กาลครั้งหนึ่งมีชาวนาผู้ยากจนคนหนึ่ง เขาไม่มีที่นาเลยแม้แต่น้อย แต่มีบ้านหลังเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง
และมีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว วันหนึ่งเขาได้พูดกับลูกสาวว่า
“ลูกรัก เราควรจะขอพระราชทานที่นาจากพระราชาสักแปลงเล็กๆนะ” ซึ่งต่อมาความยากจน
แสนเข็ญของพวกเขาได้ทราบถึงพระราชา พระองค์จึงได้พระราชทานผืนนาผืนหนึ่งให้
ดังนั้นชาวนาและลูกสาวจึงช่วยกันขุดดินเพื่อเตรียมการหว่านเมล็ดข้าวโพดและถั่วงาต่างๆ
ครั้นพวกเขาขุดดินไปจนเกือบจะแล้วเสร็จ ก็ปรากฏว่าพบครกที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ ที่ถูกฝัง
อยู่ในดินใต้ผืนนา ชาวนาจึงพูดกับลูกสาวว่า
“ฟังนะลูกรัก ด้วยพระราชาได้พระราชทานที่นาผืนนี้ให้กับเรานับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นเหลือ
เราควรจักนำครกทองคำอันนี้ทูลเกล้าถวายเป็นการตอบแทนพระองค์” แต่ลูกสาวก็ไม่ได้เห็นด้วย
และพูดกับพ่อว่า
“พ่อคะ เมื่อพวกเรามีครกโดยปราศจากสาก เราก็จำเป็นต้องค้นหาสากอยู่ดี ฉันว่าเรื่องนี้
เราควรเงียบไว้จะดีกว่า” แต่ชาวนาก็ไม่เชื่อฟังคำแนะนำของลูกสาว จึงได้นำครกทองคำนั้น
ไปทูลเกล้าถวายแด่พระราชาพร้อมกับเล่าว่าตนได้พบมันฝังอยู่ในที่นาที่ได้รับพระราชทานและขอ
พระองค์ได้โปรดรับไว้เป็นของขวัญเถิด
ครั้นพระราชารับครกทองคำมาแล้วก็ได้มีรับสั่งกับชาวนาว่านอกจากนี้แล้วไม่ได้พบเห็นสิ่งใดอีกหรือ
“เปล่าพะยะค่ะ” ชาวนาทูลตอบ
แต่พระราชาก็มีรับสั่งว่าเขาจะต้องนำสากของมันมาทูลถวายด้วย
ถึงแม้ชาวนาจะทูลอธิบายอย่างไรว่าเขาเองนั้นไม่ได้พบสากเลย แต่ก็ไร้ผลประหนึ่งพูดกับสายลม
เขาจึงถูกนำไปจำคุกจนกว่าจะนำสากมาทูลถวายได้
ในคุกจะมีพนักงานนำอาหารมาให้เป็นประจำทุกวัน อาหารของคนที่ถูกจำคุกเหมือนกันหมดทุกคนก็คือ
ขนมปังกับน้ำ ซึ่งชาวนาได้รับประทานพอประทังชีวิตไปวันๆ พวกพนักงานประจำคุกมักจะได้ยินเขา
พูดบ่นเพ้ออยู่อย่างไม่ขาดระยะว่า
“โอ…นี่ถ้าเพียงแต่ฉันเชื่อฟังลูกสาวบ้างสักนิด! อา…ถ้าเพียงแต่ฉันเชื่อฟังลูกสาวบ้างสักนิด!”
ต่อมาพวกพนักงานจึงไปเข้าเฝ้าพระราชาและทูลเรื่องชาวนาที่เอาแต่พูดพร่ำเพ้อว่า
“อา…ถ้าเพียงแต่ฉันเชื่อฟังลูกสาวบ้างสักนิด!” แล้วก็ไม่ยอมกินหรือดื่มอะไรทั้งนั้น
พระราชาจึงมีรับสั่งให้นำตัวชาวนาเข้าเฝ้าแล้วตรัสถามชาวนาว่า เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่พูดพร่ำเพ้อว่า
“อา…ถ้าเพียงแต่ฉันเชื่อฟังลูกสาวบ้างสักนิด!” และความจริงแล้วลูกสาวเจ้าพูดว่ากระไร
ชาวนาจึงทูลตอบว่า
“เธอบอกฉันไม่ควรจะทูลถวายครกทองคำแก่พระองค์ เพราะสมควรที่ฉันจะทูลถวายสากด้วย”
“ถ้าเจ้ามีลูกสาวที่ฉลาดเฉลียวอย่างนั้น ก็จงไปนำเธอมาที่นี่ และนี่คือรับสั่ง เพื่อฉันจักได้ถามปัญหาเชาว์
ต่อหน้าพระพักตร์ และหากเธอสามารถทายปัญหาได้ ฉันก็จะอภิเษกสมรสกับเธอ”
ครั้นลูกสาวชาวนามาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ เธอก็รับที่จะทายปัญหาโดยทันที พระราชา
จึงตรัสปริศนาคำถามว่า
“จงมาเข้าเฝ้าฉันโดยไม่สวมใส่เสื้อผ้า แต่หาได้เปลือยไม่ ห้ามขี่ม้า ห้ามเดินเท้า ห้ามใช้ในถนนและห้าม
ใช้นอกถนน ถ้าเจ้าสามารถทำได้ฉันก็จะอภิเษกสมรสกับเจ้า”
เมื่อเธอกลับออกมาจากพระราชวัง เธอก็วางภาระทุกอย่างที่ทำแล้วก็จัดแจงเปลื้องเสื้อผ้าและสวมร่างกายแทน
ด้วยร่างแหขนาดใหญ่โดยพันรอบๆตัวหลายต่อหลายรอบ จนปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด จากนั้นเธอก็ไปขอเช่า
ลามาตัวหนึ่งแล้วผูกร่างแหที่พันกายของเธออยู่นั้นกับหางของมัน เหตุนั้นลาจึงลากเธอไปด้วย จึงไม่ใช่ทั้งการ
ขี่และการเดินเท้าแต่อย่างใด และลาก็ลากเธอไปตามร่องลึกของทางเกวียนโดยที่มีเพียงหัวแม่เท้าของเธอ
เท่านั้นที่สัมผัสกับพื้น ด้วยเหตุที่เธออยู่ระหว่างกึ่งกลางของร่องเกวียน เธอจึงไม่ได้ใช้ทั้งในถนนและนอกถนน
เมื่อเธอมาถึงพระราชวังในลักษณะดังกล่าว พระราชาจึงตรัสว่าเธอทายปริศนาได้ถูกต้องและปฏิบัติได้ตามเงื่อน
ไขแห่งปริศนาทุกประการ พระองค์จึงมีรับสั่งให้ปลดปล่อยพ่อของเธอออกจากคุก
และทำการอภิเษกสมรสกับเธอ กับทั้งมอบทรัพย์สมบัติและบริวารตามฐานันดรแห่งราชวงศ์ นับตั้งแต่บัดนั้น
เป็นต้นมา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้