นิทานก่อนนอน : กระทิงดำแห่งนอร์โรเวย์ (The Black Bull of Norroway)

Prayad

ตามตำนานของสก๊อตแลนด์ ซึ่งเป็นอาณาจักรเก่าแก่อยู่ตอนเหนือของเกาะอังกฤษ ได้มีเล่าขานสืบกันต่อมาว่า 
ในอดีตกาลย้อนหลังไปหลายศตวรรษ ยังมีพระราชินีหม้ายพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีพระธิดาอยู่สามพระองค์ เวลานั้น
บ้านเมืองเกิดทุพภิกขภัย คือภาวะข้าวยากหมากแพง ความเป็นอยู่ของพระราชินีหม้ายจึงลำบากขึ้น พระนางและ
พระธิดาจึงดำริที่จะช่วยกันออกแสวงโชคเพื่อความอยู่รอดของปากท้อง
เจ้าหญิงพระองค์ใหญ่จึงตั้งใจที่จะออกจากปราสาท เพื่อไปเสี่ยงโชคยังโลกกว้างข้างนอก ซึ่งมารดาของเธอก็
เห็นด้วยและตรัสว่า 
“ออกไปหางานทำยังต่างด้าวย่อมดีกว่าอดข้าวตายอยู่ในบ้าน”
ณ กระท่อม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทมากนัก เป็นที่พำนักของยายชราคนหนึ่ง ซึ่งลือกันว่านางเป็นแม่มดและมี
วิชาพยากรณ์ชะตาชีวิตเป็นที่แม่นยำนัก พระราชินีจึงมีรับสั่งให้เจ้าหญิงไปพบยายชรายังกระท่อมของนาง เพื่อ
ตรวจพิเคราะห์ดูโชคชะตาว่า เจ้าหญิงควรจะออกแสวงโชคไปทางทิศใดจึงจะนำมาซึ่งโชคลาภและบังเกิดผลดี
ที่สุด
“การแสวงโชคของเจ้าหญิง ก็มิต้องเดินทางไกลไปเกินกว่าประตูหลังบ้านของหม่อมฉันนี่หรอก เพคะ” 
หญิงชรากล่าวด้วยความยินดี เพราะนางเองก็มักจะแสดงออกถึงความกังวลและห่วงใยในความลำบากของพระ
ราชินีและพระธิดาอยู่เสมอ จึงสบโอกาสได้สนองคุณด้วยข่าวดี
ครั้นเจ้าหญิงได้ยินเช่นนั้น ก็รีบวิ่งไปตามทางเดินมุ่งตรงออกไปทางประตูหลังบ้านของหญิงชรา พอถึงประตู
แล้วก็แอบชำเลืองออกไปข้างนอก พลันสิ่งที่เธอเห็นก็คือราชรถคันงามอันวิจิตร มีม้าสีครีมพันธุ์ดีมีสง่าเทียม
มาทั้งหมดหกตัว กำลังมุ่งหน้ามาตามถนน
ด้วยความตื่นเต้นเป็นที่สุดต่อภาพที่ปรากฏแก่สายตาอันหาดูได้ยากยิ่ง เจ้าหญิงจึงรีบวิ่งเข้าไปบอกแก่หญิงชรา
ในห้องครัวถึงสิ่งที่เธอได้พบเห็น
“นั่นอย่างไรล่ะเพคะ เจ้าหญิงได้เห็นโชคลาภของตนเข้าแล้ว” หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันปลาบปลื้มและ
พึงพอใจเป็นอย่างมาก
 “ก็ราชรถและม้าทั้งหกนั่นกำลังมาเกยเจ้าหญิงนั่นเอง” 
จริงแท้ทีเดียว ม้าทั้งหกได้นำราชรถมาหยุดลงตรงหน้าปราสาทพอดี ไม่นานพระธิดาองค์ที่สองก็วิ่งมาแจ้งข่าว
แก่พระธิดาองค์ใหญ่ที่กระท่อมว่าให้รีบกลับโดยเร็วเพราะราชรถกำลังคอยอยู่ เธอดีใจอย่างเหลือล้นต่อโชคลาภ
อันน่าทึ่งที่มาถึงเธอ เธอจึงรีบเดินทางกลับเข้าปราสาท อำลาพระราชมารดาและพระขนิษฐาทั้งสองของเธอ 
แล้วก็ก้าวขึ้นไปนั่งในราชรถ จากนั้นม้าทั้งหกก็พากันเหยาะย่างเคลื่อนราชรถออกไปโดยทันที
เป็นที่ทราบกันดีในเวลานั้นว่า ราชรถได้นำพระธิดาไปยังพระราชวังของเจ้าชายผู้ลือนามและมั่งคั่งพระองค์หนึ่ง
ซึ่งทั้งสองได้อภิเษกสมรสกันในเวลาต่อมา ทว่าส่วนนี้ก็เป็นเพียงส่วนปลีกย่อยนอกเรื่องจากตำนานที่กำลังจะ
เล่ากันต่อไปนี้
เวลาไม่กี่สัปดาห์ต่อมา พระธิดาองค์ที่สองก็ดำริที่จะออกแสวงโชคเช่นเดียวกันกับพี่สาว เธอจึงไปหาหญิงชราที่
กระท่อม และบอกแก่นางว่าเธอก็ปรารถนาที่จะออกไปเสี่ยงโชคยังโลกกว้างเช่นกัน แน่นอนที่เดียว ในหัวใจ
ของเธอก็ย่อมคาดหวังถึงโชคลาภอย่างเดียวกันกับที่ได้เกิดขึ้นกับพี่สาว 
ก็อดที่จะเผยให้ทราบไม่ได้ว่า เธอได้ลาภเช่นนั้นจริงๆ เพราะพอหญิงชราบอกให้เธอไปกวาดสายตาดูยังประตู
หลังกระท่อม โอ! นั่นไง ราชรถและม้าทั้งหกอีกคันหนึ่งก็กำลังมุ่งหน้ามาตามถนน  ครั้นเธอกลับเข้าไปแจ้งแก่
หญิงชรา นางก็ยิ้มอย่างมีเมตตาและบอกเธอให้รีบกลับปราสาท เพราะราชรถนั่นคือโชคลาภของเธอที่กำลังมา
เกยนั่นเอง
เธอจึงรีบเดินทางกลับเข้าปราสาท หลังจากอำลาพระราชมารดาและพระขนิษฐาแล้วก็ก้าวขึ้นราชรถ และม้าทั้ง
หกก็พาเหยาะย่างเคลื่อนจากไป
เป็นที่แน่นอนเลยทีเดียวว่า เหตุการณ์โชคลาภที่เกิดขึ้น ได้นำความปรารถนาอย่างแรงกล้ามาสู่เจ้าหญิงพระ
องค์เล็กเหลือประมาณ ซึ่งเกินกว่าจะรอได้แม้เพียงชั่วข้ามวัน จึงในห้วงแห่งราตรีวันเดียวกันนั้นเอง เธอจึง
แอบย่องไปหาหญิงชราที่กระท่อม ด้วยใจที่คึกคะนอง
หญิงชราก็บอกให้เธอไปตรวจดูที่ประตูหลังกระท่อมอีกเช่นกัน เธอดีใจมาก จึงรีบวิ่งไปดูด้วยหวังว่าจะได้เห็น
ราชรถและม้าทั้งหกเป็นคันที่สามมุ่งหน้ามาตามถนน ซึ่งตรงไปยังประตูเข้าปราสาท แต่ อนิจจา หาได้มีเช่น
นั้นไม่! มันไม่ปรากฏสิ่งใดอันเป็นที่พึงใจต่อสายตาที่กำลังใฝ่หาของเธอเลย เพราะถนนอันโดดเด่นก็ยังคงว่าง
เปล่าอยู่ดังเดิม ด้วยความผิดหวังอย่างใหญ่หลวง เธอจึงรีบวิ่งกลับมาบอกแก่หญิงชรา
“นั่นก็แสดงว่า โชคลาภของเจ้าหญิงยังไม่มาให้ประสบในวันนี้” หญิงชรากล่าว 
“ฉะนั้นในวันพรุ่งนี้ เจ้าหญิงจะต้องไม่มาที่นี่อีกก็แล้วกัน”
ดังนั้นเจ้าหญิงพระองค์เล็กจึงกลับเข้าปราสาท แต่แล้วพอวันรุ่งขึ้นเธอก็อดที่จะไปยังกระท่อมของหญิงชราอีกไม่
ได้
ครั้งนี้เธอก็ผิดหวังอีกเช่นเคย เธอพยายามสอดส่ายหาด้วยสายตาอันปรารถนาและใคร่เห็นราชรถกับม้าทั้งหก 
แต่ก็ปรากฏแต่ความว่างเปล่า ครั้นแล้วในวันที่สามถัดมา สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นกระทิงดำตัวใหญ่ วิ่งมาตามถนน
ด้วยท่าทางอันดุดัน มันใช้เขาขวิดอากาศมาอย่างน่ากลัว
อารามตกใจ เธอรีบปิดประตูและวิ่งไปแจ้งแก่หญิงชรา ถึงเรื่องกระทิงเถื่อนดุร้าย ที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามา 
“เจ้าหญิงเอ๋ย” หญิงชราเอ่ยขึ้น พร้อมกับโบกไม้โบกมือเป็นการปลอบโยน 
“ใครเล่าจะคาดคิดว่ากระทิงดำแห่งนอร์โรเวย์จะเป็นโชคลาภของเธอ!” 
พอได้ยินเช่นนั้นเจ้าหญิงก็ถึงกับพระพักตร์ซีดเผือด เพราะการที่เธอตัดสินใจออกจากปราสาทมาก็เพื่อแสวงหา
โชคลาภ แต่ก็ไม่เคยคาดคิดเลยแม้แต่นิดว่า วาสนาของเธอจะมาพบกับอะไรที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
“แต่ว่ากระทิงถึกเยี่ยงนี้จะเป็นโชคลาภของฉันได้อย่างไร” เธอร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว
“ฉันไม่อาจไปกับกระทิงผู้ตัวนี้ได้หรอก”
“แต่เจ้าหญิงก็จำเป็นต้องไป” หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยอากัปกิริยาอันสงบเยือกเย็น
“เพราะเหตุว่าเจ้าหญิงได้ไปเยี่ยมมองผ่านประตูหลังกระท่อมของหม่อมฉัน ด้วยจิตใจที่ปรารถนาในโชคลาภ
ของตน เมื่อโชคลาภมาถึงแล้ว เจ้าหญิงก็จะต้องรับเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น” 
ถึงแม้นเจ้าหญิงผู้น่าสงสารจะวิ่งร่ำไห้กลับไปแจ้งแก่พระราชมารดา เพื่อขอร้องให้เธอได้อยู่พำนักในปราสาท
ดังเดิมต่อไป ทว่าพระราชินีก็ทรงมีความคิดเห็นเช่นเดียวกันกับหญิงชราผู้ชาญฉลาด ด้วยเหตุนั้นเจ้าหญิงจึงยิน
ยอมขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังกระทิงถึกสีดำ ร่างบึกตัวนั้น ซึ่งบัดนี้มันได้มายืนสงบนิ่งอยู่ที่หน้าปราสาทแล้ว แต่พอ
เจ้าหญิงขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังเป็นที่เรียบร้อย มันก็เริ่มออกอาการป่าเถื่อนและผลุนผันจากไป ในขณะที่เจ้าหญิง
ก็พยายามเกาะเกี่ยวอย่างสามารถเพื่อให้ตนเองอยู่บนหลังของมันด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น
กระทิงดำพาเจ้าหญิงเดินทางรอนแรมมาไกลแสนไกล จนกระทั่งเธออดทนต่อความหวาดกลัว ความเหน็ด
เหนื่อย และความหิวกระหายไม่ไหว เธอจวนเจียนจะเป็นลมและแทบจะตกจากที่นั่ง และในระหว่างที่มือของ
เธอร่วงผล็อยจากเขาขนาดเขื่องของมัน เธอก็รู้สึกว่าร่างของเธอกำลังจะร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น แต่แล้วเจ้ากระ
ทิงก็นำหัวอันใหญ่โตของมันเอี้ยวกลับมาดุนร่างของเธอเอาไว้ พร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันนุ่มนวลและแผ่ว
เบาอย่างมหัศจรรย์ 
“เชิญรับประทานได้จากหูข้างขวาและดื่มได้จากหูข้างซ้ายของฉัน แล้วเธอก็จักมีเรี่ยวแรงสำหรับการเดินทาง”
เจ้าหญิงจึงนำมืออันสั่นเทาของเธอล้วงลงไปในหูข้างขวา และสิ่งที่เธอได้ติดมือออกมาก็คือขนมปังและเนื้อย่าง 
ถึงแม้เธอจะยังหวาดกลัว แต่เธอก็ดีใจที่พอมีอะไรได้รับประทาน ต่อมาเธอก็ล้วงลงไปในหูข้างซ้าย ซึ่งพบว่ามี
ขวดไวน์เล็กๆขวดหนึ่ง หลังจากเธอดื่มเสร็จแล้วก็ปรากฏว่ากำลังและเรี่ยวแรงคืนกลับมาสู่เธออย่างน่าอัศจรรย์
 
เขาพากันสัญจรรอนแรมไปอีกไกลแสนไกล จนร่างกายของทั้งสองร้าวระบมจากการขี่ ต่อความรู้สึกของเจ้า
หญิง มันช่างไกลจนคิดว่าพวกเขากำลังใกล้จะถึงแดนสุดท้ายแห่งปลายโลกนั่นเทียว พลันปราสาทอันโอ่อ่าก็
ปรากฏเด่นตระหง่านอยู่ต่อหน้าของพวกเขาในที่สุด
“พวกเราอาจจะเข้าไปพักในนั้นสักคืน” กระทิงดำแห่งนอร์โรเวย์เอ่ยขึ้น
“เพราะที่นั่นก็คือบ้านน้องชายของฉันคนหนึ่ง”
แรกได้ยินเจ้าหญิงก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ในเวลานั้นเธอก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากเกินกว่าจะไปให้
ความใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทั้งสิ้น  เธอจึงมิได้ปริปากแต่อย่างใด หากแต่ยังคงนั่งอยู่เช่นนั้น จนกระทั่ง
กระทิงถึกได้พาเธอวิ่งเข้าไปในบริเวณปราสาท แล้วก็ใช้หัวอันใหญ่โตของมันโขกลงที่ประตู
บานประตูถูกเปิดออกในทันที โดยมีผู้รับใช้ซึ่งอยู่ในเครื่องแบบอันงดงาม ก้าวออกมาให้การต้อนรับแก่กระทิง
ถึกอย่างให้เกียรติ เขายังเข้ามาช่วยรับเจ้าหญิงลงจากหลังกระทิงอีกด้วย จากนั้นก็นำทางเธอไปยังห้องโถงอัน
อลังการ ที่นั่นมีท่านลอร์ด ท่านผู้หญิง ตลอดจนท่านผู้มีเกียรติอื่นๆอีกหลายท่านรออยู่ ในขณะที่กระทิงดำก็วิ่ง
เหย่าๆออกไปอย่างเป็นสุข เพราะได้โอกาสและเล็มหญ้าอันเขียวขจีซึ่งขึ้นอยู่โดยรอบปราสาท และยังใช้ที่นั่น
เป็นที่หลับนอนสำหรับคืนนี้อีกด้วย
ท่านลอร์ดและท่านผู้หญิงล้วนแต่มีความเมตตาและเอ็นดูต่อเจ้าหญิงเป็นอย่างมาก หลังจากเลี้ยงอาหารค่ำเธอ
แล้ว ก็พาเธอไปยังห้องนอนซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ภายในห้องมีกระจกทองคำแขวนอยู่โดยรอบจากนั้น
เจ้าของปราสาทก็ขอตัวไปพักผ่อน คงละเธอไว้ให้พักอยู่ในห้องนั้นแต่เพียงลำพัง ครั้นถึงรุ่งเช้า กระทิงดำก็วิ่ง
มารออยู่ที่หน้าประตู ท่านลอร์ดและท่านผู้หญิงได้หยิบยื่นลูกแอปเปิลสวยงามลูกหนึ่งใส่มือให้เธอ พร้อมกับ
กำชับว่าอย่าเพิ่งกะเทาะเปลือกมันเป็นอันขาด จงเก็บใส่กระเป๋าไว้เช่นนั้น จนกว่าเวลาใดที่เธอตกอยู่ในภยัน
ตรายซึ่งอาจหมายถึงชีวิต เมื่อนั้นแหละค่อยกะเทาะมันแล้วเธอจะได้รับความช่วยเหลือ
ด้วยเหตุนั้นเธอจึงเก็บลูกแอปเปิลใส่ไว้ในกระเป๋า จากนั้นเจ้าของปราสาทผู้อารีทั้งสองก็ช่วยกันส่งเธอให้ขึ้นไป
นั่งอยู่บนหลังกระทิงดำอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหญิงและผู้ร่วมเดินทางซึ่งดูออกจะประหลาดอยู่ไม่น้อยก็พากันออกเดิน
ทางต่อไป
ตลอดทั้งวันพวกเขาเดินทางโดยมิได้หยุดพัก เป็นระยะทางไกลเกินกว่าจะคะเนได้ จนกระทั่งยามราตรีมาเยือน
พวกเขาจึงมองเห็นปราสาทอีกหลังหนึ่ง ซึ่งมีความใหญ่โตและโอ่อ่ากว่าหลังก่อนหน้านี้มาก
“พวกเราอาจจะเข้าไปพักและค้างในนั้นสักคืน” กระทิงดำเอ่ยขึ้น
“เพราะที่นั่นก็คือบ้านน้องชายของฉันอีกคนหนึ่ง”
ที่นี่เองเจ้าหญิงได้เข้าพักค้างคืน และนอนบนเตียงนอนอันแสนจะนุ่มและประณีตงดงาม ม่านที่ผูกอยู่โดยรอบก็
ล้วนทำจากไหมชั้นดี ส่วนท่านลอร์ดและท่านผู้หญิงเจ้าของปราสาทก็คอยปฏิบัติต่อเธออย่างดียิ่ง  ทั้งนี้ก็เพื่อให้
เธอได้รับความสะดวกสบายที่สุด ครั้นถึงรุ่งเช้าก่อนที่เธอจะออกเดินทางต่อไป เจ้าของปราสาทก็นำลูกแพร์
ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมายื่นให้และยังกำชับมิให้เธอกะเทาะลูกแพร์เป็นอันขาด จนกว่าเธอจะตกอยู่
ในสภาวะคับขันอย่างร้ายแรง เมื่อนั้นแหละหากเธอกะเทาะ มันก็จะช่วยให้เธอพ้นไปจากที่นั่น
ในวันที่สามก็เป็นการเดินทางเช่นเดียวกันกับสองวันก่อน เจ้าหญิงและกระทิงดำแห่งนอร์โรเวย์ต่างก็อิดโรย
จากการรอนแรมมาเป็นระยะทางหลายต่อหลายไมล์ พอตะวันตกดิน พวกเขาก็มาถึงยังอีกปราสาทหลังหนึ่ง ซึ่ง
มีความวิจิตรอลังการมากกว่าสองหลังที่ผ่านมา 
ปราสาทหลังนี้เป็นของน้องชายคนเล็กสุดของกระทิงดำ ณ ที่นี้ เจ้าหญิงจึงมีโอกาสได้พักผ่อนอีก
หนึ่งคืนเต็มๆ ขณะเดียวกันกระทิงดำก็พักผ่อนอยู่ในสวนรอบๆปราสาทตามเคย ครั้นถึงเวลาเดินทางจากไป 
เจ้าหญิงก็ได้รับลูกพลัมซึ่งดูน่ารักที่สุดลูกหนึ่ง พร้อมกับถูกกำชับว่าอย่าเพิ่งกะเทาะมันเป็นอันขาด จนกว่าเธอ
จะตกอยู่ในภาวะคับขันที่สุดซึ่งอาจหมายถึงชีวิต เมื่อนั้นแหละจึงกะเทาะ แล้วมันก็จะช่วยให้เธอเป็นอิสระ
ในวันที่สี่ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป พอสิ้นสุดการเดินทางในวันนั้น จะมีปราสาทอันวิจิตรคอยอยู่เหมือนเมื่อก่อน
ก็หาไม่ ตรงกันข้าม เมื่อเงาเริ่มทอดยาวยืดออกไป กลับมีแต่ความมืดปกคลุมเข้ามาทุกขณะๆ ป่าก็รกชัฏมืดดำ
เข้าทุกที ความอึมครึมแผ่เข้ามาแทนที่ จนเจ้าหญิงเองรู้สึกได้ถึงความกล้าหาญของตนกำลังหดหายไปตามลำดับ
ซึ่งเรียกได้ว่าทุกขณะของก้าวย่างที่ใกล้เข้าไปเลยทีเดียว 
กระทิงดำได้มาหยุดอยู่ ณ ปากทางเข้าป่าดงดิบ 
“แสงสว่างมาสิ้นสุดลง ณ ที่ตรงนี้เอง สุภาพสตรีเอ๋ย” เขาเอ่ยขึ้น 
“ณ ป่าแห่งนี้ โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน ปรปักษ์ของฉันกำลังคอยอยู่ ฉันจักต้องเผชิญกับมันแต่เพียงลำพังโดย
ปราศจากซึ่งคนช่วยเหลือ ความมืดมนและวังเวงที่แผ่คลุมอยู่ย่านนี้ก็คืออำนาจดำแห่งวิญญาณร้าย ซึ่งคอย
รังควานมนุษย์โลกให้ได้รับความเดือดร้อน ฉันดีใจที่วันแห่งการต่อสู้มาถึง ฉันหวังและเชื่อมั่นในความรู้สึกว่า
ฉันจักเอาชนะมันได้ สำหรับเธอ ในระหว่างนี้เธอจะต้องนั่งอยู่ที่โขดหินนี้เท่านั้น โดยจักต้องไม่กระดุกกระดิก 
ไม่ว่าจะเป็นมือ เท้า หรือแม้แต่ลิ้นของเธอ จนกว่าฉันจะกลับมา จงระวังตัวให้ดีนะ ถ้าหากเธอเคลื่อนไหวมากไป 
เธอก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งวิญญาณร้ายที่ครอบงำป่าดงดิบแห่งนี้อยู่”
“แล้วฉันจักรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน” เจ้าหญิงซักถามอย่างเป็นกังวล ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอย่าง
จับจิต ต่อสัตว์ร่างใหญ่สีดำซึ่งทำหน้าที่เป็นพาหนะมาตลอด ได้ลุกโพลงขึ้นในใจ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นความ
กล้าหาญในวันที่สี่ 
“หากฉันไม่สามารถจะขยับมือ ขยับเท้าหรือปริปากพูดออกมาได้” 
“เธอจะรู้ได้จากสัญญาณที่อยู่รอบข้างเธอ” กระทิงกล่าว
“หากทุกสิ่งรอบข้างเธอกลายเป็นสีน้ำเงิน เธอก็พึงรู้เถิดว่าฉันได้ปราบวิญญาณชั่วร้ายลงอย่างราบคาบแล้ว 
แต่ถ้าทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเธอกลายเป็นสีแดง นั่นก็หมายความว่าฉันถูกมันฆ่าตายอย่างสิ้นซาก” 
กล่าวเสร็จเขาก็เดินจากไป ไม่นานก็ลับสายตาท่ามกลางความมืดดำแห่งป่าดงดิบ คงปล่อยให้เจ้าหญิงนั่งนิ่งไม่
ไหวติงอยู่บนโขดหินแต่เพียงลำพัง เธอกลัวแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว เพราะเกรงว่าอาจจะมีวิญญาณร้ายที่เราไม่รู้
เข้าสิงสู่เธอได้
ในที่สุด หลังจากที่เธอนั่งอยู่นานเกือบชั่วโมง ความเปลี่ยนแปลงที่เฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อก็เริ่มผ่านเข้ามา
ทั่วทั้งบริเวณ แรกทีเดียวมันปรากฏเป็นสีเทา ต่อมามันก็กลายเป็นสีน้ำเงินอันสดใสราวกับแผ่นนภาได้ทอดตัวลง
มาจรดพื้นแผ่นหล้า
“เจ้ากระทิงถึกมีชัยแล้ว” เจ้าหญิงนึกในใจ 
“โอ! ช่างเป็นสัตว์ที่ประเสริฐอะไรเช่นนี้!” อารามดีใจและโล่งอก เธอจึงเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นนั่งไขว้เท้า 
โอ อนิจจา! ช่างเป็นวันที่เลวร้ายและน่าเศร้าเหลือที่สุด ในบัดดลนั้นเอง มนต์ดำแห่งคำสาปก็ตกต้องเธอ และ
เป็นเหตุให้ไม่สามารถมองเห็นเธอได้จากสายตาของเจ้าชายแห่งนอร์โรเวย์ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้มีชัยแก่วิญญาณร้าย 
และกำลังจะหลุดพ้นจากคำสาป อันทำให้เขาอยู่ในร่างของกระทิงดำอย่างที่เห็น หลังจากพิชิตปรปักษ์เป็นผลสำ
เร็จ เขาก็คืนสู่ร่างเดิมเป็นชายหนุ่มเหมือนก่อนหน้าที่ต้องคำสาป และรีบเร่งเดินทางกลับออกจากป่าเพื่อไป
แสดงตัวต่อหญิงคนที่เขารัก ผู้ที่คาดหมายไว้จะเอาชนะซึ่งหัวใจ ด้วยหวังว่าเธอจักเป็นเจ้าสาวของเขา
เขาเฝ้าตระเวนหาเธอจนแล้วจนเล่าเป็นเวลานาน ในขณะที่ตลอดเวลา เธอเองก็ยังคงนั่งคอยอยู่บนโขดหิน ณ 
ที่ ตรงนั้นอย่างอดทน หากแต่ความอาถรรพ์นั่นเองได้บดบังดวงตาของเธอ จึงทำให้เธอมองไม่เห็นเขา เช่น
เดียวกันกับที่เขาไม่สามารถมองเห็นเธอ
เธอนั่งคอยอยู่ที่นั่นนานต่อนาน จนกระทั่งเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หวาดผวา เงียบเหงาและโดดเดี่ยว 
เมื่อเหลือที่จะอดเธอถึงกับปล่อยโฮ ร้องห่มร้องไห้ สะอึกสะอื้น และในที่สุดก็ม่อยหลับไปอย่างอิดโรย ครั้นเธอ
รู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาในตอนเช้า จึงคิดว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนั่งอยู่ที่นี่ต่อไป เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นและ
ออกเดินทาง ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าจะไป ณ แห่งหนตำบลใด 
เธอเดินตะรอนไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง จนในที่สุดก็มาถึงเนินเขาขนาดใหญ่ ซึ่งรกชัฏอัดแน่น
ไปด้วยพงหญ้าและป่าหนาม จึงเป็นสิ่งขวางกั้นที่เธอไม่สามารถจะบากบั่นดั้นเดินต่อไปอีกได้ เธอพยายามปีน
ป่ายไต่ขึ้นไปบนเนินเขาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะทุกครั้งที่เธอพยายามมันก็จะลื่นไถลกลับลงมา
ที่เดิม ทั้งนี้ก็เพราะพื้นผิวของมันมีความลื่นและลาดชัน ในบางคราว เธอสามารถปีนขึ้นไปได้ แต่อย่างเก่งก็ไม่
เกินสองหรือสามฟุต ก็เป็นอันต้องไถลกลับลงมาอีกครั้งในบัดเดี๋ยวนั้น
เมื่อเป็นดังนี้เธอจึงออกเดินทางไปรอบๆตีนเขา ในใจก็คาดหวังถึงเส้นทางแคบๆที่อาจจะช่วยให้เธอเดินข้าม
เนินเขาไปได้ ทว่าเนินเขาลูกนั้นใหญ่โตเอามาก ซ้ำร้ายเธอเองก็เหนื่อยแสนเหนื่อย ความต้องการของเธอ
จึงดูเหมือนว่าเกือบจะเป็นสิ่งที่ไร้ความหวัง เธอไม่มีกระจิตกระใจต่อสิ่งใดเหลืออยู่แล้ว เธอเดินซวนเซต่อไป
อย่างเชื่องช้า และสะอึกสะอื้นอย่างหมดอาลัย ต่อความรู้สึกภายในหากไม่มีใครให้ความช่วยเหลือทัน เธอก็จัก
ทรุดกายลงไปนอนราบและรอคอยความตายอย่างไม่ต้องสงสัย 
อย่างไรก็ตาม พอตกในราวเที่ยงวัน เธอก็พาร่างอันอ่อนล้า มาถึงยังกระท่อมเล็กๆหลังหนึ่ง ข้างกระท่อมเป็น
โรงตีเหล็ก ซึ่งมีช่างตีเหล็กเป็นชายชรากำลังง่วนอยู่กับงานของเขา เธอจึงเข้าไปหาและถามถึงเส้นทางที่เขาพอ
รู้ที่สามารถช่วยให้เธอข้ามเขาลูกนี้ได้ ชายชราวางค้อนตีเหล็กลง จ้องหน้ามาที่เธอ และขณะที่ส่ายหัวอย่างช้าๆ
“เปล่า ไม่มีหรอกหนูเอ๋ย”   เขาเอ่ยขึ้น
“มันไม่มีถนนที่สะดวกสำหรับข้ามเขาอันเต็มไปด้วยพงหนามนี่หรอก หากใครจะข้ามก็จะต้องเดินอ้อม ซึ่งก็ไม่
ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ ถึงใครพยายามจะลอง แน่นอนเลยทีเดียว ก็มักจะพากันหลงทาง
เสียเกือบหมด หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเดินลัดตัดขึ้นไปบนยอดเขาเสียโดยตรง แต่ใครที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ก็คือ
คนที่จะต้องสวมใส่รองเท้าเหล็กเพียงเท่านั้น”
“แล้วฉันจะหารองเท้าเหล็กมาได้อย่างไร” เจ้าหญิงรีบไต่ถามด้วยความอยากได้ 
“ท่านผู้ใจดี ท่านพอจะทำให้ฉันสักคู่ได้ไหม   ฉันยินดีที่จะจ่ายค่ารองเท้าให้” 
แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุดกึกลงทันใด เพราะเธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่มีเงินติดตัวเลย
“รองเท้าที่กล่าวถึงนี้ มิได้มีไว้ หรือ ทำขึ้นเพื่อขาย” ชายชราเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็นและจริงจัง 
“หากแต่สามารถได้มันมาด้วยการยินยอมเป็นทาสรับใช้แต่เพียงเท่านั้น ฉันเองแต่เพียงผู้เดียวที่สามารถทำ
ให้ได้กับใครก็ตามที่ยินยอมเป็นคนรับใช้ฉัน”
“ฉันจะต้องรับใช้ท่านอยู่นานเพียงใดท่านถึงจะยอมทำให้” เจ้าหญิงถามต่อในขณะที่กำลังจะเป็นลมล้มพับ
“เจ็ดปี” ชายชราตอบ 
“เพราะเหตุว่ามันเป็นรองเท้าวิเศษ ดังนั้นจึงต้องเป็นตัวเลขอันวิเศษ”
จึงดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้เลือกมากไปกว่านี้ เจ้าหญิงจึงตกลงใจและยอมตนทำหน้าที่เป็นทาสรับใช้ของช่างตี
เหล็ก และอยู่เป็นระยะเวลาอันยาวนานถึงเจ็ดปีเต็มๆ เธอต้องทำความสะอาดบ้าน หุงหาอาหารทำกับข้าว ตัด
เย็บเสื้อผ้าและปะชุนพวกที่ขาด
จนในที่สุดวาระครบเทอมก็มาถึง ชายชราจึงทำรองเท้าเหล็กให้เธอหนึ่งคู่ตามสัญญา เมื่อได้สวมรองเท้าเหล็ก 
เธอจึงสามารถปีนป่ายภูเขาได้อย่างง่ายดาย ส่วนพงหนามเล่าเมื่อเหยียบย่างไปก็ราวกับว่าเดินอยู่บนสนามหญ้า
อันอุ่นนุ่ม
 
ในที่สุดเธอก็สามารถเดินขึ้นไปจนถึงยอดเขา จากนั้นก็เป็นการเดินลงเขาเพื่อข้ามไปอีกฟากหนึ่ง จนกระทั่งมา
ถึงตีนเขา บ้านหลังแรกทีเดียวที่เธอเห็น คือบ้านของหญิงผู้มีอาชีพซักผ้าคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่กับลูกสาวเพียงคน
เดียวของนาง ด้วยเวลานี้เจ้าหญิงอ่อนล้ามาก เธอจึงเข้าไปเคาะที่ประตูบ้านเพื่อขออาศัยพักสักคืน 
หญิงอาชีพซักผ้าคนนั้น ค่อนข้างมีอายุ ดูอัปลักษณ์ ใบหน้าแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความชั่วร้าย ได้กล่าวแก่
เธอว่านางอาจจะอนุญาตให้พักได้ หากเธอจะพยายามซักเสื้อคลุมสีขาวของอัศวินดำแห่งนอร์โรเวย์ ผู้ซึ่งนำเสื้อ
เปื้อนเลือดจากการต่อสู้กันถึงตายมาให้เธอซัก
“เมื่อวานนี้ฉันใช้เวลาซักมันทั้งวันเลย” หญิงชราพล่ามต่อ 
“แล้วก็ยังนำมาวางไว้บนโต๊ะและแช่ต่ออีก พอตกกลางคืน ฉันจึงนำออกมาจากถังซัก แต่ว่ารอยเปื้อนนั่นก็ยัง
คงดำอยู่เหมือนเดิม บางทีมือแม่หนูอาจจะช่วยทำให้มันสะอาดได้นะ ฉันไม่อยากจะทำให้อัศวินดำแห่งนอร์โร
เวย์ต้องผิดหวัง เพราะท่านเป็นผู้มีเกียรติยศอันเลื่องลือและเป็นถึงเจ้าชายผู้มีวาสนาบารมี”
“อัศวินท่านนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับกระทิงดำแห่งนอร์โรเวย์บ้างรึเปล่า” เจ้าหญิงรีบซักถาม ด้วยชื่อนั้น
ทำให้หัวใจของเธอแทบจะเต้นออกมานอกทรวงอกเพราะความยินดี บางทีเธออาจจะได้พบกับชาย คนที่สาบสูญ
ไปในคราวนั้นอีกครั้ง
หญิงชราจ้องเธออย่างสงสัย 
“เป็นสองก็เหมือนหนึ่ง” นางกล่าว 
“เพราะเหตุว่าอัศวินดำต้องคำสาป ทำให้เขากลายเป็นกระทิงดำ ต่อเมื่อได้ต่อสู้และมีชัยแก่วิญญาณร้ายซึ่งอา
ศัยอยู่ในป่าดงดิบนั่นแหละ จึงจะสามารถลบล้างคำสาปนั้นได้ และกลับคืนสู่ร่างเดิม แต่เล่าลือกันว่าหัวใจของเขา
กลับต้องเผชิญกับความมืดมนอยู่ ณ ที่ใดสักแห่ง เพราะเขาบอกว่าหญิงสาวที่เขารักและหวังจะแต่งงานกลับมีอัน
ต้องพลัดหลงจากกันนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนที่พอจะรู้จักกับหญิงสาวคนนั้นว่าเธอ
เป็นใคร แต่ฉันว่าเรื่องอย่างนี้ก็คงไม่น่าสนใจสำหรับคนแปลกหน้าอย่างเธอหรอกกระมัง” 
แล้วนางก็กล่าวต่อไปอย่างช้าๆเป็นเชิงว่าขออภัยที่พูดมาก 
“ฉันไม่อยากจะพูดมากให้เสียเวลาหรอกนะ แต่ถ้าเธอจะลองซักเสื้อที่เปื้อนนั้น ฉันก็ยินดีต้อนรับกับฝีมือ คือ
ยอมให้พักค้างคืนได้ แต่ถ้าเธอไม่ยอมซัก ฉันก็ต้องขอร้องให้ไปจากที่นี่ตามทางของเธอ” 
กล่าวไปไยให้ป่วยการ เจ้าหญิงจึงรับปากที่จะซักเสื้อดังกล่าวให้ และราวกับว่านิ้วมือของเธอมีอำนาจอันวิเศษ 
เพราะทันทีที่เธอจุ่มมือลงในน้ำ  คราบเปื้อนนั้นก็อันตรธานไปเสียสิ้น เสื้อจึงกลับดูขาวสะอาดราวกับเป็นเสื้อ
ใหม่ในบัดดลนั้นเอง 
แน่นอนเลยทีเดียว หญิงชรามีความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นสิ่งที่เพิ่มความสงสัยให้แก่นางยิ่งขึ้น เพราะดู
ออกจะเป็นที่ชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวพันกันอย่างลึกลับระหว่างหญิงสาวคนนี้กับท่านอัศวิน เมื่อเธอ
สามารถซักเสื้อของเขาให้สะอาดได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่นางและลูกสาวต่างก็ช่วยกันซักจนสุดฝีมือ แต่รอย
เปื้อนก็ยังคงติดคาถาวรอยู่เช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม นางทราบดีว่าเจ้าชายหนุ่มผู้กล้าหาญ กำลังจะมาที่บ้านของนางในค่ำคืนนี้ ด้วยนางต้องการให้ลูก
สาวของตนเป็นผู้ได้รับความดีความชอบ จากการซักเสื้อเปื้อนเลือดอาถรรพ์ตัวนั้นแต่เพียงผู้เดียว นางจึงออก
อุบายบอกให้เจ้าหญิงเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หลังจากที่ตรากตรำกับงานมา
ทั้งวัน เจ้าหญิงก็เห็นคล้อยตาม ไม่นานเธอก็ม่อยหลับไปอย่างสนิทโดยมีร่างของเธอซุกซ่อนอยู่ภายในตู้นอน
อันมิดชิด ซึ่งวางอยู่ที่มุมภายในบ้านนั้นเอง และก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่อัศวินดำแห่งนอร์โรเวย์เดินทางมา
ที่บ้านหลังนั้น เพื่อรับเอาเสื้อของเขากลับคืนไป
กล่าวในส่วนของอัศวิน ผู้ซึ่งเก็บรักษาเสื้อเปื้อนเลือดนี้ไว้ตลอดระยะเวลาเจ็ดปี นับตั้งแต่วันที่เผชิญกับวิญญาณ
ชั่วร้าย ณ ป่าดงดิบคราวนั้น และตลอดเวลาเขาก็ได้พยายามเที่ยวเสาะหาใครก็ตามที่สามารถซักมันให้สะอาด
ได้ แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จ
เจ้าชายเองก็เห็นคล้อยกับหญิงชราผู้ชาญฉลาดซึ่งชำนาญในศาสตร์แห่งโชคชะตา ที่ได้เคยบอกแก่เขาไว้ว่า 
หญิงคนใดก็ตามที่สามารถซักให้มันสะอาดได้ คนนั้นไซร้ก็คือเนื้อคู่ที่ผูกพันเป็นภรรยา ไม่ว่าเธอจักสวย หรือ 
อัปลักษณ์ จักยังสาว หรือ แก่ชรา และยิ่งไปกว่านั้นเธอจักเป็นผู้ที่พิสูจน์ถึงค่าแห่งความรัก ความภักดี และความ
เสียสละอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนั้นพอเจ้าชายมารับเอาเสื้อที่บ้านของหญิงซักผ้า จึงได้เสื้ออันขาวสะอาดราวกับสีของหิมะคืนมา ครั้น
ทราบว่าลูกสาวของหญิงอาชีพซักผ้านั่นเอง คือคนที่ทำให้เสื้อกลับเปลี่ยนเป็นขาวสะอาดอย่างน่าอัศจรรย์ เขา
จึงตกปากรับคำที่จะแต่งงานกับเธอโดยทันที และกำหนดวันแต่งงานขึ้นอย่างเร่งด่วนคือในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเจ้าหญิงตื่นนอนในตอนเช้า จึงได้รู้ข่าวทั้งมวล เธอเพิ่งทราบว่าอัศวินดำได้มาที่บ้านเมื่อคืนที่ผ่านมา ใน
ขณะที่เธอกำลังหลับอยู่ เขามารับเสื้อกลับคืนไปแล้ว และยังได้ให้สัญญาที่จะแต่งงานกับลูกสาวของหญิงอาชีพ
ซักผ้า ซึ่งเป็นวันนี้ด้วย  โอ...หัวใจของเธอแทบแหลกสลาย ด้วยเธอคงจะไม่มีโอกาสได้บอกเล่าถึงความจริงกับ
เขา ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอเป็นใคร
ความเสียใจอย่างใหญ่หลวงกอปรกับความกลัดกลุ้มที่รุมเร้า พลันเธอก็นึกขึ้นได้ถึงผลไม้อันสวยงามที่เธอได้รับ
มอบมา ซึ่งเธอเองพกพาเอาไว้อยู่กับตัว มาตลอดระยะเวลาเจ็ดปี 
“แน่นอนล่ะ คราวนี้เราเองคงจะไม่มีความเจ็บปวดรวดร้าวที่มากเกินไปกว่านี้อีกแล้ว” 
เธอครุ่นคิดในใจ จากนั้นก็หยิบเอาลูกแอปเปิลออกมา แล้วเธอก็กะเทาะเปลือกมันออก ทันใดนั้น โอ...ภายใน
นั้นเต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาอันมีค่าเหลือประมาณ ซึ่งเธอไม่เคยเห็นในชีวิตมาก่อน ต่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
พลันสมองของเธอก็โลดแล่นและมีแผนการผ่านเข้ามาในความคิด
เธอนำเอาเพชรนิลจินดาเหล่านั้นออกมาจากลูกแอปเปิล แล้วก็ห่อมันด้วยผ้าเช็ดหน้าของเธอเอง เสร็จแล้วก็
นำไปให้หญิงอาชีพซักผ้าดู
“ดูสิ่งนี้สิ” เธอกล่าว 
“บางทีฉันอาจจะร่ำรวยกว่าที่ท่านคาดคิดก็ได้นะ   แต่ถ้าท่านทำอะไรบางอย่างได้ สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะเป็นของ
ท่าน”
“โอ้โฮ! แน่ใจล่ะหรือ รีบบอกมาเถอะจะให้ฉันทำอะไร”   
หญิงชรารีบถามอย่างกระหายใคร่ได้เป็นเจ้าของ เพราะนางเองก็ไม่เคยพบเห็นเพชรนิลจินดาราคาแพงจำนวน
มากมายอะไรเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ความอยากได้จึงมีมากเป็นทวีคูณ
“ก็เพียงแต่เลื่อนวันแต่งงานของลูกสาวท่านออกไปอีกสักหนึ่งวันเท่านั้นแหละ” เจ้าหญิงบอกนาง 
“แล้วก็ขอให้ฉันเข้าไปดูอัศวินดำอยู่ข้างๆเตียง ขณะที่เขากำลังหลับคืนนี้ เพราะฉันปรารถนาอยากจะเห็นหน้า
ตาของเขามาก”
เงื่อนไขเพียงเท่านี้เอง หญิงอาชีพซักผ้าจึงตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก นางจึงตอบตกลงตามที่ขอทันที ด้วยหญิง
ชราหวังเอาแต่ได้ในของมีค่าเหล่านั้น ซึ่งมันหมายถึงความร่ำรวยของนางไปจนตลอดชีวิต และอีกอย่างคำร้อง
ขอของเจ้าหญิงก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรมาก เพราะนางคิดอยู่ในใจแล้วว่า นางจะแอบใส่ยานอนหลับให้กับท่าน
อัศวินดำ เหตุนั้นเขาก็จะไม่มีโอกาสได้พูดคุยอะไรกันมากกับหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้นางจึงหยิบเอาเพชร
พลอยเหล่านั้นไปเก็บไว้ในตู้ของตน และลงสลักปิดไว้เป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นวันแต่งงานก็ถูกเลื่อนไปอีกหนึ่ง
วัน พอตกกลางคืนเจ้าหญิงก็แอบเข้าไปในห้องของอัศวินดำ ผู้ซึ่งเวลานี้กำลังนอนหลับ เธอเฝ้าจดจ้องมองดูเขา
อยู่ข้างๆเตียงนอน ตลอดห้วงเวลาหลายชั่วโมงอันยาวนาน เธอขับขานด้วยบทเพลง จิตบรรเลงอย่างเร้ารุก เผื่อ
จักปลุกเขาให้ตื่นมายลยิน กับน้ำเสียง และสำเนียงถ้อย อันเธอได้ร้อยจำนรรจ์ว่า...
“โอ... ยอมเป็นทาสเจ็ดปีฉันพลีให้
ขุนเขาไซร้ปีนป่ายเพื่อปลายฝัน
เสื้อกลับขาวฉันซักให้สมใจพลัน
ถึงกระนั้นเธอมิจ้องตื่นมองฉันฤๅ”
ถึงแม้บทเพลงดังกล่าวจะร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายต่อหลายหน ประหนึ่งว่าหัวใจของเธอจะแยกแตกออกเป็น
เสี่ยงๆ ทว่าเขาจะได้ยินหรือระแคะระคายแต่เพียงนิดก็หาไม่ ด้วยเหตุว่ายานอนหลับของหญิงอาชีพซักผ้านั้นส่ง
ผล เขาจึงหลับเป็นตาย
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยใจที่ทุกข์ทรมานอย่างหนัก เจ้าหญิงจึงกะเทาะลูกแพร์และหวังใจไว้ว่าเธอจะได้รับความช่วย
เหลือที่ดีกว่าลูกแอปเปิล แต่สิ่งที่เธอพบกลับเป็นอย่างเดียวกัน กล่าวคือมันเป็นเพชรนิลจินดาจำนวนมากและมี
มูลค่าแพงกว่าอันก่อนมากมายนัก
ดังนั้นจึงดูเหมือนว่ามีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เธอพอจะทำได้ คือนำมันไปให้หญิงชราเพื่อเป็นของกำนัลสำหรับ
การเลื่อนวันแต่งงานออกไปอีกสักหนึ่งวัน และขอให้เธอได้เข้าไปเฝ้าดูอยู่ข้างๆเตียงของอัศวินดำอีกสักหนึ่งคืน
หญิงชราก็ตกลงตามนั้น “ดีแล้ว” นางกล่าว ขณะนำเอาเพชรนิลจินดาเหล่านั้นไปใส่ในตู้ของตนและลงสลัก
ปิดเอาไว้ 
“ไม่นานฉันก็จะยิ่งร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ หากมีรายได้มากมายขนาดนี้” 
อนิจจา! ความพยายามของเจ้าหญิงก็หาได้บังเกิดผลแต่อย่างใดไม่ ถึงแม้เธอจะเฝ้าขับขานบทเพลงนั้นจนสุด
ความสามารถตลอดห้วงเวลาอันยาวนานหลายชั่วโมงก็ตาม บทที่พร่ำร้องรำพันก็ยังคงย้ำอยู่ว่า...
“โอ... ยอมเป็นทาสเจ็ดปีฉันพลีให้
ขุนเขาไซร้ปีนป่ายเพื่อปลายฝัน
เสื้อกลับขาวฉันซักให้สมใจพลัน
ถึงกระนั้นเธอมิจ้องตื่นมองฉันฤๅ”
ทั้งนี้เจ้าชายหนุ่มที่เธอเฝ้าแต่จดจ้องมองเมียงอย่างทะนุถนอมนั่น ก็ยังคงเป็นเหมือนคนหูหนวกและใบ้ ไม่ไหว
ติง ดูแน่นิ่งราวกับก้อนศิลาอยู่เช่นนั้น
เมื่อถึงรุ่งเช้า ความหวังของเธอก็แทบจะไม่มี ด้วยเวลานี้มีเพียงลูกพลัมเท่านั้นที่เธอยังเหลืออยู่ หากเธอพลาด
อีกครั้งความหวังทั้งมวลก็คงเป็นอันสูญสลายหายไปด้วยกัน เธอหยิบลูกพลัมออกมากะเทาะด้วยมืออันสั่นเทา 
พลันสิ่งที่เห็นอยู่ข้างในก็คือเพชรนิลจินดาอันมีค่ามหาศาลและหาได้อย่างยากยิ่งกว่าอันก่อนหน้านี้ทั้งหมด
เธอจึงรีบถือไปหาหญิงอาชีพซักผ้านั่นทันที พร้อมกับโยนมันลงบนตักของนาง และบอกแก่นางว่าเธอยินดีที่จะ
ยกให้ทั้งหมดนี้ หากนางจะเลื่อนวันแต่งงานของลูกสาวออกไปอีกสักครั้งหนึ่ง และขอโอกาสให้เธอได้เข้าไปเฝ้า
ดูเจ้าชายอีกสักคืน หญิงชราก็ยินยอมตามนั้นเพราะความตื่นเต้นและยินดีในความร่ำรวยของตน
คราวนี้ล่ะที่เปิดโอกาสให้กับอัศวินดำรู้สึกเบื่อหน่ายต่อการรอคอยวันแต่งงาน ที่เอาแต่เลื่อนออกไปเรื่อยๆติด
ต่อกันหลายวัน เขาจึงตัดสินใจเข้าป่าหาล่าสัตว์เป็นการผ่อนคลายโดยมีบริวารติดตามไปด้วยหลายคน ซึ่งใน
ระหว่างที่พวกเขาขี่ม้ามาด้วยกันก็ได้สนทนากันถึงเรื่องๆหนึ่งที่ทำให้พวกเขาต่างก็ประหลาดใจตลอดห้วงเวลา
สองคืนที่ผ่านมา ในที่สุด พรานอาวุโสจึงเร่งฝีเท้าม้าแซงหน้าขึ้นไปเพื่อถามไถ่เอากับอัศวินด้วยตนเอง
“ท่านชาย” เขาเอ่ยขึ้น 
“พวกเราใคร่อยากทราบว่านักร้องคนใดกัน ช่างขับร้องได้อย่างไพเราะและหวานจับใจจนตลอดคืน ซึ่งแว่วดัง
มาจากห้องบรรทมของท่านนั่นเอง” 
“นักร้อง!” เจ้าชายทวนคำ 
“ไม่เห็นจะมีนักร้องที่ไหนนี่นา ห้องของฉันก็แสนจะเงียบเชียบราวกับป่าช้า ฉันเองก็หลับสนิท แม้แต่ฝันก็
ไม่เคยมีเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาพักในบ้านหลังนี้”
พรานอาวุโสจึงส่ายหน้า 
“ถ้าเช่นนั้น คืนนี้ท่านชาย อย่าได้ดื่มอะไรจากหญิงชราคนนั้นเป็นอันขาด” 
เขาพูดต่ออย่างหนักแน่น 
“แล้วท่านก็จักได้สดับว่าหูของคนอื่นๆเขาได้ยินอะไรกัน”
หากเป็นเวลาอื่น อัศวินดำก็คงจะปล่อยหัวเราะออกมาอย่างแน่นอนกับคำพูดของพรานอาวุโส แต่ทว่าวันนี้เขา
พูดด้วยท่าทีจริงจังซึ่งจะแฝงด้วยเรื่องตลกแม้แต่นิดก็หาไม่ เจ้าชายจึงไม่อาจจะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน แต่จำต้อง
รับฟังด้วยความใส่ใจ ครั้นพอตกตอนเย็น หญิงชราก็นำเอาเครื่องดื่มมาวางที่ข้างเตียงนอนเหมือนเช่นเคย เขา
จึงกล่าวแก่นางว่าความจริงแล้วเขาชอบรสหวานมากกว่านี้ พอนางหันหลังให้เพื่อกลับไปหยิบเอาน้ำผึ้งจากห้อง
ครัว เจ้าชายจึงรีบกระโจนลงจากเตียงนอนแล้วก็เทมันทิ้งออกทางหน้าต่างจนหมดสิ้น พอนางเดินกลับเข้ามาอีก
ครั้งเขาก็แสร้งเป็นว่าได้ดื่มมันจนหมดเกลี้ยงแล้ว
ดังนั้นจึงเป็นอันว่าเจ้าชายสามารถเอนหลังลงนอนโดยที่ยังไม่หลับได้ตลอดคืน เขาได้ยินเสียงแม้กระทั่งการ
ย่องเข้ามาของเจ้าหญิง บทเพลงสั้นๆของเธอ และน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความระทมขมขื่นที่พร่ำพรรณนาว่า...
“โอ... ยอมเป็นทาสเจ็ดปีฉันพลีให้
ขุนเขาไซร้ปีนป่ายเพื่อปลายฝัน
เสื้อกลับขาวฉันซักให้สมใจพลัน
ถึงกระนั้นเธอมิจ้องตื่นมองฉันฤๅ”
ทันทีที่ได้ยิน เขาก็เข้าใจเรื่องราวโดยตลอด เจ้าชายจึงดีดผึงขึ้นจากเตียงนอน และสวบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน
แล้วก็จุมพิตเธอ พลางก็ขอให้เธอได้เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
ครั้นเจ้าชายได้สดับเรื่องราวจนหมดสิ้น ทรงกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้เนรเทศหญิงอาชีพซักผ้าผู้มากไปด้วยเหลี่ยม
เล่ห์เพทุบายพร้อมทั้งลูกสาว ให้พ้นไปจากราชอาณาจักรของพระองค์โดยทันที ส่วนเจ้าชายและเจ้าหญิงก็ได้
อภิเษกสมรสกันและมีความสุขสืบต่อมา จนตราบชั่วอายุขัย เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
comments powered by Disqus
  Prayad

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน