตอนแรกท่านสั่งเขาให้สร้างหอคอยบนยอดเขาทิศตะวันออก เมื่อมิลาเรปะเริ่มลงมือสร้างหอคอยทรงกลมจนเสร็จไปได้เกือบครึ่ง อาจารย์มาร์ปะมาดูแล้วพูดว่า
"ตอนนั้นเราลืมคิดให้รอบคอบไป เจ้าจงรื้อหอคอยนี้ลงเสีย นำหินและดินกลับไปไว้ที่เดิมของมัน"
จากนั้น อาจารย์มาร์ปะได้สั่งให้เขาไปสร้างหอคอยที่ยอดเขาทิศตะวันตก พอเขาสร้างไปได้เกือบครึ่งท่านก็สั่งรื้ออีก ให้ไปสร้างที่ยอดเขาทางทิศเหนือแทน พอเขาสร้างหอคอยเสร็จ
ท่านก็สั่งให้เขาทำลายหอคอยนั้นเสีย และขนหินดินทรายกลับไปยังที่เก่าของมัน
หินแต่ละก้อนที่ชายหนุ่มแบกนั้นหนักมากจนทำให้เกิดแผลที่หัวไหล่ของเขา
ต่อมาอาจารย์มาร์ปะได้สั่งให้มิลาเรปะสร้างห้องพระพร้อมระเบียงล้อมรอบมีหลังคาค้ำยันด้วยเสา 12 ต้นก่อน ท่านจึงจะแสดงธรรมให้
มิลาเรปะจึงกัดฟันทำการก่อสร้างห้องพระจนเสร็จ
บัดนี้แผลที่กลางหลังทั้ง 2 แห่งของเขาได้กำเริบจนเจ็บปวดสาหัสมีเลือดและหนองไหลเยิ้มออกมา แต่อาจารย์มาร์ปะก็ไม่ยอมถ่ายทอดโพธิธรรมให้แก่เขา กลับทุบตีเขา ด่าเขา
จนตัวเขาล้มป่วย
ตอนนั้นมิลาเรปะท้อแท้มาก เขาคิดในใจว่า
ตัวเราเป็นคนอาภัพชาตินี้ถ้ายังอยู่ในอัตภาพนี้สืบไปก็คงไม่ได้รับคำสอนจากท่านอาจารย์เป็นแน่ อย่ากระนั้นเลยเราจะฆ่าตัวตายดีกว่า เพื่อจะได้เกิดในร่างใหม่อันคู่ควรได้รับคำสอน
จากอาจารย์
ขณะที่มิลาเรปะกำลังจะฆ่าตัวตาย ศิษย์รุ่นพี่ของเขาได้เข้ามาห้ามไว้ พร้อมกับกล่าวด้วยหยาดน้ำตาว่า
"มิลาเรปะผู้น่าสงสารเธอจงอย่าไปทำเช่นนั้น ตามคำสอนของพระพุทธองค์ถือว่า ร่างกายกับใจของคนนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ หากเธอตายก่อนเวลาโดยการฆ่าตัวตาย
ถือว่าเธอได้ทำกรรมชั่วร้ายคือสังหารพุทธภาวะที่มีอยู่ในตัว ตามพระสูตรวัชรยานนั้นถือว่าไม่มีบาปอะไรจะหนักหน่วงไปกว่าการฆ่าตัวตายอีกแล้ว เมื่อรู้แล้วก็จงเลิกความคิดนี้เสีย
อาจจะเป็นไปได้ว่า ท่านอาจารย์จะสอนเธอสักวันหนึ่งเป็นแน่ เพราะถ้าอาจารย์ไม่สอน ก็ไม่มีลามะผู้ใดจะสอนเธอให้บรรลุธรรมได้อีกแล้ว"
ช่วงนั้นมิลาเรปะเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เขาถึงกับรำพึงกับตัวเองว่า หัวใจของเขาทำด้วยเหล็กกระมัง ถึงยังทนอยู่ได้โดยไม่ระเบิดจนอกแตกตาย เขาไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าอาจารย์
มาร์ปะกำลังทดสอบขันติธรรมของเขาเพื่อชำระล้างมลทินในอดีตให้แก่ตัวเขาต่างหาก
ในที่สุดอาจารย์มาร์ปะก็รับมิลาเรปะเป็นศิษย์ภายหลังทดสอบและชำระล้างวิบากกรรมให้แก่เขามาเป็นเวลาถึง 9 ปี
"มิลาเรปะอาจารย์ต้องการลองใจเธอ และเพื่อชำระล้างราคีให้แก่เธอ จึงได้กระทำเช่นนั้นกับเธอ ถ้าหากเราต้องการให้เธอสร้างหอคอยด้วยจุดมุ่งหมายอันเห็นแก่ตัวแล้ว เราก็ต้อง
ปฏิบัติต่อเธออย่างนุ่มนวลถึงจะถูกจริงมั๊ย ดังนั้นเจตนาของเราจึงบริสุทธิ์
ส่วนตัวเธอเองก็กำลังถูกไฟแห่งความอยากที่จะปฏิบัติธรรมเผาผลาญอยู่ เธอจึงพร้อมที่จะใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งคำสอนนั้น ตัวเราเอง แม้แสดงโทสะต่อเธออย่างเกรี้ยวกราด
แต่นั่นมิใช่โทสะแบบชาวโลก ถึงแม้มันจะปรากฏให้เห็นอยู่ มันก็เป็นเพียงอุบายอันเกิดจากมรรควิธีเท่านั้น"
"บัดนี้ เราขอรับเธอเป็นศิษย์และเราจะสั่งสอนพระธรรม ซึ่งเรารักยิ่งชีวิตให้แก่เธอ เราจะอุปถัมภ์อาหารการกินผ้าผ่อนและข้าวของเครื่องใช้ให้เธอได้ปฏิบัติสมาธิอย่างมีสุข"
มิลาเรปะรู้สึกประหลาดใจว่าตัวเขาฝันไปหรือเปล่า ที่ได้ยินอาจารย์มาร์ปะกล่าวออกมาเช่นนั้น ถ้าเป็นความฝันก็ขอให้มันเป็นความฝันตลอดไปเถิด อย่าได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย
ใจของมิลาเรปะเปี่ยมไปด้วยปิติอันไร้ขอบเขต น้ำตาที่ไหลออกมานั้นเป็นน้ำตาแห่งปิติสุข เขากราบถวายความเคารพอาจารย์ของเขาด้วยจิตบูชาสูงสุด
"เราจะให้การอุปสมบทแก่เธอด้วยการปฏิญาณที่จะหลุดพ้น"
จากนั้น ท่านก็ตัดผมมิลาเรปะ และให้เขาเปลี่ยนผ้าฆราวาสมาเป็นจีวรแบบท่าน อาจารย์มาร์ปะยังให้มิลาเรปะรับศีลแห่งพระโพธิสัตว์และกล่าวว่า
"วันพรุ่งนี้ เราจะประกอบพิธีอนัตตาภิเษกตามมรรควิธีเร้นลับให้แก่เธอ"
ในวันประกอบพิธี อาจารย์มาร์ปะสอนให้มิลาเรปะท่องมนตราแห่งนิกายตันตระจนจบมนต์ ทั้งยังบอกวิธีปฏิบัติอย่างละเอียดตามหลักวิชาอันล้ำลึกนั้น ท่านอาจารย์มาร์ปะวางมือบน
ศีรษะของมิลาเรปะแล้วกล่าวว่า
"มิลาเรปะ เมื่อตอนที่เราพบกับเธอครั้งแรก เรารู้สึกว่าเธอเป็นผู้ที่คู่ควรจะได้รับหลักธรรม ในคืนก่อนที่เธอจะมาหาเรา ตัวเราเกิดนิมิตฝันไปว่าเธอคือผู้ที่จะมาสืบหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
เราได้ชำระล้างเธอจากมลทินโทษโดยการให้เธอสร้างหอคอยอันเป็นงานยากลำบากแสนเข็ญ... ทุกครั้งที่เราไม่ยอมรับเธอเป็นศิษย์ ทำให้เธอทุกขเวทนาแสนสาหัส
แต่เธอก็หาได้คิดโกรธเราแต่อย่างใดไม่ นั่นแสดงว่าต่อไปภายภาคหน้าศิษย์ของเธอย่อมมีสติปัญญา มีเมตตาต่อผู้อื่น พวกเขาจะไม่ปรารถนาความมั่งคั่งจากโลกียทรัพย์ในชีวิต
แต่พวกเขาจะมุ่งมั่นฝ่าอุปสรรคเพื่อโลกุตรทรัพย์ในการปฏิบัติสมาธิภาวนาบนภูเขา และท้ายที่สุดโดยอาศัยประสบการณ์ภายในพลังทางจิตวิญญาณ ปรีชาญาณและความเมตตาเหล่าศิษย์
เหล่านั้นของเธอจะได้กลายเป็นลามะผู้สมบูรณ์พร้อม ดังนั้นขอให้เธอจงปีติยินดีเถิด"
หลังจากถ่ายทอดเคล็ดวิชาเร้นลับของตันตระให้แก่มิลาเรปะแล้ว อาจารย์มาร์ปะได้แนะนำเขาให้ไปทำสมาธิบนถ้ำที่หน้าผาทางทิศใต้
มิลาเรปะนำตะเกียงน้ำมันเนยจุดตั้งไว้ นั่งบำเพ็ญสมาธิตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่เคลื่อนไหวจนกระทั่งน้ำมันเนยหมดลง
เจ็ดเดือนต่อมาอาจารย์มาร์ปะแวะมาเยี่ยมมิลาเรปะ ท่านดีใจมากที่เห็นเขาสามารถทำสมาธิอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลุกจากอาสนะ ท่านถามมิลาเรปะว่า
"ศิษย์รัก เธอมีความรู้อะไรบ้างที่ได้จากการนั่งทำสมาธิในครั้งนี้ เธอจงทำใจของเธอให้ปลอดโปร่ง และบอกสิ่งที่เธอได้พบเห็นและเข้าถึงใจค้นพบมาให้เราฟังหน่อยซิ"
"อาจารย์ครับ เมื่อผมฝึกจิตจนแน่นิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหวแล้ว ตัวผมบังเกิดความประจักษ์ชัดว่า ร่างกายอันเป็นวัตถุธาตุประกอบขึ้นด้วยเลือดเนื้อและผัสสะทั้ง 5 เหล่านี้รวมตัวกันอยู่ด้วย
สายใยแห่งเหตุและผล (ปฏิจจสมุปบาท) 12 ประการครับ หนึ่งในจำนวนนั้นคือเจตนาอันมีรากเหง้ามาจากความไม่รู้ (อวิชชา)
ร่างกายเนื้อนี้เป็นพาหนะอันยอดเยี่ยมสำหรับสรรพสัตว์ผู้โชคดีที่ปรารถนาจะเป็นอิสระหลุดพ้น แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจอันเป็นบาปแล้ว ร่างกายเนื้อนี้จะนำผู้นั้นไปสู่อบายภูมิเบื้องต่ำ
ตัวผมเข้าใจว่า ชีวิตนี้มีสิ่งให้เลือกอยู่ 2 ประการเท่านั้น ระหว่างทางรอดกับทางหลง อันจะนำไปสู่ความสงบสุขอันเป็นอมตะกับความทุกข์โศก มันเป็นเส้นแบ่งระหว่างความดี
กับความชั่ว ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาธรรมของคุรุผู้ช่วยสอดส่องชี้นำสัตว์โลก ตัวผมเต็มไปด้วยความหวังที่จะพากเพียรให้บรรลุถึงความหลุดพ้น
อาจารย์ครับ นับตั้งแต่ที่ตัวผมได้กล่าวปฏิญาณตนถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ผมได้ค้นพบว่า ที่มาของความสงบสุขทั้งปวงคือความเป็นพระลามะ และสิ่งที่ควรประพฤติในเบื้องต้น
คือการเจริญรอยตามคำสอนของอาจารย์ ทำจิตใจตัวเองไม่ให้มีความด่างพร้อย และผูกพันดวงใจไว้กับอาจารย์
จากจุดนั้นผมได้เริ่มก้าวไปบน "ทาง" นี้แล้ว และตั้งหน้าบำเพ็ญเพียร ตามขั้นตอนที่วางไว้ของมรรคแห่งวัชรยาน มันเป็นความเพียรที่จะค้นหาความไม่มีตัวตนของแต่ละคน
ก่อนอื่นผมเริ่มจากการพิจารณาตัวตนด้วยหลักเหตุและผล จนเห็นถึงความเป็นอนัตตาหรือความไม่มีตัวตนได้แล้ว จากนั้นตัวผมก็พยายามประคองจิตใจให้อยู่ในสภาวะที่สงบนิ่ง
จนกระทั่งความคิดฟุ้งซ่านหายไป กลายเป็นใจที่ไร้ความคิด
หากผู้ใดสามารถดำรงจิตประคองสภาวะนี้ได้ตลอดวันตลอดคืน ตลอดปี กระทั่งหลงลืมวันเวลาที่ผ่านเลยไปได้ นั่นก็หมายความว่าจิตใจของผู้นั้นได้เข้าสู่สภาวะอันสงบนิ่ง
เยือกเย็นโดยแท้จริงแล้ว
สภาวะที่สงบเยือกเย็นนี้จะคงอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อมีสติและรับรู้มันอยู่ทุกขณะ โดยไม่ปล่อยให้สิ่งใดมารบกวนหรือจมลงสู่ความชาด้าน อาศัยการหนุนนำจากพลังแห่งสติ จนทำให้จิตเข้าถึง
ภาวะอันบริสุทธิ์ของเอกัคคตา หรือความแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียวของอารมณ์ จิตรู้สึกปลอดโปร่งสดชื่นแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา อันเป็นลักษณะของดวงจิตที่สงบดีแล้ว
กล่าวโดยย่อก็คือตัวผมได้ค้นพบว่า
ประการที่หนึ่ง สภาวะที่แจ่มใสแห่งความสงบภายใน และพลังที่มีอยู่เต็มเปี่ยมภายใน เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่จะบรรลุถึงการหยั่งเห็นภายในอันเป็นดุจขั้นแรกของบันได
ประการที่สอง สมาธิทั้งปวงทั้งที่ใช้การเพ่งกสิณและการใช้อารมณ์ภาวนา จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความรักและความเมตตาอันสูงสุด สิ่งใดก็ตามที่เราทำมันจะต้องกระทำออกมา
จากความรักเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นเป็นสำคัญ
ประการที่สาม เมื่อเห็นแจ้งอย่างสมบูรณ์แล้ว การแบ่งแยกทั้งปวงก็จะหลอมละลายกลายเป็นสภาวะอันสงบล้ำที่ปราศจากการแบ่งแยกใดๆ
ประการสุดท้าย เมื่อได้ตระหนักถึงสุญตาหรือความว่างแล้วก็จะอุทิศมรรคผลทั้งมวลเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่นทั้งหมด นี่แหละครับที่ตัวผมตระหนักว่านี่เป็นวิถีทางอันเที่ยงแท้
ที่สุด
ในการจะประจักษ์แจ้งในสิ่งนี้ได้ เราจะต้องเอาชนะร่างกายของเรา และสามารถควบคุมจิตทั้งหมดจนบรรลุถึงความปกติ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆ แม้กระทั่งอันตราย
หรือความตาย
ตัวผมยังรู้เข้าไปอีกว่า การที่จะก้าวไปสู่จุดแห่งการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ได้นั้น เราจะต้องประกอบกุศลกรรมให้มาก และทำตัวเองให้บริสุทธิ์โดยเคร่งครัดระหว่างที่หยุดพักจากการนั่งสมาธิครับ"
เมื่อมิลาเรปะกล่าวจบ ท่านอาจารย์มาร์ปะก็กล่าวว่า
"ศิษย์รัก เราเคยมีความหวังอันสูงส่งอยู่ และความหวังนั้นบัดนี้ก็ได้สมประสงค์แล้ว เธอเป็นผู้ที่มีใจหนักแน่นเพื่อการรู้แจ้งมากเหลือเกินมิลาเรปะ"
หลังจากได้สนทนาธรรมกันอีกหลายหัวข้อ ท่านอาจารย์มาร์ปะก็ได้กลับไป
ส่วนตัวมิลาเรปะได้ก่อกำแพงทางเข้าปากถ้ำแล้วบำเพ็ญสมาธิต่อ
(จากเรื่องมิลาเรปะ มหาฤษีผู้พ้นกรรม โดยสุวินัย ภรณวลัย)
เมื่อครั้งมหาโยคีมิลาเรปะ ขณะจำศีลถือสันโดษอยู่ในถ้ำ ณ หุบเขาอัญมณีศิลาแดง ท่านดำริขึ้นว่า “ถึงเวลาที่ข้าควรเดินทางไปปฏิบัติธรรมและจำศีลที่ลาชิ ขุนเขาหิมะ ตามคำสั่งของท่านอาจารย์มาร์ปะแล้ว” ดังนั้น ท่านจึงออกเดินทาง
ระหว่างการจาริกสู่ขุนเขาลาชิ ท่านมิลาเรปะผ่านหมู่บ้าน ยานอนซาร์มะ ซึ่งกำลังมีงานเลี้ยงฉลองกันอยู่ ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นกลางงานฉลองว่า “พวกท่านทราบหรือไม่ว่า เวลานี้ได้มีมหาโยคีรูปหนึ่งนามว่า มิลาเรปะ จำศีลอยู่ตามถ้ำในเทือกเขาหิมะอันหนาวเหน็บ ท่านบำเพ็ญตบะด้วยความเพียรเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมอันสูงสุด พวกท่านเคยได้ยินนามโยคีมิลาเรปะกันบ้างหรือไม่”
ขณะที่กำลังมีการกล่าวขานถึงโยคีเรืองนามท่านนั้น พลันท่านมิลาเรปะก็ได้มายืนอยู่หน้าประตูบ้านงานเลี้ยง หญิงสาวในชุดอาภรณ์สวยงามนางหนึ่งนามว่า เลเซบุม ได้เชื้อเชิญนักพรตแปลกหน้าและถามว่า “ท่านเป็นใครและกำลังจะเดินทางไปยังที่ใดเจ้าคะ”
ท่านตอบว่า “แม่หญิง เราเป็นโยคี นามว่ามิลาเรปะ เรามาที่นี้ เพื่อขอบิณฑบาตอาหาร”
“ข้ายินดีที่จะถวายอาหารแก่ท่าน ว่าแต่ท่านคือมหาโยคีมิลาเรปะจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
“ไม่มีเหตุผลใดเลยที่เราจะหลอกลวงเจ้า” มิลาเรปะตอบ
หญิงสาวแสนจะปลาบปลื้มยินดี จึงวิ่งเข้าไปในบ้านและประกาศแก่ทุกคนว่า “ท่านโยคีผู้ทรงศีล ซึ่งพวกท่านกำลังกล่าวขานถึงด้วยความชื่นชมนับถือ บัดนี้ ท่านได้มาปรากฏกายอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว”
ชาวบ้านที่อยู่ในงานเลี้ยงทุกคน วิ่งกรูกันออกมาที่ประตู บางคนน้อมตัวลงกราบไหว้ บางคนซักถามคำถามต่าง ๆ นานา ตอนนี้ทุกคนต่างมั่นใจแล้วว่า โยคีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา คือมหาโยคีมิลาเรปะจริง ๆ จึงเชื้อเชิญท่านด้วยความนับถือเลื่อมใส และจัดหาอาหารมาถวาย
หญิงเจ้าของบ้านชื่อชินดอร์โม ได้ถามท่านว่า “ท่านโยคีผู้น่าเลื่อมใส ท่านกำลังจะเดินทางไปยังที่ใดเจ้าคะ”
“เรากำลังจาริกไปยังลาชิ ซึ่งเป็นเทือกเขาแห่งหิมะ เพื่อปฏิบัติธรรม” ท่านตอบ
“หากท่านจะกรุณาพวกเรา ได้โปรดพักค้างแรมที่ เดรลูน จูมู และสวดมนต์ปัดรังควานให้แก่สถานที่แห่งนั้นด้วยเถิด พวกเราจะจัดเตรียมอาหารอย่างดีเลิศตามที่ท่านต้องการมาถวาย”
ท่ามกลางแขกผู้มาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านหลังนี้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งชื่อว่า ชาจา กูนา กล่าวขึ้นว่า “หากท่านโยคีจะกรุณาพำนักค้างแรมที่หุบเขาเดรลูน จูมู เพื่อปราบปีศาจร้าย ข้ายินดีเสนอตัวเป็นผู้ช่วยของท่าน”
ชายอีกคนหนึ่งกล่าวตาม “นับเป็นความโชคดีของพวกเราเหลือเกิน ที่จะมีมหาโยคีมาพำนักอยู่กับพวกเราด้วย ข้ามีไร่ปศุสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ แต่ถูกเหล่าปีศาจและอสูรร้ายรังควาญหลอกหลอนทั้งวันทั้งคืน พวกมันดุร้ายเสียจนตัวข้าไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้ไร่ปศุสัตว์ของตัวเองอีกต่อไป ขอร้องท่านโยคีโปรดกรุณาไปเยี่ยมไร่ปศุสัตว์ของข้าสักครั้งด้วยเถิด”
ชาวบ้านทุกคนในที่นั้น พากันก้มลงกราบไหว้และอ้อนวอนขอให้ท่านมิลาเรปะไปที่ไร่ปศุสัตว์แห่งนั้น ท่านตอบว่า “ เรายินดีไปที่ไร่นั้น มิใช่เพราะเพื่อไร่ปศุสัตว์ของท่าน แต่เพื่อบูชาท่านอาจารย์ของเราเอง”
พวกชาวบ้านรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ชายคนหนึ่งประกาศขึ้นว่า “เอาละ พวกเราจงไปจัดหาอาหารอย่างดี และเตรียมสัมภาระให้พร้อมเพื่อการเดินทางได้แล้ว”
ท่านมิลาเรปะเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ เราเป็นผู้แสวงสันโดษ เคยชินกับการอยู่คนเดียว เราไม่ต้องการผู้ร่วมเดินทาง ทั้งไม่ต้องการอาหารชั้นเลิศแต่ประการใด เราขอขอบคุณต่อน้ำใจของพวกท่าน แต่เราต้องการเดินทางไปยังไร่ปศุสัตว์นั้นเพียงลำพังในช่วงแรก หลังจากนั้น พวกท่านค่อยไปสมทบดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
เมื่อท่านมิลาเรปะเดินทางไปถึงเชิงเขาเดรลูน จูมู เหล่าปีศาจที่สิงสถิตย์อยู่ในบริเวณนั้น พากันออกมาหลอกหลอนท่าน ใช้ฤทธิ์สร้างภาพหลอนต่าง ๆ เช่น ทำให้ยอดภูเขาแทงสูงขึ้นจนดูเหมือนทะลุถึงท้องฟ้า ทำให้ภูเขาทั้งเทือกสั่นไหวและแกว่งโยนไปมา ทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องคำรามสนั่นอย่างโกรธเกรี้ยว ท้องฟ้ามืดทมึน แสงฟ้าผ่าลงมาเป็นเส้นแปลบปลาบฟาดใส่โดยรอบ ภูเขาทั้งสองด้านของหุบเขาเดรลูน จูมู สั่นสะเทือนและเลื่อนแยกออกจากกัน แม่น้ำที่เคยไหลผ่านหุบเขาอย่างสงบ บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสายน้ำเชี่ยวกรากไหลทะลักทำลายท่วมตลิ่งทั้งสองฝั่ง ทำให้หุบเขากลายเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ไปในทันที ทะเลสาบนี้ต่อมาภายหลัง ชาวบ้านเรียกขานกันว่า ทะเลสาบอสูร
ท่านมิลาเรปะลุกขึ้นประกอบท่ามุทราศักดิ์สิทธิ์ กระแสน้ำที่ไหลท่วมหุบเขาจึงได้ลดถอยลงไป ท่านเดินไปยังที่ราบเบื้องต่ำของหุบเขา เหล่าปีศาจยังคงสำแดงฤทธิ์อยู่อย่างต่อเนื่อง ภูเขาหลายลูกสั่นสะเทือนเลือนลั่น ก้อนหินจากยอดเขาแตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย สาดกลิ้งลงมาเหมือนห่าฝนใหญ่ ทันใดนั้นเอง เทพธิดาแห่งเนินเขาได้เนรมิตเส้นทางที่ปลอดภัยให้ท่านเดิน เส้นทางนี้คดเคี้ยวไปตลอดสันเขาแลดูเหมือนทางงูเลื้อย ต่อมาชาวบ้านเรียกเส้นทางเดินนี้ว่า สันเขาฑากิณี
เหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปนี้ เป็นเพียงการพิชิตปีศาจที่มีฤทธิ์ระดับต่ำเท่านั้น พวกปีศาจและอสูรที่ดุร้ายและมีฤทธิ์เดชมากกว่ากำลังโกรธเกรี้ยวต่อความผ่ายแพ้ของปีศาจชั้นต่ำ พวกปีศาจไปชุมนุมกันที่ปลายทางของสันเขาฑากิณี รวมพลังกันเพื่อสำแดงฤทธิ์ระลอกใหม่ หวังทำร้ายและหลอกหลอนท่านมิลาเรปะ แต่ท่านได้กำหนดจิตเป็นสมาธิ และลุกขึ้นยืนประกอบท่ามุทราศักดิ์สิทธิ์อีกท่าหนึ่ง เพื่อกำราบฤทธิ์ของเหล่าปีศาจ ทำให้ภาพหลอนของปีศาจหายวับไปในพริบตา จากนั้นท้องฟ้าก็เปิดและกลับมาสว่างไสวอีกครั้งหนึ่ง ศิลาก้อนใหญ่ที่ท่านมิลาเรปะยืนประกอบมุทรา ได้ปรากฏรอยเท้าของท่านประทับอยู่บนนั้นด้วย
ต่อจากนั้น ท่านมิลาเรปะได้นั่งลงบนยอดเนินเขา เพื่อเจริญสมาธิแห่งมหาการุณยธรรม ความกรุณาอย่างลึกซึ้งต่อเหล่าสรรพสัตว์ได้ผุดขึ้นในจิตของท่าน ประสบการณ์นี้ทำให้ท่านได้ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ต่อมาภายหลัง สถานที่แห่งนี้ได้ถูกขนานนามจากชาวบ้านว่า “เนินเขาแห่งความกรุณา” หลังจากนั้น ท่านมิลาเรปะได้เดินลงไปยังริมฝั่งแม่น้ำที่มีน้ำใสสะอาด และเจริญธาราโยคะ โดยกำหนดจิตเป็นสมาธิ จดจ่อกระแสน้ำที่ไหลอย่างต่อเนื่อง
ล่วงเข้าวันที่ ๑๐ ในเดือนฤดูใบไม้ร่วง ปีเสือไฟ ปีศาจจากเนปาลตนหนึ่ง นามว่า “ภาโร” ได้นำกองทัพปีศาจและอสูรร้ายจำนวนมากมายังหุบเขาลุ่มแม่น้ำ เพื่อทำร้ายท่านมิลาเรปะ เหล่าอสูรเริ่มข่มขวัญท่านด้วยภาพลวงตา ทำให้เทือกเขาทั้งหมดสั่นไหวและถล่มทลายลงมา จากนั้นจู่โจมด้วยสายฟ้าและอาวุธต่าง ๆ ที่พุ่งถาโถมเข้าใส่ท่านราวกับพายุ พวกมันกรีดเสียงคำรามดังสนั่น “ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฉีกเนื้อมันออกเป็นชิ้น ๆ” และปรากฏรูปอันน่าเกลียด น่าสยดสยอง ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ล่องลอยไปทั่วหุบเขา
เมื่อท่านมิลาเรปะสัมผัสรู้ถึงเป้าประสงค์ของกองทัพปีศาจร้าย ท่านจึงขับลำนำบทที่ชื่อว่า “สัจจะแห่งกรรม” เพื่อเป็นคำสอนแก่เหล่าปีศาจ
ข้าขอน้อมคารวะท่านอาจารย์
และขอบูชาอาจารย์ผู้ประเสริฐทุกท่านเป็นที่พึ่ง
ท่ามกลางภาพหลอน และมายาการทั้งปวง
อันปีศาจแลอสูรชายหญิง
เนรมิตขึ้นอย่างน่าสยดสยอง
เหล่าผีเปรต อาซามะ ผู้น่าสังเวช
พวกเจ้ามิอาจหลอกหลอนข้าได้ดอก
ด้วยเหตุอันเกิดแต่กรรมในอดีตของพวกเจ้า
จึงนำเจามากำเนิดในร่างปีศาจร้าย
ด้วยจิตและกายอันพิกลพิการเช่นนี้
เจ้าจึงท่องไปอย่างผู้หลงทาง
จิตอันประกอบด้วยเพลิงกิเลส
ชักนำเจ้าสู่ความโกรธเกรี้ยวดุร้าย
โทสาคติครอบงำหัวใจและความคิดของเจ้าสิ้น
ฉะนั้น วจีกรรมและกายกรรมของเจ้า
จึงฉายโชนไปแต่เพียงการทำลายล้าง
ผ่านเสียงโหยหวนจากวาจาของเจ้า
“ฆ่ามันเสีย ฉีกเนื้อมันออกเป็นชิ้น ๆ”
ตัวข้า โยคีมิลาเรปะ ผู้ไม่ติดยึดในทวิภาค
ข้ารู้ว่าสรรพสิ่งล้วนก่อจากจิต
ข้าเยื้องย่างองอาจดุจสีหราชา
ข้าปราศจากความกลัวดั่งนักรบผู้กล้า
กายของข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธกาย
คำพูดของข้าเป็นสัจจะเดียวกับวจีขององค์ตถาคต
จิตข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับโพธิจิต
ข้าย่อมเห็นแจ้งถึงธรรมชาติอันว่างเปล่าของอายตนะ ๖
ฉะนั้น โยคีมิลาเรปะ
จึงไม่ใส่ใจการหลอกหลอนของพวกเจ้า
ด้วยกฏแห่งเหตุและผล
ด้วยกฏแห่งอิทัปปัจจยตา
ผู้ใดก่อเหตุเช่นไร ย่อมต้องรับผลเช่นนั้น
ผู้ประกอบอกุศลกรรม ย่อมต้องทนทุกขเวทนา
ตามกฏแห่งกรรม
เนื่องเพราะพวกเจ้าทุกข์ทรมานด้วยกรรมที่เจ้าก่อ
พวกเจ้าจึงไม่อาจเข้าถึงความจริงแท้
ตัวข้า โยคีมิลาเรปะ
จะเทศน์ธรรมเพื่อสอนพวกเจ้า
สัตว์โลกทั้งหลาย
ล้วนเปรียบเป็นบิดาและมารดาของข้า
การทำร้ายผู้ควรกตัญญู
ย่อมเป็นสิ่งโง่เขลาเบาปัญญา
พวกเจ้าจะพบปีติและเบิกบาน
หากพวกเจ้าเพิกถอนมิจฉาทิฏฐิเสียได้
พวกเจ้าจะพบแต่โชควาสนาอันพึงประสงค์
หากพวกเจ้าถือตามกุศลกรรม ๑๐
จงจดจำถ้อยคำของข้า
จงใคร่ครวญหาความหมาย
จงพยายามเคี่ยวกรำตน
พิจารณาอย่างถ้วนถี่
ถึงนัยยะอันแท้จริงในธรรมเทศนาของข้า
เมื่อท่านมิลาเรปะเทศน์จบ เหล่าปีศาจพากันหัวเราะและพูดเยาะเย้ย “บทเพลงเพ้อเจ้อของเจ้า ไม่อาจหลอกลวงข้าได้หรอก พวกข้าจะไม่ยุติการหลอกหลอนเจ้า” พูดจบเหล่าปีศาจก็รวมพลังกันแสดงอภินิหารให้น่ากลัวเพิ่มขึ้นอีก
ท่านมิลาเรปะพิจารณาอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าเหล่าอสูร ภูติและผีเปรต จงตั้งใจฟังให้ดี เนื่องเพราะมหากรุณาคุณของท่านอาจารย์มาร์ปะ เราจึงสำเร็จเป็นโยคีผู้ตระหนักรู้ในความจริงสูงสุด สำหรับตัวเราแล้ว อุปสรรคและความทรมานอันเกิดจากการกระทำของพวกเจ้า นับเป็นเกียรติและนำความยินดี ยิ่งเจ้าหลอกหลอนเรามากเท่าใด เราก็ยิ่งเข้าใกล้เส้นทางแห่งพระโพธิสัตว์มากขึ้นเท่านั้น
บัดนี้ พวกเจ้าจงตั้งใจฟังธรรมคีตาว่าด้วย “เครื่องประดับ ๗ ประการ “
ข้าขอน้อมบูชาท่านอาจารย์มาร์ปะ
ตัวข้า มิลาเรปะ
ผู้เห็นทะลุถึงความจริงแท้ของชีวิต
ขอขับคีตาแห่งเครื่องประดับทั้ง ๗
พวกเจ้า เหล่าอสูร ผีเปรต และภูติพราย
จงเอียงหูของเจ้าเข้ามาใกล้
จงตั้งใจฟังธรรมบรรยายของข้าให้ดี
ใจกลางขุนเขาแห่งจักรวาล
คือที่ตั้งแห่งยอดพระสุเมรุ
ฟ้าครามส่องสว่างคลุมแผ่นดินมนุษย์ ณ เบื้องทิศใต้
เวหาหาวงามพิสุทธิ์เหนือพื้นโลก
สีฟ้าจากสรวงสวรรค์คือเครื่องประดับอันงามงด
เหนือยอดพฤกษ์วิเศษแห่งเขาพระสุเมรุ
พระอาทิตย์และพระจันทร์
แผ่รัศมีส่องคลุมทั่วทวีปทั้ง ๔
พญานาคราชสำแดงฤทธิ์ด้วยเมตตา
สาดสายฝนฉ่ำเย็นจากฟ้ากว้าง
คือความงามอันเป็นเครื่องประดับแก่พิภพ
ละไอหมอกคลุมทั่ว
จากพื้นสมุทรจรดสวรรค์
แหล่งกำเนิดคือหมู่มวลเมฆ
คือมูลเหตุแห่งความแปรเปลี่ยนของสรรพธาตุ
สายรุ้งแห่งคิมหันตฤดู
ทอดโค้งเหนือทุ่งกว้าง
พาดสายอ่อนละมุนเหนือหุบดอยและขุนเขา
สายรุ้งคือความงามอันเป็นเครื่องประดับแก่ผืนโลก
ยามฝนโปรยสายสู่ห้วงมหาสมุทรแห่งทักขิณาทิศ
พฤกษานานาพรรณเปล่งดอก ชูช่อ ออกผล
เป็นรางวัลแด่สรรพชีวิตทั่วหล้า
เป็นความงาม เป็นเครื่องประดับอันวิเศษ
ตัวข้า โยคีผู้ปรารถนาสันโดษ
ภาวนายังวิเวกด้วยจิตว่าง
สงัดอยู่ในอำนาจความสงบ
พวกเจ้าเหล่าปีศาจผู้ใช้ฤทธิ์ในทางที่ผิด
สำหรับข้า โยคีมิลาเรปะ
เวทมนต์แห่งอสูร และฤทธิ์ภูติพราย
คือความงาม คืออาภรณ์ประดับสำหรับข้า
พวกเจ้า เหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย
จงเข้ามาใกล้ และตั้งใจฟัง
จงจำไว้ให้ดีว่าข้าคือโยคีมิลาเรปะ
หัวใจข้าผลิบานด้วยดอกไม้แห่งความรู้แจ้ง
ข้าขับขานคติธรรมด้วยเสียงกังวานใส
ด้วยถ้อยความอันเป็นธรรมสัจจ์
ด้วยการุณยจิตอันข้ามีต่อพวกเจ้า
ข้าขอมอบคำสอนนี้แก่พวกเจ้า
หากแม้นหัวใจของพวกเจ้า
มีหน่อเนื้อแห่งโพธิจิต
เจ้าจักสามารถชนะกิเลสด้วยตัวเจ้าเอง
เจ้าจะพบสุขและทางอิสระ
โดยสลัดทิ้งซึ่งอกุศลกรรมทั้ง ๑๐ เสีย
หากเพียงพวกเจ้าเจริญตามคำสอนนี้
หนทางบรรลุธรรมรอเจ้าอยู่
หากเพียงพวกเจ้าปฏิบัติธรรมตั้งแต่บัดนี้
ความสุขอันเป็นนิรันดร์จักเป็นของเจ้า
เมื่อท่านมิลาเรปะขับร้องธรรมคีตาจบลง ปรากฏว่าปีศาจหลายตนยุติการสำแดงฤทธิ์ หันมาเลื่อมใสศรัทธาท่าน ปีศาจตนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ ท่านก็คือมหาโยคีผู้เปี่ยมด้วยพลังอันน่าเลื่อมใส หากปราศจากคำสอนเกี่ยวกับความจริงแท้ ซึ่งท่านกรุณาสาธยายแก่พวกข้า พวกข้าคงไม่มีวันพบทางสว่างแห่งความเข้าใจแจ้ง นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะไม่หลอกหลอนทำร้ายท่านอีก แต่ข้ายังคงปรารถนาที่จะได้รับคำสอนเกี่ยวกับเรื่องกฏแห่งกรรมจากท่านต่อ ข้ารู้ตัวดีว่า ปีศาจและอสูรอย่างพวกข้า มีข้อจำกัดทางสติปัญญา ทั้งวิชชาและอวิชชา จิตของพวกเราจมปลักอยู่ในหนองบึงแห่งกิเลสตัณหา ขออ้อนวอนท่านโยคี โปรดมอบคำสอนที่มีความหมายลึกซึ้งมีประโยชน์และเข้าใจง่าย เพื่อให้พวกข้าจะได้ปฏิบัติตามด้วยเถิด
ท่านมิลาเรปะ จึงเทศนาโศลกที่ว่าด้วย “คีตาแห่งสัจจะทั้ง ๗“ เป็นคำสอนแก่เหล่าปีศาจ
ขอน้อมบูชาท่านอาจารย์มาร์ปะ
นักแปลผู้ยิ่งใหญ่
อธิษฐานขอท่านช่วยนำข้าสู่โพธิจิต
แม้นธรรมคีตาจักบรรเลงได้ไพเราะเพียงใด
หากผู้ฟังมิอาจเข้าถึงความจริงแห่งถ้อยความ
คีตานั้นจักเป็นได้เพียงท่วงทำนองสามัญ
ถ้อยภาษิตใดไม่พ้องด้วยพระธรรม
ต่อให้เขียนด้วยคารมคมคายเพียงใด
ภาษิตนั้นจักเป็นได้เพียงเสียงสะท้อนซึ่งผ่านไปในอากาศ
หากไม่ปฏิบัติธรรม
ต่อให้ยกคัมภีร์ใดมากล่าวอ้าง
ผู้นั้นจักเป็นได้เพียงผู้หลอกลวงตน
การปลีกวิเวกจะเป็นเพียงคุกจองจำตัวเอง
หากไม่ปฏิบัติตามคำสอนที่อาจารย์ถ่ายทอดให้
ความเพียรอย่างเหนื่อยยากจะกลายเป็นการทรมานตน
หากละเลยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
สำหรับผู้ไม่รักษาศีล
การสวดอธิษฐานจักเป็นเพียงคำเพ้อเจ้อ
และสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ตนเที่ยวสั่งสอนผู้อื่น
วาทกรรมนั้นถือเป็นคำลวงโลก
ละเว้นการทำชั่วเสีย บาปจะลดลง
เพียรทำความดี บุญจะเพิ่มปรากฏ
จงรักษาสันโดษ และหมั่นภาวนา
พูดมากไปนั้นไร้ประโยชน์
จงฟังสิ่งที่ข้าสอน
และปฏิบัติธรรมเสียแต่เดี๋ยวนี้
เมื่อท่านมิลาเรปะเทศน์เรื่อง “ความจริง ๗ ประการ” จบลง ปีศาจกลุ่มหนึ่งเกิดความเลื่อมใสยิ่ง พากันเข้ามากราบไหว้และเดินประทักษิณรอบตัวท่านเพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นปีศาจส่วนใหญ่ได้พากันกลับไปที่อยู่ของตนแล้ว ยังคงเหลือแต่หัวหน้าปีศาจนาม ภาโร และสมุนที่ดุร้ายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งยังคงพยายามสำแดงฤทธิ์ สร้างภาพลวงตาที่ชวนขนพองสยองเกล้า หลอกหลอนท่านมิลาเรปะต่อไป แต่ท่านกลับโต้ตอบพวกปีศาจกลุ่มนี้ ด้วยบทเพลงที่ชื่อว่า “ความจริงแห่งความดีและความชั่ว”
ข้าขอน้อมคารวะแทบเท้าท่านอาจารย์มาร์ปะผู้ประเสริฐ
พวกเจ้าเหล่าปีศาจร้าย
ความโกรธเกลียดยังครอบงำจิตใจเจ้าอยู่ใช่ไหม
ร่างอันใหญ่โตของเจ้า
แม้จะเหาะไปได้ไกลถึงขอบฟ้า
แต่จิตใจของพวกเจ้า
กลับเปี่ยมด้วยมิจฉาทิฏฐิ
พวกเจ้าแยกเขี้ยวเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้าน
แต่จงจดจำไว้เถิดว่า
ยามใดที่พวกเจ้าทำร้ายผู้อื่น
ทุกข์นั้นจักย้อนกลับคืนมาสู่พวกเจ้าเสมอ
กฏแห่งกรรม คือกฏแห่งความจริง
ไม่มีใครหนีกฏแห่งกรรมพ้นดอก
เจ้าคือผู้ก่อทุกข์แก่ตัวเจ้าเองเสมอ
พวกเจ้า เหล่าอสูรและภูติผีที่น่าสงสาร
พวกเจ้าล้วนว่ายวนอยู่ในบาปและความไม่รู้
ข้ารู้สึกสังเวชพวกเจ้ายิ่งนัก
เนื่องด้วยบาปที่พวกเจ้าก่อ
จิตของพวกเจ้าจึงดุร้ายและเกรี้ยวกราด
นับแต่พวกเจ้าเริ่มเข่นฆ่าทำร้าย
ลิ้นของเจ้าจึงอร่อยในรสเลือดและเนื้อสด
เพราะพวกเจ้าเฝ้าแต่จะเอาชีวิตผู้อื่น
พวกเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นเปรตผู้หิวโหยอยู่เยี่ยงนี้
อกุศลกรรมชักนำพวกเจ้า
ดิ่งลึกลงสู่ความเลวทรามต่ำช้า
กลับตัวเถิดมิตรสหายของข้า
กลับตัวกลับใจจากกับดักแห่งอกุศลทั้งปวง
จงตั้งเจตนาเพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้
อันพ้นไปจากความปรารถนาและความกลัวใด ๆ
เมื่อท่านมิลาเรปะขับคีตาว่าด้วยความจริงของกรรมดีและกรรมชั่วจบ เหล่าปีศาจร้ายยังคงพากันหัวเราะและพูดเยาะเย้ยท่านว่า “เจ้านักเทศน์จอมปลอมฝีปากกล้า สิ่งที่เจ้าสาธยายมาล้วนน่าประทับใจ แต่พวกข้าจะเชื่อได้อย่างไร ว่าเจ้าได้ปฏิบัติจนเข้าถึงความจริงดังว่าแล้ว”
ท่านจึงตอบกลับด้วยคีตาโศลกนี้ “ความเชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์”
ข้าคือโยคี ผู้เข้าถึงความจริงสูงสุด
ข้าเชื่อมั่น นับแต่ครั้งยังอยู่ในครรภ์มารดา
บนเส้นทางแห่งวัฏสงสารนี้
ข้าค่อย ๆ ชำระตนให้บริสุทธิ์
ด้วยสัญญาณและถ้อยคำที่มากความหมาย
ด้วยเมตตาจิตที่ไหลเลื่อนจากใจข้า
บัดนี้ ข้าจะขับขานคีตาจากแก่นธรรม
เพราะพวกเจ้าทำบาปไว้มาก
ดวงตาของเจ้าจึงขุ่นมัวและมืดบอด
หัวใจของพวกเจ้าเข้าไม่ถึงความจริงแท้
ปัญญาของพวกเจ้าไม่เข้าใจความหมาย
ดังนั้น จงตั้งใจฟังให้ดี
นี่คือทางลัดสู่ความจริง
พระสูตรบริสุทธิ์แต่โบราณ
อีกทั้งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แต่กาลก่อน
ล้วนตรัสถึงความจริงแห่งกรรมดังนี้
สัตว์โลกทั้งหลายล้วนผูกพันเป็นพี่น้อง
นี่คือความจริงแท้แห่งสายสัมพันธ์
ขยับเข้ามาใกล้ ๆ และจงตั้งใจฟัง
คำสอนแห่งกรุณาธรรม
ข้าคือโยคีผู้เคี่ยวกรำตนด้วยการปฏิบัติ
ข้ารู้ดีว่าอุปสรรคภายนอกทั้งหลายล้วนเป็นเพียงเงา
ภาพหลอนมายาทั้งปวงนั้นเล่า
ก็เป็นเพียงการเล่นกลของจิตอันไม่ปรากฏ
หากมองเข้าไปให้เห็นถึงธรรมชาติเดิมแท้ของจิต
ย่อมไร้แก่นสารและว่างเปล่า
จงเจริญภาวนาอย่างสงบ
ด้วยเมตตาธรรมและกรุณาธรรมจากคุรุทุกท่านที่บรรลุแล้ว
และด้วยคำสอนของท่านนาโรปะ
จงใช้สัจธรรมอันอยู่ภายในองค์พระพุทธ
เป็นเครื่องเหนี่ยวนำจิตภาวนา
ข้าถ่องแท้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งแห่งตันตระ
เนื่องเพราะอาจารย์ข้ามีวิธีการสอนที่ดี
พลังภายในของข้าบังเกิดขึ้นได้
เพราะข้าปฏิบัติโยคะแห่งการตื่นรู้
และอนุตตระโยคะแห่งความบริสุทธิ์
เมื่อข้าหยั่งรู้ถึงปรมาณูภายในได้ทั่วแล้ว
ใยข้าต้องหวาดกลัวกับอุปสรรคมายาจากโลกภายนอกด้วยเล่า
พุทธาจารย์และมหาโยคีทั้งหลาย
ล้วนสอนตรงกันดังนี้
หากมีสติพิจารณาจิตอยู่ทุกขณะ
ความคิดปรุงแต่งจะอันตรธานไปสิ้น
ภายในมณฑลแห่งพระธรรมธาตุ
ไม่ปรากฏทุกข์ ทั้งก็ไม่มีผู้ทุกข์
จงเชื่อเถิดว่า
แม้นพระสูตรที่ละเอียดที่สุด
ก็มิได้สอนอะไรยากไปกว่านี้
เมื่อท่านมิลาเรปะสาธยายจบ หัวหน้าปีศาจและเหล่าสมุนที่ดุร้ายได้พากันบูชาหัวกระโหลกแก่ท่าน พร้อมกับก้มลงกราบแล้วเดินวนประทักษิณรอบตัวท่านหลายรอบ เป็นการแสดงความนับถือเลื่อมใส เหล่าปีศาจได้สัญญากับท่านว่าจะถวายอาหารแก่ท่านตลอดทั้งเดือน จากนั้นค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนรุ้งกินน้ำที่ค่อย ๆ จางไปจากขอบฟ้า
อรุณรุ่งวันใหม่ ปีศาจภาโรจากเมืองมอน ได้พาภูติสาวที่แต่งกายอย่างสวยงาม และบริวารอีกจำนวนหนึ่ง นำเมรัยใส่แก้วเจียรนัยพร้อมกับอาหารในถาดเงินมาถวายท่าน ทั้งยังสัญญาว่าจะปรนนิบัติรับใช้และเชื่อฟังท่านตลอดไป เหล่าปีศาจก้มลงกราบไหว้ท่านอีกหลายรอบ ก่อนที่จะพากันหายตัวไป ในจำนวนนี้ยังมีปีศาจตนหนึ่งชื่อว่า จาร์โป ทอนเดรม ซึ่งเป็นหัวหน้าของเทพหลายองค์รวมอยู่ด้วย
จากประสบการ์ครั้งนี้ทำให้ท่านมิลาเรปะได้รับความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ท่านพำนักอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้ต่ออีกหนึ่งเดือนอย่างเบิกบาน
วันหนึ่งท่านระลึกได้ถึงขุนเขาลาชิ สถานที่มีชื่อว่าน้ำบริสุทธิ์ จึงตัดสินใจออกเดินทาง ในระหว่างทาง ท่านเดินผ่านทุ่งดอกไม้ ผ่านทุ่งกุหลาบซึ่งมีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ใต้เชิงผา ท่านนั่งพักอยู่ที่ก้อนหินใหญ่ก้อนนี้ พลันเทพธิดาหลายนางปรากฏตัวขึ้น พวกนางคารวะ และถวายเครื่องบูชาแก่ท่าน หนึ่งในเทพธิดาได้ประทับรอยเท้าสองรอยไว้ที่ก้อนหินนั้น ก่อนที่จะพากันเลือนหายไปเหมือนสายรุ้ง
ระหว่างทางต่อมา ท่านมิลาเรปะได้เผชิญการหลอกหลอนจากปีศาจท้องถิ่นอีกแห่งหนึ่ง เหล่าปีศาจได้ชุมนุมกันสำแดงฤทธิ์ สร้างภาพหลอนเป็นโยนีมหึมาขึ้นขวางทาง ท่านเพ่งจิตเป็นสมาธิ และประกอบท่ามุทรา เผยองคชาติที่ตั้งชูชัน แล้วย่างสามขุมต่อไปเบื้องหน้าอย่างมีสติ เดินผ่านปีศาจที่แปลงกายเป็นโยนี ๙ ตน จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีก้อนหินรูปร่างเหมือนช่องคลอดสตรีตั้งตระหง่านอยู่ ท่านมิลาเรปะนำศิลารูปองคชาติสอดแทงเข้าไปในช่องว่างของศิลารูปโยนี ทันใดนั้นภาพหลอนยั่วกามตัณหาที่เหล่าปีศาจสร้างขึ้นก็กระจายหายวับไปในอากาศ ต่อมาภายหลังสถานที่แห่งนี้ชาวบ้านเรียกว่า ลัดคุ ลันคุ
เมื่อท่านมิลาเรปะเดินทางมาได้ครึ่งทาง ปีศาจภาโรได้ย้อนกลับมาต้อนรับท่าน และได้จัดเตรียมธรรมาสน์ เพื่อให้ท่านนั่งสาธยายธรรมให้พวกตนฟัง ท่านจึงบรรยายเรื่องกรรมอย่างง่าย ๆ ที่ปีศาจสามารถเข้าใจได้ เมื่อเหล่าปีศาจฟังคำสอนจบ ต่างพากันหายตัวเข้าไปในก้อนหินก้อนใหญ่ตรงหน้า
ท่านมิลาเรปะมีความปีติอย่างยิ่ง จึงพำนักอยู่ที่ทุ่งนี้ต่ออีกหนึ่งเดือน จากนั้นจึงเดินทางย้อนกลับผ่านหมู่บ้าน ยานอน ซาร์มะ ที่ซึ่งชาวบ้านขอให้ท่านช่วยปราบปีศาจร้าย ท่านได้เล่าให้ชาวบ้านฟังว่า เหล่าปีศาจล้วนกลับตัวกลับใจหมดแล้ว และสถานที่แห่งนั้น บัดนี้เหมาะจะเป็นสถานสำหรับปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งอีกด้วย ท่านกล่าวว่าท่านจะกลับไปเจริญสมาธิ ณ สถานที่นั้นอีกในไม่ช้านี้ ชาวบ้านพากันกราบไหว้ท่านด้วยความศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง
(จากหนังสือธรรมคีตาของโยคีมิลาเรปะ ตอนเส้นทางสู่ขุนเขาลาชิ แปลโดย สมพร อมรรัตนเสรีกุล (ครูส้ม))