ในอดีตกาลนานโพ้น ยังมีราชอาณาจักรแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ มีมหานทีไหลเอื่อยๆผ่าน
เมืองอยู่ชั่วทิพาราตรี ในพระราชวังมีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งนามว่า จันทราเทวี ทรงเจริญวัยได้สิบพระชันษา
และกำลังย่างเข้าพระชันษาที่สิบเอ็ด อยู่มาในวันหนึ่ง เจ้าหญิงทรงเสวยตำลูกยอมากจนเกินไป จึงทำให้รู้สึกไม่
สบาย จนถึงกับประชวรล้มหมอนนอนเสื่อ
ครั้นหมอหลวงมาถึงก็ได้ตรวจอาการ มีตรวจอุณหภูมิ คลำชีพจร และยังขอให้เจ้าหญิงแลบพระชิวหาออกมา
เพื่อตรวจอีกด้วย หมอหลวงรู้สึกเป็นกังวลมาก จึงใช้ให้ม้าเร็วไปทูลเชิญพระราชาเสด็จมาเยี่ยมดูอาการของเจ้า
หญิงเป็นการด่วน เมื่อพระราชบิดามาถึง พระองค์จึงตรัสกับเจ้าหญิงว่า
“หัวใจของเจ้าปรารถนาในสิ่งใด ฉันจะหามาให้ทุกอย่าง”
“มีอะไรที่พอจะเป็นสิ่งสุดยอดปรารถนาของเจ้าบ้างไหม” พระองค์ทรงตรัสถามพระธิดา
“มี เพคะ” เจ้าหญิงทูลตอบ
“หม่อมฉันอยากได้ดวงจันทร์ ถ้าได้ดวงจันทร์แล้ว หม่อมฉันก็จะหายจากการประชวรและกลับมีสุขภาพดีดัง
เดิม”
ด้วยพระราชาทรงมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนัก ซึ่งล้วนแล้วแต่ฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ว่าพระองค์จะประสงค์ใน
สิ่งใด พวกเขาก็สามารถจัดหามาทูลถวายได้ทั้งนั้น พระองค์จึงตรัสกับพระธิดาว่าเธอจักได้ดวงจันทร์อย่างแน่
นอน ครั้นพระราชาเสด็จกลับถึงท้องพระโรง พระองค์จึงทรงรับสั่งให้นำท่านอุปราชหลวงเข้าเฝ้าทันที
ท่านอุปราชหลวง เป็นคนรูปร่างใหญ่ อ้วนอุ้ยอ้าย สวมแว่นตาขยายอันหนาเตอะ จึงทำให้เห็นดวงตาของท่านมี
ขนาดใหญ่ขึ้นถึงสองเท่า และทำให้ดูเหมือนว่าท่านเป็นคนเฉลียวฉลาดมากกว่าความเป็นจริงของท่านถึงสอง
เท่าอีกด้วย
“ฉันประสงค์ จะได้ดวงจันทร์” พระราชาทรงตรัส
“เจ้าหญิงจันทราเทวี ต้องการดวงจันทร์ ถ้าเธอได้มันแล้ว เธอก็จักหายจากการประชวร”
“ดวงจันทร์!”
ท่านอุปราชหลวงอุทานขึ้น ดวงตาของท่านเบิกโพง ยิ่งทำให้ท่านดูเฉลียวฉลาดมากกว่าความเป็นจริงของท่านถึง
สี่เท่า
“ถูกต้องแล้ว ดวงจันทร์” พระราชาตรัสย้ำ
“ดอ สระ อัว งอ ดวง และ จอ ไม้หันอากาศ นอ จัน ดวงจันทร์ เอาล่ะ ไปนำมาให้ภายในคืนนี้เลยหรือพรุ่งนี้
เป็นอย่างช้า”
ท่านอุปราชหลวง เหงื่อแตกพลั่ก ต้องคว้าผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากอันกว้างของท่านอยู่ไปมา
พลางก็ถอนหายใจไล่ลมผ่านจมูกอยู่ฟืดฟาด
“ขอเดชะ ตลอดเวลาที่ทำราชการสนองพระเดชพระคุณนั้น หม่อมฉันมีผลงานหลายสิ่งหลายประการอันยิ่งใหญ่
ซึ่งเป็นคุณแก่ราชสำนัก” ท่านอุปราชหลวงกราบทูล
“คือเผอิญว่ามีบัญชีรายการผลงานเหล่านั้นติดตัวมาด้วย” ท่านอุปราชหลวงกล่าวพร้อมกับคลี่ม้วนสมุดข่อย
ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ขอพระราชทาน อ่านให้ฟัง พะยะค่ะ” ท่านอุปราชหลวงเพ่งดูรายการในม้วนสมุดข่อย พร้อมกับทำหน้านิ่ว
คิ้วขมวด
“ผลงานของหม่อมฉันมีดังต่อไปนี้ ได้งาช้าง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี นกยูง มุกดา หมาดำ อำพัน แมงคับ ทับทิม
พิมเสน มรกต โคตรเพชร เกล็ดนาคราช หยาดน้ำตานางเงือก เปลือกไข่คน ผลนารี ดีตะกวด หนวดเต่า
เขามังกร หงอนนาค ปากครุฑ มนุษย์วานร และ ขอนไม้กฤษณา และ ปลาร้าสองไห ไข่สองจาน น้ำตาลสอง
ช้อน ชิมก่อนใส่เกลือ ขออภัย พะยะค่ะ อันหลังๆนี่ ภรรยาของหม่อมฉันเขียนสูตรทำกับข้าว”
“ฉันจำไม่ได้ว่ามีหมาดำด้วยหรือ” พระราชาตรัส
“หมาดำก็มีอยู่ในรายการด้วยพะยะค่ะ แต่ว่ามีรอยขีดฆ่าออกด้วยเส้นดินสอเบาๆ” ท่านอุปราชหลวงรีบกราบ
ทูล
“มันคงเป็นหมาดำที่พระองค์ทรงลืมกระมัง พะยะค่ะ”
“เอาล่ะ มันจะมีหมาดำหรือไม่มีก็ไม่เป็นไร” พระราชาตรัสต่อ
“แต่สิ่งที่ฉันต้องการอยู่ในเวลานี้คือดวงจันทร์”
“หม่อมฉันได้ส่งคนออกไปไกลโพ้นถึง กรุงจีน ถิ่นคนขาว ชาวอาหรับ และดินแดนลึกลับแห่งคนดำ และก็ได้
มาซึ่งสิ่งอันพึงประสงค์ทุกประการตามที่ได้ทูลถวายแด่พระองค์” ท่านอุปราชหลวงกราบทูล
“แต่ดวงจันทร์นั้นเป็นเรื่องนอกประเด็น ซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง สามหมื่นห้าพันไมล์และยังขนาดใหญ่กว่าห้อง
บรรทมของเจ้าหญิง และยิ่งไปกว่านั้นมันยังทำจากกระทะทองแดงอันร้อนเหลว หม่อมฉันจึงไม่สามารถจะไป
เอามันมาได้ คือสำหรับหมาดำนั้น...ได้ แต่ดวงจันทร์นั้นเอามาไม่ได้หรอกพะยะค่ะ”
พระราชาทรงกริ้วมากจึงไล่ให้ท่านอุปราชหลวงพ้นท้องพระโรงไป และมีรับสั่งให้นำท่านพราหมณ์หลวงเข้า
เฝ้ายังท้องพระโรงโดยด่วน
ท่านพราหมณ์หลวงนั้น เป็นคนรูปร่างผอมบาง คางแหลม แก้มตอบ และขอบหน้ายาว ใส่หมวกหัวแหลมสีแดง
มีลวดลายแพรวพราวด้วยรูปดาวสีเงิน สวมเสื้อคลุมสีกรมท่าซึ่งปักผ้าเป็นรูปนกเค้าแมว ท่านพราหมณ์หลวง
ถึงกับหน้าถอดสี เมื่อพระราชาตรัสว่าต้องการดวงจันทร์มาให้พระธิดา และคาดหวังว่าเขาจักต้องหามาให้ได้
“ขอเดชะ ตลอดระยะเวลาที่ทำราชการสนองพระเดชพระคุณในพระองค์ หม่อมฉันได้ทำการอันยิ่งใหญ่มาไม่
น้อย” ท่านพราหมณ์หลวงกราบทูล
“อันที่จริง บัญชีรายการผลงานของหม่อมฉันบังเอิญติดกระเป๋ามาด้วย” ท่านพราหมณ์หลวงจึงล้วงลึกลงไป
ในกระเป๋าเสื้อคลุมและหยิบเอาแผ่นกระดาษออกมา
“เริ่มต้นจาก เรียนท่านพราหมณ์หลวงทราบ พร้อมจดหมายนี้ ข้าพเจ้าขอส่งคืน สิ่งที่เรียกว่า ก้อนศิลานัก
ปราชญ์ ซึ่งท่านอ้างว่า... อ้าว ไม่ใช่แผ่นนี้ นี่นา” ท่านพราหมณ์หลวงจึงหยิบเอาม้วนสมุดข่อยออกมาจากกระ
เป๋าอีกข้างหนึ่ง
“อ๋อ อันนี้เอง” แล้วก็กล่าวต่อ
“ขอพระราชทานอ่านให้ฟัง พะยะค่ะ หม่อมฉันมีผลงานดังต่อไปนี้ คั้นโลหิตจากหัวมันและเสกปั้นหัวมันจาก
โลหิต เสกนกพิราบจากพระพาย เสกกระต่ายจากอากาศและเสกบุปผชาติจากสายลม หม่อมฉันได้ทูลถวายไม้
เท้าวิเศษ กับทั้งสิ่งบอกเหตุในอนาคต ซึ่งได้แก่ผลึกแก้วกลมอันสดใส หม่อมฉันได้ปรุงขี้ผึ้งตรึงเสน่ห์ ยาแก้
ลมเพลมพัด แก้ปวดขัดหฤทัย และไล่เสียงอื้อในพระกรรณ หม่อมฉันยังได้ปรุงของพิเศษอันเป็นส่วนผสมของ
พิษหมาป่า น้ำตาทูตสวรรค์ และพันธุ์ไม้มรณะ เพื่อขับไล่พวกภูต ผี ห่า ซาตานและหมู่มารในยามค่ำคืน นอก
จากนั้นหม่อมฉันยังได้ทูลถวายรองเท้าก้าวเจ็ดไมล์ ไก่ไข่เป็นทอง ฉลองภูษาพาตัวหาย ...”
“ไม่เห็นมันจะทำให้หายตัวได้เลย” พระราชาตรัสประท้วง
“ฉลองภูษาพาตัวหาย ที่ท่านเอ่ยถึงนั่น มันใช้ไม่ได้”
“มันต้องใช้ได้สิ พะยะค่ะ” พราหมณ์หลวงกล่าวยืนยัน
“มันใช้ไม่ได้จริงๆ” พระราชาตรัส
“ก็ถึงแม้จะสวมเสื้อตัวนั้นแล้ว ฉันก็ยังชนนั่นชนนี่ได้อยู่เหมือนเดิม”
“ฉลองภูษานั่นมันจะทำให้พระองค์เพียงแต่ทรงหายตัวได้เท่านั้น” ท่านพราหมณ์หลวงกล่าว
“แต่การไปชนนั่นชนนี่ มันย่อมใช้ป้องกันไม่ได้ พะยะค่ะ”
“ไม่รู้ล่ะ แต่ที่ฉันรู้แน่ๆ คือฉันก็ยังไปชนนั่นชนนี่ได้” พระราชาตรัสยืนยัน
ท่านพราหมณ์หลวงจึงหันมาอ่านบัญชีรายการของท่านต่อไป
“หม่อมฉันยังได้ทูลถวาย” แล้วกล่าวต่อ
“ผงทรายจากชายคนรู เขาสัตว์คู่จากป่าหิมพานต์ และขันแก้วกาญจน์จากรุ้งกินน้ำ และขี้ผึ้งหนึ่งห่อ กร้อด้าย
หนึ่งม้วนเต็มๆ พร้อมทั้งเข็มอีกหนึ่งแผง ขอภัยพะยะค่ะ อันหลังๆนี่ภรรยาของหม่อมฉันเขียนฝากมาให้ซื้อ”
“แต่สิ่งที่ต้องการให้ท่านทำในเวลานี้” พระราชาตรัส
“คือไปนำดวงจันทร์มาให้ฉัน เพราะเจ้าหญิงจันทราเทวีอยากได้ดวงจันทร์ ถ้าเธอได้มันแล้วเธอก็จะหายจาก
การประชวร”
“ไม่มีใครจะสามารถไปเอาดวงจันทร์ได้หรอกพะยะค่ะ” ท่านพราหมณ์หลวงอธิบาย
“มันอยู่ห่างไกลถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นห้าพันไมล์ ขนาดใหญ่กว่าพระราชวังถึงสองเท่า และยังร้อนเร่าเพราะมัน
เกิดจากการเผาขี้ผึ้งดิบ”
พระราชาทรงกริ้วเป็นอันมาก จึงขับไล่ท่านพราหมณ์หลวงกลับคืนสู่ถิ่นพำนักในถ้ำดังเดิม และมีรับสั่งให้นำขุน
คำนวณหลวงเข้าเฝ้าโดยด่วน
ขุนคำนวณหลวง เป็นคนหัวล้าน กบาลอ้า และสายตาสั้น ที่หูสองข้างนั้นท่านเหน็บดินสอไว้เสมอ ชุดที่สวมคือ
สีดำเป็นพื้นและมีสีขาวแต่งแต้มอยู่โดยทั่ว ซึ่งแสดงเป็นรูปตัวเลขและสัญลักษณ์
“ฉันไม่ต้องการฟังบัญชีรายการ และผลงานต่างๆที่ท่านได้กระทำ ตั้งแต่ท่านเข้ารับราชการเมื่อปี พ.ศ. ๑”
พระราชาตรัส
“ฉันต้องการให้ท่านคิดคำนวณดูซิว่า จะนำเอาดวงจันทร์มาให้เจ้าหญิงจันทราเทวีได้อย่างไร เพราะหากเธอ
ได้ดวงจันทร์ เธอก็จะหายจากการประชวร”
“ขอเดชะ หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเหลือที่ได้ทรงเอ่ยถึงผลงานของหม่อมฉันนับตั้ง
แต่ พ.ศ. ๑ เป็นต้นมา” ขุนคำนวณหลวงกล่าว
“หม่อมฉันก็บังเอิญมีบัญชีรายการผลงานดังกล่าว ติดตัวมาด้วยพะยะค่ะ”
ขุนคำนวณหลวงจึงล้วงเอาม้วนสมุดข่อยออกมาจากกระเป๋าและยกขึ้นอ่าน
“ขอพระราชทาน อ่านให้ฟังพะยะค่ะ หม่อมฉันมีผลงานดังต่อไปนี้ หาความห่างระหว่างเขาของตัวกลืนไม่เข้า
คายไม่ออก บอกระยะทางระหว่างกลางคืนและกลางวัน วัดระยะไกลกันระหว่างก.ไก่และฮ.นกฮูก นอกจากนั้น
ยังวัดระยะทางตั้งแต่ขึ้นว่าห่างจากไปอยู่เท่าไร และเพราะเหตุใดจึงกลายเป็นหายลับ หม่อมฉันได้ค้นพบความ
ยาวของนาคราชน้ำเค็ม หาพื้นที่ผิวจำนวนเต็มและยกกำลังสองของฮิปโป และยังสามารถโชว์คุณค่าของสิ่งที่ไร้
ราคา ถ้าพระองค์อยู่ระหว่างหกและเจ็ด หม่อมฉันบอกได้อย่างเบ็ดเสร็จว่าพระองค์อยู่ที่ไหน มูลค่าเท่าใดที่เป็น
ปัจจัยให้พระองค์เปลี่ยนจากเอกพจน์เป็นพหูพจน์ พระองค์จะได้นกกี่ตัว ชั่วว่าดักจับได้ด้วยจำนวนเกลือจาก
มหาสมุทร ๑๙๘,๘๖๗,๓๒๑,... หากว่าพระองค์จะทรงสนพระทัย”
“นกมันไม่ได้มีมากมายถึงเพียงนั้นนี่นา” พระราชาตรัส
“หม่อมฉันพูดว่านกมีมากมายก็หาไม่” ขุนคำนวณหลวงกราบทูล
“แต่หม่อมฉันพูดว่า ถ้านกมันมีมากมาย พะยะค่ะ”
“ฉันไม่ต้องการจะฟังเรื่องจินตนการจำนวนนกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าล้านโดยไม่รู้จบอะไรนั่นหรอก”
พระราชาตรัส
“ฉันต้องการดวงจันทร์มาให้เจ้าหญิงจันทราเทวี”
“ดวงจันทร์มันอยู่ห่างไกลออกไปตั้งสามแสนไมล์” ขุนคำนวณหลวงกล่าว
“มีลักษณะกลมและแบนเหมือนเหรียญกษาปณ์ กำเนิดจากใยแก้ว ขนาดใหญ่เพียงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักร
เรา ยิ่งไปกว่านั้น มันยังติดแนบแน่นอยู่กับแผ่นฟ้า จึงไม่มีใครสามารถไปเอาดวงจันทร์มาได้หรอก พะยะค่ะ”
จึงเป็นเหตุให้พระราชาทรงเดือดดาลเป็นที่ยิ่งอีกคำรบหนึ่ง และขับขุนคำนวณหลวงให้พ้นไปจากท้องพระโรง
ด้วยความกลัดกลุ้มในพระทัย พระองค์จึงสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณให้ขุนสังคีตส่วนพระองค์เข้าเฝ้า ขุนสังคีตนั้น
สวมเสื้อลายหลากสี ถือเครื่องดนตรีมีพิณและฉิ่งฉับ ก็รีบเข้ามาถวายคำนับและคอยสดับพระกระแสรับสั่งอยู่ ณ
เบื้องบาทราชบัลลังก์
“ขอเดชะ พระองค์จะทรงโปรดให้หม่อมฉันทำสิ่งใดมิทราบ พะยะค่ะ” ขุนสังคีตส่วนพระองค์กราบทูล
“ไม่มีใครสักคนทำอะไรให้ฉันได้เลย” พระราชาทรงโอดคราญ
“เจ้าหญิงอยากได้ดวงจันทร์ และก็จะยังไม่หายจากการประชวรจนกว่าจะได้มัน แต่ไม่มีใครสักคนที่จะสามารถ
เอามาให้เธอได้ ทุกครั้งที่ฉันถามแต่ละคน ดูเหมือนว่าดวงจันทร์มันจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ห่างไกล
ออกไปๆ ฉันก็ไม่มีอะไรให้ท่านทำหรอก นอกจากเล่นดนตรีทำนองเศร้าๆให้ฉันฟัง”
“ท่านเหล่านั้นกราบทูลว่าดวงจันทร์มีขนาดใหญ่แค่ไหน” ขุนสังคีตส่วนพระองค์ทูลถาม
“และมันอยู่ห่างไกลเพียงใดล่ะ พะยะค่ะ”
“ท่านอุปราชหลวงบอกว่ามันอยู่ห่างไกลออกไป สามหมื่นห้าพันไมล์ และมีขนาดใหญ่กว่าห้องบรรทมของเจ้า
หญิงจันทราเทวี” พระราชาตรัส
“ท่านพราหมณ์หลวงบอกว่ามันอยู่ไกลออกไป หนึ่งแสนห้าหมื่นห้าพันไมล์และมีขนาดใหญ่กว่าพระราชวัง
สองเท่า ส่วนขุนคำนวณหลวงบอกว่ามันอยู่ไกลออกไปสามแสนไมล์และมีขนาดใหญ่เพียงครึ่งหนึ่งของราช
อาณาจักรเรา”
ขุนสังคีตส่วนพระองค์ บรรเลงดนตรีไปได้สักพักหนึ่ง
“ท่านเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาญฉลาด” ขุนสังคีตกล่าวขึ้น
“เหตุนี้ ความเห็นของท่านเหล่านั้นก็ควรจะถูกต้องด้วยกัน ดังนั้นถ้าทุกคนถูกต้องกันหมด ก็แสดงว่าดวงจันทร์
นั้น มันก็จะใหญ่และห่างไกลออกไปตามแต่ความคิดเห็นของแต่ละคน แต่สิ่งที่ควรจะรู้ก็คือความคิดเห็นของเจ้า
หญิงเอง ว่าดวงจันทร์มันใหญ่แค่ไหนและอยู่ห่างไกลเพียงใด”
“เออสินะ ฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดอย่างนั้นเลย” พระราชาตรัส
“หม่อมฉันจะไปทูลถามเจ้าหญิงเอง พะยะค่ะ” ขุนสังคีตกล่าว จากนั้นก็ค่อยๆย่องอย่างแผ่วเบาไปยังห้องบรร
ทมของเจ้าหญิง
เจ้าหญิงจันทราเทวีทรงลืมตาและตื่นอยู่ ครั้นเธอเห็นขุนสังคีต ก็ดีใจมาก แต่เธอยังมีอาการอ่อนเพลีย ดูซีดและ
มีน้ำเสียงแผ่วเบามาก
“ท่านนำดวงจันทร์มาให้ฉันรึยัง” เจ้าหญิงตรัส
“ยัง พะยะค่ะ” ขุนสังคีตตอบ
“แต่หม่อมฉันจะนำมาทูลถวายได้เลย ว่าแต่ว่ามันขนาดใหญ่แค่ไหนนะ พะยะค่ะ”
“มันก็แค่ขนาดเล็กกว่าหัวแม่มือของฉันนี่เอง” เจ้าหญิงตรัสตอบ
“เพราะพอเวลาฉันยกหัวแม่มือขึ้นทาบ มันก็พอดีปิดบังดวงจันทร์ไว้มิดเลย”
“แล้วมันอยู่ไกลเพียงใดล่ะ พะยะค่ะ” ขุนสังคีตทูลถาม
“มันก็ไม่สูงไปกว่าต้นไม้ใหญ่ ที่อยู่ข้างหน้าต่างของฉันนี่หรอก” เจ้าหญิงตรัสตอบ
“ในบางคราวมันยังติดคาอยู่กับกิ่งบนสุดนั่นเลย”
“ถ้าเช่นนั้นการนำดวงจันทร์มาให้เจ้าหญิงมันก็ง่ายนิดเดียวเอง” ขุนสังคีตกล่าว
“หม่อมฉันจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่คืนนี้ พอมันติดคาอยู่ที่กิ่งบนสุด หม่อมฉันก็จะนำมันมาให้เจ้าหญิงทันที"
พลันขุนสังคีตก็คิดอะไรขึ้นได้
“เอ เจ้าหญิง แล้วดวงจันทร์นี่มันทำจากอะไร พะยะค่ะ” ขุนสังคีตเอ่ยขึ้นทูลถาม
“อ้าว!” เธออุทาน
“แน่นอนล่ะ มันก็ต้องทำจากทองคำสิ ท่านก็เขลาไปได้”
ครั้นขุนสังคีตส่วนพระองค์กลับออกไปจากห้องเจ้าหญิงแล้ว ก็ตรงดิ่งไปยังโรงกษาปณ์หลวง และขอให้ช่างทำ
การหล่อดวงจันทร์ทองคำ รูปร่างกลมๆ และมีขนาดเล็กกว่าหัวแม่มือของเจ้าหญิง ขุนสังคีตยังให้ช่างทำเป็นสาย
สร้อยทองคำคล้องไว้ด้วย เพื่อให้เจ้าหญิงนำมาสวมพระศอได้
“ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหล่ออะไรกันแน่นะนี่” ช่างกษาปณ์หลวงสงสัย หลังจากหล่อเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ท่านหล่อดวงจันทร์” ขุนสังคีตกล่าว และยังสำทับอีกว่า
“นี่ล่ะคือดวงจันทร์”
“แต่ว่าดวงจันทร์มัน...” ช่างกษาปณ์หลวงทักท้วง
“มันอยู่ห่างไกลออกไปตั้งห้าแสนไมล์และทำจากทองสัมฤทธิ์ รูปร่างกลมๆคล้ายหินอ่อนนะท่าน”
“นั่นคือดวงจันทร์ในความคิดของท่าน” ขุนสังคีตกล่าวในขณะที่เดินจากไปพร้อมดวงจันทร์ทองคำในมือ
และนำไปทูลถวายแด่เจ้าหญิงจันทราเทวี ซึ่งก็นำความพอพระทัยและเป็นสุขมาสู่เธอเป็นที่ยิ่ง
ในวันรุ่งขึ้นเจ้าหญิงก็สามารถลุกจากเตียงบรรทมได้ หายจากการประชวรและกลับมีสุขภาพดีดังเดิม สามารถ
ออกไปทรงสำราญในอุทยานได้เช่นเคย
อย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลของพระราชาก็ยังไม่สิ้นไปเลยทีเดียว ด้วยพระองค์ทรงตระหนักดีว่า ดวงจันทร์จัก
ต้องขึ้นไปส่องสว่างในนภายามราตรีอีกตามปกติวิสัย พระองค์จึงไม่ประสงค์ที่จะให้เจ้าหญิงได้เห็นมัน หาไม่
แล้วเจ้าหญิงก็จะเข้าพระทัยว่า ดวงจันทร์ทองคำที่สวมอยู่ในพระศอไม่ใช่ของจริง
ดังนั้นพระราชาจึงมีรับสั่งให้ท่านอุปราชหลวงเข้าเฝ้า และตรัสว่า
“พวกเราจักต้องไม่ให้เจ้าหญิงจันทราเทวีมองเห็นดวงจันทร์บนนภาในคืนนี้ ท่านคิดว่าเราควรจักทำประการ
ใดดี”
ท่านอุปราชหลวงใช้นิ้วมือเคาะหน้าผากตัวเองอยู่ไปมาอย่างคนใช้ความคิด ก่อนที่จะกราบทูลว่า
“หม่อมฉันรู้เพียงว่าจะต้องตัดแว่นตาดำมืด เพื่อให้เจ้าหญิงสวมใส่ พะยะค่ะ และต้องทำให้มันดำมืดสนิทด้วย
เจ้าหญิงก็จะไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย ดังนั้นเธอก็จะไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์เมื่อมันขึ้นมาส่องสว่าง
บนท้องฟ้า พะยะค่ะ”
ความเห็นนี้ทำให้พระราชาทรงกริ้วมากพร้อมกับส่ายศีรษะไปมา
“ถ้าเจ้าหญิงสวมแว่นดำมืดที่ว่า มันก็อาจจะทำให้เธอเดินไปชนนั่นชนนี่” พระราชาตรัส
“ประเดี๋ยวก็จะเป็นเหตุให้เธอไม่สบายอีกได้” พระราชาจึงให้ส่งท่านอุปราชหลวงพ้นท้องพระโรงไป
และมีรับสั่งให้ท่านพราหมณ์หลวงเข้าเฝ้าทันที
“พวกเราจักต้องซ่อนดวงจันทร์ไว้” พระราชาตรัส
“เพื่อไม่ให้เจ้าหญิงมองเห็นเมื่อมันขึ้นมาส่องสว่างในนภาของค่ำคืนนี้ พวกเราควรจักทำประการใดดี”
ท่านพราหมณ์หลวงครุ่นคิด ยืนอยู่บนมือตัวเองก็ยัง ขึ้นไปนั่งอยู่บนหัวตัวเองก็แล้ว เลยต้องมายืนแกล่วอยู่บน
เท้าของตัวเองเหมือนเดิม
“หม่อมฉันคิดออกแล้ว ว่าควรจะทำอย่างไร” ท่านพราหมณ์หลวงกราบทูล
“พวกเราควรจะขึงม่านสีดำและผูกโยงไว้ โดยให้ครอบคลุมไปทั่วพื้นที่อุทยานทั้งหมดคล้ายๆกับพวกล้อมผ้า
เล่นกายกรรมเก็บสตางค์ เจ้าหญิงก็จะไม่สามารถมองเห็นผ่านผ้าคลุมได้ ดังนั้นเธอก็จะมองไม่เห็นดวงจันทร์
ในท้องฟ้า พะยะค่ะ”
แต่ความคิดเห็นนี้ก็ทำให้พระราชาทรงกริ้วและโบกพระหัตถ์อยู่ไปมา
“ผ้าม่านสีดำมันก็จักปิดกั้นอากาศบริสุทธิ์” พระองค์ตรัส
“ประเดี๋ยวก็จะทำให้เจ้าหญิงหายใจไม่ออก แล้วก็อาจจะเป็นเหตุให้ไม่สบายอีกได้”
ดังนั้นพระองค์จึงให้ส่งท่านพราหมณ์หลวงพ้นท้องพระโรงไป และมีรับสั่งให้ขุนคำนวณหลวงเข้าเฝ้าทันที
“พวกเราจักต้องทำอะไรบางอย่าง” พระราชาตรัส
“เพื่อไม่ให้เจ้าหญิงมองเห็นดวงจันทร์ที่จะขึ้นมาส่องสว่างบนนภาในคืนนี้ ถ้าท่านรู้อะไรดี ก็ช่วยออกความ
เห็นหน่อยเถอะ”
ขุนคำนวณหลวงจึงเดินใช้ความคิดเป็นรูปวงกลม แล้วเดินก้มเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วกลับมายืนสง่าอย่าง
สงบ
“หม่อมฉันรู้แล้ว” ขุนคำนวณหลวงกราบทูล
“พวกเราจะต้องจัดให้มีงานเผาเทียนเล่นไฟภายในเขตพระราชอุทยานเป็นประจำทุกคืน โดยจัดให้มีธารน้ำพุ
สีเงิน ธารน้ำตกทองคำ และปล่อยให้คลาคล่ำไปทั้งอัมพร จากแสงสะท้อนอันเจิดจ้า ย่อมดูประหนึ่งว่าเป็นเวลา
กลางวัน เหตุนั้นเจ้าหญิงก็จะไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ พะยะค่ะ”
พระราชาทรงเดือดดาลเป็นที่ยิ่งและทรงกระทืบพระบาทอยู่ปังๆ
“งานเผาเทียนเล่นไฟ ไฉนเจ้าหญิงจะหลับนอนได้” พระองค์ตรัส
“เมื่อไม่ได้พักผ่อนหลับนอน ประเดี๋ยวก็เป็นเหตุให้ไม่สบายอีกได้” พระราชาจึงให้ส่งขุนคำนวณพ้นท้อง
พระโรงไป
ความมืดคืบคลานเข้ามาทุกขณะ ครั้นมองไปเบื้องบูรพา ก็ทรงเห็นแสงเรื่อเรืองของดวงจันทร์กำลังแผ่ขึ้นมาจับ
ขอบฟ้า พระองค์สะดุ้งโหยงด้วยทรงหวาดวิตก จึงสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเรียกขุนสังคีตส่วนพระองค์เข้าเฝ้าเป็น
การด่วน ขุนสังคีตก็รีบมาน้อมคำนับและนั่งลงรอรับพระราชดำรัสอยู่ ณ เบื้องบาทราชบัลลังก์
“ขอเดชะ พระองค์จะทรงโปรดให้หม่อมฉันทำสิ่งใดมิทราบ พะยะค่ะ” ขุนสังคีตกราบทูล
“ไม่มีใครสักคนพอที่จะทำอะไรให้ฉันได้เลย” พระราชาตรัส
“ดวงจันทร์ก็กำลังเคลื่อนสูงขึ้นไปๆทุกขณะ เดี๋ยวมันก็จะส่องแสงไปยังห้องบรรทมของเจ้าหญิง คราวนี้ล่ะเธอก็
จะรู้ว่ามันยังอยู่บนท้องนภา และใช่ว่าเธอจะสวมมันอยู่ที่คอก็หาไม่ ท่านจงบรรเลงบทเพลงอันแสนเศร้าที่สุดให้
ฉันฟัง ด้วยทันทีที่เจ้าหญิงเห็นดวงจันทร์ เธอก็จะไม่สบายอีกเป็นแน่”
ขุนสังคีตเกริ่นเพลงไปได้สักครู่หนึ่ง ก็ทูลถามพระราชาว่า
“เหล่านักปราชญ์ทั้งหลายของพระองค์พูดว่ากระไรบ้าง พะยะค่ะ”
“พวกเขาจนปัญญาที่จะซ่อนดวงจันทร์ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เจ้าหญิงประชวร” พระราชาตรัสตอบ
ขุนสังคีตจึงบรรเลงอีกบทเพลงหนึ่งซึ่งนุ่มนวลและแผ่วเบามาก
“เหล่านักปราชญ์ของพระองค์นั้นรอบรู้ทุกสิ่งอย่าง” ขุนสังคีตเอ่ยขึ้น
“ถ้าท่านนักปราชญ์เหล่านั้นไม่สามารถซ่อนดวงจันทร์ได้ ก็แสดงว่าดวงจันทร์ไม่สามารถถูกนำไปซ่อนเร้นไว้
ที่ไหนได้”
ระหว่างที่พระราชาทรงเอกเขนก พระหัตถ์ก่ายพระนลาฏ และถอนหายใจอยู่ไปมา พลันพระองค์ก็ทรงกระโดด
โหยงลงจากบัลลังก์ และทรงชี้ไปทางหน้าต่าง
“ดูนั่น!” พระราชาทรงอุทาน
“ดวงจันทร์ได้ฉายรัศมีไปถึงยังห้องบรรทมของเจ้าหญิงแล้ว ใครล่ะจักอธิบายได้ว่าดวงจันทร์มันไปเปล่ง
ประกายอยู่บนนภาได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าหญิงกำลังสวมใส่ และแขวนไว้อยู่ในพระศอด้วยสายสร้อยทอง”
ขุนสังคีตจึงหยุดการบรรเลงลงทันใด
“ก็ใครล่ะที่อธิบายถึงการได้มาของดวงจันทร์ ในเมื่อเหล่านักปราชญ์ของพระองค์บอกว่ามันทั้งขนาดใหญ่และ
อยู่ไกลเกินไป เจ้าหญิงจันทราเทวีเองมิใช่ดอกหรือ ฉะนั้นก็แสดงว่าเจ้าหญิงมีความชาญฉลาดมากกว่าท่าน
เหล่านั้น และทรงรู้เรื่องเกี่ยวกับดวงจันทร์มากกว่า หม่อมฉันจะไปทูลถามเจ้าหญิงเอง”
และก่อนที่พระราชาจะทันห้ามเขาไว้ ขุนสังคีตก็แอบย่องออกไปจากท้องพระโรงอย่างเงียบเชียบ และเดินขึ้น
บันไดหินอ่อนอันกว้างใหญ่ และตรงไปยังห้องบรรทมของเจ้าหญิงทันที
ระหว่างนั้นเจ้าหญิงทรงเอนอยู่บนเตียง สายพระเนตรจับจ้องไปยังแสงดวงจันทร์ทางหน้าต่าง ขณะที่ในอุ้งหัตถ์
ก็มีดวงจันทร์ทองคำ ซึ่งขุนสังคีตได้นำทูลถวายกำลังสะท้อนแสงอยู่แวววาว แต่ว่าคราวนี้ขุนสังคีตดูเศร้าซึมลง
มาก และดูเหมือนว่าจะน้ำตาไหล
“ได้โปรดบอกแก่หม่อมฉันเถิด เจ้าหญิง” เขาทูลถามอย่างโอดครวญ
“เหตุใดดวงจันทร์ยังสามารถส่องสว่างในนภา ในเมื่อนำมาแขวนกับสร้อยทองและคล้องอยู่ในพระศอของเจ้า
หญิงแล้ว”
เจ้าหญิงทอดพระเนตรไปยังขุนสังคีตแล้วก็ทรงพระสรวล
“มันง่ายนิดเดียวเอง ท่านก็เขลาไปได้” เจ้าหญิงตรัส
“เมื่อพระทนต์ฉันหลุดไป พระทนต์ใหม่ก็ผุดขึ้นมาแทน มิใช่หรือ”
“เป็นความจริง พะยะค่ะ” ขุนสังคีตทูลตอบ
“เมื่อตัวยูนิคอนสูญเสียเขาในป่าหิมพานต์ จึงบันดาลให้เขาใหม่งอกขึ้นมากลางหน้าผาก”
“ถูกต้องแล้ว” เจ้าหญิงตรัสเสริม
“เมื่อคนดูแลอุทยานตัดเอาดอกไม้ ก็ยังมีดอกใหม่เกิดขึ้นมาทดแทน”
“หม่อมฉันน่าจะคิดเช่นนั้น” ขุนสังคีตกล่าว
“เฉกเช่นอย่างเดียวกันกับกลางวัน”
“แล้วก็ดุจเดียวกันกับดวงจันทร์” เจ้าหญิงตรัส
“ฉันคาดว่ามันก็น่าจะดุจเดียวกันกับทุกๆสิ่ง” น้ำเสียงของเธอต่ำลงและขาดหายไป ขุนสังคีตสังเกตเห็นว่า
เจ้าหญิงทรงบรรทมและหลับไปแล้ว เขาจึงค่อยๆเหน็บผ้าห่มไปรอบๆเตียงบรรทมของเจ้าหญิงอย่างแผ่วเบา
ทว่าก่อนที่ขุนสังคีตจะออกจากห้องบรรทมของเจ้าหญิงไป เขาก็โผล่หน้าออกไปทางหน้าต่าง และขยิบตาให้กับ
ดวงจันทร์ พลันขุนสังคีตก็เห็นเหมือนว่า ดวงจันทร์มันก็ขยิบตาตอบรับเขากลับมาเช่นเดียวกัน