"จิตในห้วงจินตนาออกมาเห็น พระจันทร์เพ็ญเด่นดวงในห้วงฝัน
กระต่ายร่ายสำนวนชวนชมจันทร์ และเป็นฉันที่สมควร...ถูกชวนชม
กลางสายลมพรมพร่างน้ำค้างฉ่ำ หวานลำนำค่ำวันจันทร์สวยสม
ฟังกระต่ายร่ายมนต์จนหลงลม มานั่งชมจันทร์เพ็ญเป็นเพื่อนเธอ"
"คืนนี้พระจันทร์สวยเหลือเกิน "
ฉันนั่งหลังอิงโคนต้นไม้ แหงนมองพระจันทร์ด้วยดวงตาว่างเปล่า ข้อความ
เหล่านั้นเป็นการหวนนึกถึงอดีต ที่เคยทำให้ฉันมานั่งอยู่ตรงนี้ ในบรรยากาศ
คล้ายคืนนี้ โดยมีเขานั่งอยู่เคียงข้าง พระจันทร์คืนนั้นสวยงามอย่างที่สุด
จนฉันอดไม่ได้ จึงเผลอพึมพำประโยคนั้นออกมา แม้ว่าความจริงเรานั่งอยู่ใน
บรรยากาศของคืนวันเพ็ญเท่านั้น ดวงตาของเราไม่ค่อยได้แหงนมอง เพื่อจะ
ซึมซับความงามของดวงจันทร์เท่าไหร่เลย แม้แต่ภูมิทัศน์ท้องทุ่งรอบกายที่ควร
จะดึงดูดสายตาจนไม่อาจจะละไปได้ ก็ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร สายตาของ
เรามักจะหันมาจับจ้อง อยู่ที่คู่สนทนาเสียมากกว่า แม้ว่าแสงสว่างอันเลือนราง
ใต้เงาไม้ที่เรานั่งหลบอยู่ เหมือนอายแสงจันทร์กระจ่างนั้น ทำให้เราแทบมองไม่
เห็นหน้าเห็นตาซึ่งกันและกัน แต่ในยามนั้นแสงสว่างไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด
เพราะเราคุยกันด้วยหัวใจมากกว่า
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะมีโอกาสมานั่งชมจันทร์ด้วยกัน" ฉันเอ่ยเบา ๆ คล้ายรำพึง
" ที่ไหนมีพระจันทร์ ที่นั่นย่อมมีกระต่าย" เขาพูดต่อจากประโยคของฉัน
"แล้วกระต่ายก็ไม่เคยหยุดคิดว่าตัวเองต้อยต่ำ " ฉันต่อประโยคของเขาด้วย
การคิดในใจ
ฉันอยากถามเหลือเกินว่า กระต่ายที่ออกมากระโดดโลดเต้นตะกายพระจันทร์
อยู่นี้ คิดอย่างไร รักพระจันทร์หรือเปล่า แต่ฉันก็เป็นคนแปลกเสมอ แม้มีความอยาก
รู้เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่มักไม่ค่อยชอบถาม มักจะหาคำตอบเอาจากการประเมินของตนเอง
คืนนั้นก็เช่นกัน ใจฉันคงประเมินแล้วจึงรู้สึกอบอุ่นขณะที่นั่งอยู่กับเขา ก่อนที่ใจฉัน
จะคิดเตลิดไปถึงเรื่องอื่น ฉันก็ดึงสมาธิคืนมาได้ คืนนี้เขาชวนฉันมาชมจันทร์ ฉัน
ต้องดึงหัวใจให้อยู่ในประเด็น ฉันเงยมองพระจันทร์อีกครั้งแล้วพูดเบา ๆว่า
"พระจันทร์เป็นเทพบุตรรูปงามอรชรอ้อนแอ้นในนิยายโบราณของชาวอินเดีย"
ฉันหยุดเว้นจังหวะ มองหน้าเขา ว่าเขาพร้อมที่จะชมจันทร์ไปกับฉันแล้วหรือยัง
"อะไร " เขาคงงงและฉันคิดว่าเขามีเครื่องหมายคำถามอยู่ในสายตาด้วย
"ก็คุณชวนมาชมจันทร์ ฉันกำลังเริ่มชมค่ะ " ฉันตอบด้วยอารมณ์ขัน ๆ
"งั้นชมต่อไป " เขาประชดซึ่งเข้าทางฉันพอดี
"พระจันทร์มีชายา 27 นาง ซึ่งเป็นพี่น้องกันและเป็นธิดาของท้าวทักษประชาบดี "
"อันนี้ชมพระจันทร์ หรือตำหนิ " เขาขัด
"แต่พระจันทร์ทุ่มเทความรักให้นางโรหิณี ชายาที่ 4 จนละเลยชายาอื่น ๆ "
"ทำไมหล่ะ "
"ก็ธรรมดาของบุรุษย่อมหลงรูปโฉมสะคราญ "
ฉันตอบและเหน็บไปในตัว
"แต่นางมีคุณสมบัติดีด้วยคือมีกิริยามารยาทเรียบร้อย ไม่มีความโลภ พระจันทร์จึงเกิด
ความลำเอียงและใครไม่รู้กล่าวไว้ว่า ครอบครัวใดสตรีหาความสุขมิได้ ครอบครัวนั้น
ย่อมพินาศหายนะ ครอบครัวใดสตรีสุขกายสบายใจ ครอบครัวนั้นย่อมรุ่งเรื่องไพบูลย์"
"งั้นครอบครัวนี้มีปัญหาแน่เลย " เขาเสริม
"ชายาทั้ง 26 พากันไปร้องห่มร้องไห้กล่าวโทษที่พระจันทร์ทำให้พวกนางทุกข์
ระทม ขอให้บิดานางซึ่งเป็นผู้ทรงตบะฌานลงโทษพระจันทร์ ค่ะ " ฉันตอบ แล้วเล่าต่อ
" พระจันทร์จึงถูกสาปให้เป็นโรคร้ายร่างกายผ่ายผอมลงทุกวัน และจะต้องตายหลังจาก
ถูกคำสาป 15 วัน แสงสว่างในตัวก็จะดับไป หลังจากถูกคำสาปพระจันทร์ก็เริ่มป่วย
กะทันหัน ผอมแห้งลงอย่างผิดหูผิดตา 14 วันผ่านไป ร่างกายเธอก็เหลือเพียงเส้นเรียว
เล็ก ๆ ส่องสลัวอยู่ในฟากฟ้า "
"ทายว่าต้องมีคนช่วย " เขาพูดเป็นเชิงถาม
"นางโรหิณีตระหนักแล้วว่าวันรุ่งขึ้น พระจันทร์จะต้องถึงกาลกิริยาแน่ หลังจากนั้น
โลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ก็จะมืดมิด นางจึงไปขอร้องชายาทั้ง 26 ให้ไปเยี่ยมพระ
จันทร์เมื่อพวกนางได้เห็นสภาพของพระจันทร์ ความโกรธก็หายไป จึงพากันไปเฝ้าบิดา "
"ให้ถอนคำสาปละซี"
"ไม่ใช่ค่ะ สาปแล้วคืนไม่ได้ แต่พ่อก็ใจอ่อนกับลูกเสมอ ท่านจึงสาปต่อจากครั้งที่แล้วว่า
ในวันรุ่งขึ้นพระจันทร์จะค่อย ๆ ฟื้นคืนชีพ ร่างกายจะค่อย ๆ เจริญขึ้น พร้อมกับทวีแสง
สดใส ครั้นครบ 15 วัน ร่างกายก็แข็งแรงดังเดิม หมุนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป "
"แล้วไงอีก "
"ระยะที่พระจันทร์เจริญเติบโดสว่างไสวขึ้น เรียกว่าข้างขึ้น หรือ ศุกลปักษ์ อ่านว่า
สุก-กละ-ปัก ค่ะ "
"แล้วข้างแรมหล่ะ"
"คือระยะที่ดวงจันทร์ร่อยหรอมืดมัวลง เรียกว่า กัณหปักข์ อ่านว่า กัน-หะ-ปัก ค่ะ"
"ชมพระจันท่ร์เสียละเอียดยิบเลยนะ สมกับที่ชวนมาชมจันทร์จริง ๆ" เขาประชด
"ยังไม่หมดค่ะ คืนวันเพ็ญในหน้าหนาวเมื่อพระจันทร์อยู่สูงเหนือศีรษะ จะเห็น
พระจันทร์เป็นสีเงิน แต่ในฤดูร้อนจะเห็นพระจันทร์สีเหลืองนวลเหมือนที่กวีชอบ
พรรณนา ค่ะ "
"เพราะอะไรเหรอ ?
"เพราะเรามองผ่านความหนาบางของชั้นบรรยากาศไม่เท่ากันค่ะ"
"ชมพระจันทร์จบแล้วยัง "
"จบแล้วค่ะ " ฉันตอบ ทั้งที่ได้ยินเสียง บทพระราชนิพนธ์เรื่อง
"มัทนะพาธา" ชัดเจนอยู่ในสมอง
ชัยเสน : พะจีว่าจะรักยืด................บจางจืดสิเนหา
สบถให้ละต่อหน้า..........พระจันทร์แจ่ม ณ เวหน
มัทนา : พระกล่าวอ้างพระจันทร์นี้.....ชะรอยทีมิชอบกล
ชัยเสน : เพราะเหตุใดละหน้ามน ?
มัทนา : ..................................................เพราะเดือนนั้นมิมั่นคง
ณ ข้างขึ้นสิหงายแจ่ม...........กระจ่างสดและกลดทรง
ณ ข้างแรมบเห็นองค์..........พระจันทร์เจ้า ณ ราตรี.
รู้สึกเหมือนมีสายลมพัดมาแผ่ว ๆ บรรยากาศทุกอย่างช่างเหมือนเดิม เพียงแต่คืนนี้
"ข้างขึ้น บ เห็นองค์ กระต่ายน้อย ณ ราตรี " มีฉันนั่งรำพึงถึงพระจันทร์เพียงคนเดียว
" พะจีว่าจะรักยืด บจางจืดสิเนหา" อยากถามพระจันทร์เหลือเกินว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน
ชวนใครไปนั่งชมจันทร์ด้วยหรือเปล่า มีน้ำสองสามหยดหล่นลงบนมือฉัน ฉันพลิกมือ
เช็ดกับเสื้อที่สวมอยู่ แล้วลุกเดินออกจากโคนต้นไม้อย่างเดียวดาย
อวสาน อวสาน อวสาน