นางเงือกน้อย (The mermaid) ตอนที่ ๓ อวสาน

Prayad

เมื่อเข้าไปในพระราชวัง เธอก็ได้รับพระราชทานเสื้อผ้าอันสวยหรู ทำด้วยผ้าไหมและมัสลิน เธอมีความสวย
และน่ารักกว่าใครๆที่พำนักอยู่ ณ ที่นั้น แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถพูดหรือร้องเพลงได้   มีนางสนมบางคน
แต่งกายอย่างลวกๆในชุดผ้าไหมปักด้วยทองคำ ได้ออกมาขับร้องต่อหน้าพระพักตร์ของเจ้าชาย ตลอดทั้ง
พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์  หนึ่งในจำนวนนั้นสามารถขับร้องด้วยเสียงหวานอันสดใส 
จนเจ้าชายทรงปรบมือให้แก่เธอ หากแต่นางเงือกน้อยนั้นรู้สึกเศร้าสลดใจมาก เพราะเธอย่อมรู้ดีว่าเธอเคยขับ
ร้องได้ไพเราะยิ่งกว่านางสนมนี้เป็นไหนๆ 
“อนิจจา!” เธอรำพึง
“ถ้าเพียงแต่เจ้าชายรู้ว่าฉันได้เสียสละน้ำเสียงของฉันเพื่อเขา”
เมื่อเหล่านางสนมเริ่มเต้นรำ นางเงือกน้อยผู้น่ารัก ก็ได้ยืนขึ้นแล้วกรีดกรายวาดแขนอันขาวผ่องละเมียดละไม
พร้อมกับออกลีลาการฟ้อนรำไปรอบๆห้อง ทุกท่วงทีที่ออกท่า ล้วนแต่งามสง่าสมส่วนสรีระอย่างไม่มีที่ติ การส่ง
ส่ายชายตาที่เธอแสดงออก ก็สุดแสนจะเป็นที่ต้องจิตและติดใจแก่ผู้เฝ้ายล ยิ่งเสียกว่าการขับร้องของนางสนมเป็น
ไหนๆ ทุกคนต่างตะลึงปานต้องมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าชายหนุ่มถึงกับทรงโปรดเรียกเธอว่า "สาวน้อยพลัด
ถิ่นผู้เป็นที่รักของฉัน" เธอได้พยายามเต้นรำครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้นทุกก้าวย่างของเธอ จะนำมาซึ่งความเจ็บ
ปวดสุดรวดร้าวเหลือคณา ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าชายทรงโปรดให้เธอเป็นผู้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด และทรงโปรดให้
จัดที่นอนซึ่งทำจากผ้าไหมอย่างดี โดยจัดให้เธอพักในห้องตรงกันข้ามกับห้องพักส่วนพระองค์ของเจ้าชาย
เจ้าชายยังทรงโปรดให้ตัดเสื้อผ้าชุดผู้ชาย สำหรับเธอสวมใส่เวลาขี่ม้าตามเสด็จเป็นเพื่อน ในบางคราวเธอเดิน
เท้าโดยเสด็จเพียงลำพังสองคนกับเจ้าชาย ฝ่าดงหนาป่ารกจนปรกไหล่ กลิ่นพฤกษ์ไพรกฤษณาปักษาขาน 
เพียรอดทนด้นดั้นถิ่นกันดาร ทรมานเจ็บกายแทบวายปราณ เธอต้องปีนป่ายตามเสด็จขึ้นสู่ยอดภูเขาสูง 
แม้ว่าเท้าอันบอบบางของเธอจะมีเลือดไหลอาบซิบๆ เธอก็ได้แต่ยิ้มและเดินตามเจ้าชายผู้เป็นที่รักของเธอต่อไป
จนกระทั่งทั้งคู่มาถึงความสูงที่สามารถมองเห็นหมู่เมฆเคลื่อนไหวไหลตามกันอยู่เบื้องล่าง ซึ่งมองดูราวกับฝูง
วิหคย้ายถิ่นบินสู่แดนไกล
ในยามค่ำคืนเมื่อทุกคนในพระราชวังพักผ่อนกันหมด เธอก็มักจะเดินลงไปตามบันไดหินอ่อน เพื่อบรรเทา
ความร้อนรนที่เท้าโดยอาศัยความเย็นของน้ำลึก ซึ่งทำให้เธอหวนคิดถึงครอบครัวที่อยู่เบื้องล่าง  แต่แล้วในคืน
หนึ่ง เหล่าพี่สาวของเธอก็ได้แหวกว่ายเกี่ยวก้อยกันมาและพากันขับขานอยู่ ณ บริเวณนั้นอย่างน่าสมเพช
เวทนา เธอจึงให้สัญญาณแก่พวกเขา พลันพวกเขาก็จำเธอได้และบอกเล่าถึงความโศกาอาลัยอันใหญ่หลวงจาก
พระราชวังของพระบิดาที่มีต่อเธอ หลังจากนั้นเป็นต้นมา พวกพี่สาวก็จะพากันมาเยี่ยมเธอทุกคืน ครั้งหนึ่งพวก
เขาก็ได้พาเสด็จย่าผู้ชราภาพมาด้วย ซึ่งเธอไม่ได้พบเห็นโลกเบื้องบนมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแล้ว นอกจาก
นั้นพวกเขาก็ยังพาพระบิดา ผู้สวมใส่มงกุฎ คือองค์ราชาแห่งเหล่าเงือกมาด้วย แต่ผู้อาวุโสทั้งสองจะกล้าฝ่าผจญ
เข้ามาใกล้ฝั่งพอที่จะสนทนากับเธอได้ก็หาไม่ 
นางเงือกน้อยได้กลายเป็นที่โปรดปรานของเจ้าชายยิ่งขึ้นทุกวันๆ หากแต่เป็นความโปรดปรานเฉกเช่นที่มีต่อ
เด็กผู้น่ารักและอ่อนหวาน ส่วนการอภิเษกสมรสกับเธอเพื่อสถาปนาเป็นพระชายาจะมีในดำริแม้แต่นิดก็หาไม่
ส่วนเธอเล่า การได้มาซึ่งความมีวิญญาณอันเป็นอมตะ จักต้องเป็นพระชายาของเจ้าชายเสียก่อน หาไม่แล้วเธอ
ก็จะกลายเป็นฟองน้ำ ลอยฟ่องไปกับคลื่นน้ำทะเลอยู่เป็นนิตย์ 
“คุณมิได้รักฉันยิ่งกว่าคนอื่นๆหรอกหรือ” ปุจฉาจากสายตาของเธอ ในระหว่างที่เจ้าชายประคองเธอไว้ใน
อ้อมแขนและจุมพิตลงที่หน้าผากอันน่ารัก
“ถูกแล้ว” เจ้าชายอาจหมายวิสัชนา 
“สำหรับฉัน เธอเป็นคนที่น่ารักมากกว่าใครๆ จะหาใครสักคนมีดีเสมอเธอก็เปล่า เธอรักในตัวฉันมาก และเธอ
เองก็ช่างเหมือนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งฉันเคยพบเพียงครั้งเดียวและอาจจะไม่ได้เห็นกันอีกเลย ครั้งหนึ่งเรือของ
ฉันอับปางลงด้วยพายุ ฉันถูกคลื่นซัดลงทะเลบริเวณชายฝั่งใกล้กับวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ หญิงสาวผู้นั้นมาพบเข้าและ
ช่วยชีวิตให้ฉันรอดมาได้ ฉันเห็นเธอเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ภาพพิมพ์แห่งเธอยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ
ของฉันอย่างมีชีวิตชีวา และเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ฉันจะรักได้ แต่ทว่าผู้ที่เป็นเจ้าของแห่งเธอคือวิหารอันศักดิ์
สิทธิ์ ส่วนเธอเองเล่า ผู้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับเธอมาก ก็ยิ่งทำให้ฉันมีความมั่นคงและเข้มแข็งมากขึ้น เราทั้ง
สองจะไม่มีวันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเด็ดขาด!”
“อนิจจา! เขาไม่รู้หรอกว่าผู้ที่ช่วยชีวิตให้เขารอดมาได้คือตัวฉันเอง” นางเงือกน้อยรำพึงและถอนหายใจอย่าง
แรง
“เจ้าชายจะทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาแสนสวยของกษัตริย์จากต่างเมือง” พวกนางสนมพูดกัน 
“เหตุนี้เองที่เจ้าชายทรงโปรดให้ตกแต่งเรืออย่างวิจิตร ทำประหนึ่งว่าจะเสด็จออกประพาส แต่ความจริงแล้วเจ้า
ชายจะเดินทางไปพบเจ้าหญิงนั่นเอง” นางเงือกน้อยก็ได้แต่ยิ้มๆกับคำพูดหรือความคิดเห็นคล้ายๆกันนี้
เพราะเธอล่วงรู้ถึงความประสงค์อันแท้จริงของเจ้าชาย ดีกว่าใครอื่นทั้งมวล
“ฉันจำต้องไป” เจ้าชายตรัสกับเธอ 
“ฉันจะต้องไปพบเจ้าหญิงผู้เลอโฉมตามคำขอร้องของพระราชบิดาและพระราชมารดา แต่ท่านทั้งสองจะบังคับให้
ฉันแต่งงาน และพาเธอกลับมาพระนครเยี่ยงเจ้าสาวก็หาไม่ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะรักเธอ เพราะหน้าตาของ
เธอย่อมไม่เหมือนกับหญิงสาวผู้เลอโฉมจากวิหาร ส่วนเธอเองสิเหมือน หากจะให้ฉันเลือก ฉันควรจะเลือกเธอ
มากกว่า สาวน้อยพลัดถิ่นนัยน์ตาทรงอานุภาพผู้เงียบเสียงของฉัน” กล่าวพลางเจ้าชายก็ประคองเธอไว้ในอ้อม
แขนพร้อมกับบรรจงจูบลงที่ริมฝีปากอันระเรื่อสีชมพูของเธอ ด้วยเหตุนี้ความหวานซึ้งตามวิสัยแห่งมนุษยสุขและ
ทิพยสุขอันเป็นอมตะก็บังเกิดขึ้นในหัวใจของเธอ
“เธอไม่กลัวทะเลหรอกใช่ไหม สาวน้อยเงียบเสียง ผู้เป็นหวานใจของฉัน” เจ้าชายตรัสถามอย่างนุ่มนวล 
ในระหว่างที่ยืนอยู่ด้วยกันบนเรืออันตกแต่งอย่างวิจิตร ซึ่งกำลังนำทั้งสองเดินทางมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรของ
กษัตริย์ต่างเมือง ในระหว่างทางเจ้าชายก็ทรงบอกเล่าแก่เธอถึงพายุที่อาจจะมาปะทะเรือได้ในบางคราว ทรงเล่า
ถึงปลาแปลกๆที่อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลลึก ตลอดจนสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆที่พวกนักประดาน้ำได้พบเห็น ทว่าเธอก็เพียง
แต่ยิ้มๆต่อสิ่งบอกเล่าเหล่านั้น เพราะเธอย่อมรู้ดีกว่า ว่ามีอะไรบ้างอยู่ ณ เบื้องลึกแห่งมหาสมุทร
เมื่อแสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมาในยามราตรี และผู้คนบนเรือต่างก็หลับใหลกันหมดแล้ว เธอจึงขึ้นไปนั่งอยู่
บนดาดฟ้าของเรือและจ้องมองลงไปในท้องทะเล พลันก็ดูเหมือนว่าเธอมองเห็นพระราชวังของพระบิดาและมงกุฎ
เงินของเสด็จย่า เธอมองเห็นเหล่าพี่สาวโผล่ขึ้นมาจากห้วงน้ำ พวกเขาดูโศกเศร้าเหงาหงอยและยังยื่นมือมาหา
เธอ  เธอพยักหน้าและยิ้มให้พวกเขา พลางก็หมายจะอธิบายให้พวกเขาฟังว่า ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามความ
ปรารถนาของเธอแล้ว ครู่ต่อมา เด็กประจำห้องบังคับเรือก็เข้ามาใกล้ พวกพี่สาวจึงพากันโผดำดิ่งลงน้ำลึกหายไป
แต่พลันสิ่งที่เด็กห้องเครื่องคิดว่าเห็นลอยอยู่เหนือลูกคลื่นนั้น หาใช่สิ่งอื่นใดไม่ นอกเสียจากฟองน้ำ
         พอรุ่งอรุณ เรือก็เข้าเทียบท่ายังเมืองหลวงอันโอ่อ่าของกษัตริย์ต่างเมือง เสียงระฆังลั่นเหง่งหง่าง เสียงดุริ
ยางค์แตรเป่า แลล้วนเหล่าธงทิว อีกริ้วขบวนองครักษ์ที่พรักพร้อมด้วยศาสตรา คอยท้าแสงอยู่แวววับ และร่วม
สลับสวนสนามแลงดงามไปทั้งเมือง ทุกๆวันก็จะมีมโหรีปี่พาทย์และนาฏศิลป์ชุดใหม่ๆมาแสดงเป็นเครื่องบันเทิง
เริงรมย์ ตลอดจนการจัดงานราตรีราชสโมสรวันแล้ววันเล่า อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงพระองค์นั้น ก็ยังไม่เสด็จกลับ
จากการที่ถูกส่งไปรับการศึกษาอบรมยังสำนักแม่ชี ณ แดนไกล ซึ่งที่นั่นเธอจะได้รับการสอนสั่งถึงขนบธรรม
เนียมและจริยวัตรอันเป็นทศพิธราชธรรมทั้งมวล  และในที่สุดเจ้าหญิงก็ได้เสด็จกลับสู่พระนครในวันหนึ่ง
“เธอจริงๆด้วย!” เจ้าชายทรงอุทาน ทันทีที่เห็นเจ้าหญิง 
“เธอคือคนที่ช่วยชีวิตฉันให้รอดมาได้ เมื่อคราวที่ฉันนอนแน่นิ่งเหมือนคนตายที่ชายฝั่งในครั้งนั้น”แล้วเจ้าชาย
ก็ผวาเข้าสวมกอดเจ้าสาวของตนไว้แนบชิดกับหัวใจที่กำลังสั่นระรัว 
“โอ ฉันมีความสุขอย่างล้นเหลือ!” เจ้าชายตรัสกับสาวน้อยพลัดถิ่นผู้เป็นใบ้ของพระองค์
“ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าความหวังของฉันจะกลายเป็นจริง เธอต้องยินดีอย่างยิ่งกับความสุขของฉัน เพราะเธอ
เป็นคนที่รักฉันมากกว่าใครๆในบรรดาคนที่อยู่แวดล้อมฉัน” นางเงือกน้อยจึงจุมพิตลงที่หัตถ์ของเจ้าชาย 
ทว่าต่อความรู้สึกของเธอมันสุดแสนเจ็บปวดรวดร้าวราวกับหัวใจแยกแตกสลาย 
ครั้นเสียงระฆังของโบสถ์ลั่นขึ้น เจ้าสาวและเจ้าบ่าวก็ผสานมือกันและรับพรจากบาทหลวง ส่วนนางเงือกน้อยซึ่ง
อยู่ในชุดที่ทำจากผ้าไหมและผ้าฝ้ายขลิบทอง ได้ยืนถือส่วนท้ายของชุดวิวาห์อยู่เบื้องหลังของเจ้าสาว สำหรับเธอ
แล้ว หูก็ไม่ได้ยินเสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงประกอบ ตาก็ไม่ได้เห็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้า เธอคำนึงถึงแต่
ความตายของเธอที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะและการสูญเสียของเธอทั้งโลกนี้และโลกหน้า  ในเพลาอัสดงของวัน
เดียวกันนั้น เจ้าสาวและเจ้าบ่าวก็พากันเสด็จขึ้นเรือ เสียงปืนใหญ่ยิงสลุด ธงทิวปลิวสะบัดและพัดโบกจากลมทะเล
 ณ ท่ามกลางของดาดฟ้าเรือคือพลับพลาซึ่งตกแต่งด้วยผ้าสีม่วงขลิบทอง พร้อมทั้งที่นอนอันอ่อนนุ่มและหรูหรา
สำหรับคู่รัชทายาทได้ร่วมอภิรมย์บรรทมสุขยามราตรี พอพระพายพัดพา ลำนาวาก็เคลื่อนคล้อยลอยออกไป ด้วย
ใบโป่งจากแรงลม  ล่องกลมกลืนไปกับน้ำสีฟ้าของมหาสมุทร
       ชั่วเวลาไม่นานความมืดก็มาถึง ตะเกียงส่องสว่างให้สีสันต่างๆจึงถูกจุด และการเต้นรำบนดาดฟ้าของเรือก็
ได้เริ่มขึ้น สิ่งนี้ทำให้นางเงือกน้อยรำลึกถึงครั้งแรกที่เธอโผล่ขึ้นมาเห็นโลกเบื้องบน ซึ่งบัดนี้ความวิจิตรตระการ
ตาเช่นนั้นก็ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว และเธอก็ถูกเชื้อเชิญเข้าร่วมเต้นรำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนต่างตะลึงและชื่น
ชมเธอ เพราะเธอไม่เคยที่จะเต้นรำด้วยลีลาและท่าทีอันแพรวพราวด้วยมนต์เสน่ห์เยี่ยงนี้มาก่อน เท้าอันเล็กบอบ
บางของเธอนั้นได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส แต่เธอก็ไม่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าหัว
ใจของเธอนั้นได้รับความขมขื่นและปวดร้าวยิ่งกว่าเหลือคณนา มันเป็นค่ำคืนสุดท้ายที่เธอจะยังเห็นชายหนุ่ม 
ผู้ซึ่งเธอยอมเสียสละบ้านเกิดเมืองนอนและเหล่าวงศ์วานของเธอมาเพื่อเขา ยอมสูญเสียน้ำเสียงอันแสนจะไพ
เราะอ่อนหวานและยอมทนแบกรับความเจ็บปวดทรมานเหลือที่สุดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นคืนสุดท้ายที่เธอยัง
พอได้ร่วมจดจ้องทะเลลึกสีฟ้า มองดาราร่วมอัมพร และผ่อนลมหายใจร่วมอากาศเดียวกันกับเขา ราตรีชั่วนิรันดร
อันปราศจากซึ่งฝันและจินตนาการ กำลังคอยอยู่ข้างหน้า หัวใจของเธอนั้นระอุไปด้วยดำริแห่งมรณะ แต่เธอก็ยัง
ยิ้มและเต้นรำร่วมกับคนอื่นๆ จวบจนเวลาได้ล่วงเลยเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าชายทรงจุมพิตเจ้าสาว
ผู้น่ารักของพระองค์ ทั้งสองประคองหัตถ์กระหวัดพระวรกายแล้วก็พากันเสด็จย้ายเข้าสู่ห้องบรรทมยังพลับพลาอัน
อลังการ
       ทุกสรรพสิ่งนิ่งงัน มีเพียงแต่นายท้ายเรือเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่พวงมาลัย นางเงือกน้อยเท้าแขนอันขาวผ่องของ
เธอที่ขอบเรือและชะเง้อไปเบื้องบูรพา คอยท่ายามอุษาจะมาเยือน เพราะลำแสงแรกที่พ้นขอบฟ้าย่อมนำมาซึ่ง
ความตายของเธอ พลันเธอก็เห็นเหล่าพี่สาวของเธอโผล่ขึ้นมาจากทะเล แต่ละคนดูขาวซีดสิ้นดี พวกเขากำลังชูไม้
ชูมืออยู่เหนือไหล่ ต่างก็ไม่มีผมอันยาวสลวยเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว มันถูกเกรียนออกไปเสียจนหมดสิ้น
“พวกเรายอมให้ยายแม่มดตัดเอาไป” เหล่าพี่สาวบอกแก่เธอ 
“เพื่อขอให้แกช่วยเธอ ดังนั้นเธอก็จะไม่ตาย มีดเล่มนี้อย่างไรล่ะ ที่แกให้พวกเรามา ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเธอจะ
ต้องปักมันลงไปตรงหัวใจของเจ้าชาย พอโลหิตอุ่นๆของเขาไหลออกมาและตกต้องยังเท้าของเธอ เท้าทั้งสองก็จะ
กลับกลายมาเป็นหางปลาทันที แล้วเธอก็จักคืนร่างมาเป็นนางเงือกอีกครั้งหนึ่ง และมีชีวิตอยู่สืบต่อไปจวบจนอายุ
ครบสามร้อยปีก่อนที่จะตายและกลายไปเป็นฟองน้ำทะเล   แต่จงรีบทำเร็วๆเข้า ถ้าไม่เขาก็เธอจะต้องตายก่อน
พระอาทิตย์ขึ้น!  อีกไม่กี่นาทีพระอาทิตย์ก็จะขึ้นมาแล้วเธอจะต้องตาย” พวกพี่สาวกล่าวเสร็จก็ถอนหายใจอย่าง
แรง ก่อนที่จะพากันดำดิ่งหายลงไปในทะเล
     นางเงือกน้อยค่อยๆเลื่อนม่านสีม่วงซึ่งเป็นพลับพลาของเจ้าชายออกไปช้าๆ แล้วเข้าไปก้มลงประจงจูบที่หน้า
ผากขององค์ชาย เวลาเดียวกันก็เหลือบมองดูท้องนภา เธอเห็นแสงสว่างรำไรกำลังเข้มเจิดจ้าขึ้นทุกขณะ 
ริมฝีพระโอษฐ์ของเจ้าชายก็กำลังพึมพำถึงพระนามของเจ้าสาว เจ้าชายกำลังฝันใฝ่ถึงเจ้าหญิง และเป็นเพียงผู้เดียว
เท่านั้นคือเจ้าหญิง  ในขณะที่มีดก็กระดิกอยู่ในมืออันสั่นเทิ้มของนางเงือกผู้ที่กำลังทุกข์ระทม ทันใดนั้น เธอก็ขว้าง
มันจนสุดไกลและตกลงไปในทะเล ด้วยสายตาที่กำลังพร่ามัว เธอจึงถอยออกมาและกระโจนลงไปในทะเล พร้อมๆ
กับมีความรู้สึกว่าร่างกายของเธอค่อยๆสลายกลายไปเป็นฟองน้ำ
ทินกรขับเคลื่อนขึ้นเยือนฟ้า แต่รังสีอันเจิดจ้ากลับมาเยี่ยมยลเธออย่างละมุนละไม แม้นว่าก่อนหน้านี้ภาวะกำลัง
ใกล้จะตายจะเป็นที่หวาดหวั่นและพรั่นพรึงต่อเธอ ทิพยสถานดูเหมือนว่ากำลังโบยบินอยู่ราวศีรษะของเธอ  
เสียงขับขานก็แสนหวานสุดซึ้ง ส่วนดนตรีก็บรรเลงด้วยบทเพลงปลอบประโลมอันไพเราะยิ่งนัก ซึ่งไม่อาจจะยล
ยินได้ในหมู่มวลมนุษย์ พวกเขาโผผินอยู่รอบๆเธอ และท่องไปในอากาศด้วยความโปร่งเบาสบายด้วยตัวเขาเอง
พลันนางเงือกน้อยก็พบว่าตนเองมีสรีระอันโปร่งใสเช่นเดียวกันกับพวกเขา และเธอกำลังล่องลอยออกจากฟองน้ำ
สูงขึ้นไปอย่างช้าๆ
“พวกท่านกำลังจะพาฉันไปที่ไหนกัน” เธอเอ่ยถาม
“ไปเป็นธิดาแห่งพระพาย” คือคำตอบ 
“ด้วยนางเงือกนั้นไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะ แต่จะสามารถมีได้ก็ต่อเมื่อเธอได้กรำหัวใจอันเปี่ยมรักจากชายหนุ่ม
บุตรหลานของหมู่มนุษย์ ธิดาแห่งพระพายก็ไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะเช่นเดียวกัน แต่จะสามารถมีได้ด้วยการ
สร้างคุณงามความดี พวกเราโบกโบยไปยังประเทศอันร้อนรุ่ม ที่ซึ่งเหล่าเด็กๆจุ่มจมอยู่กับบรรยากาศอันร้อนระอุ
ความสดชื่นและการหายใจรับเอาอากาศอันชุ่มเย็นก็จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตชีวา พวกเรายังผสานตัวเองเข้ากับ
บรรยากาศ เพื่อให้กลิ่นหอมแห่งมวลบุปผชาติได้จรุงฟุ้งขจาย อันนำมาซึ่งความยินดีและผาสุกแผ่ปกคลุมออกไป
ทั่วโลก ด้วยการทำความดีเช่นนี้เป็นเวลาสามร้อยปี พวกเราก็จักได้รับวิญญาณอันเป็นอมตะและสามารถเสพ
ทิพยสุขร่วมกับหมู่มนุษย์ได้  สำหรับเธอ นางเงือกน้อยผู้น่าสงสาร ผู้มีแรงบันดาลใจและได้เพียรพยายามกระ
เสือกกระสนอย่างสุดหัวใจ จนได้รับความทุกข์ทรมานมาเป็นอันมาก เธอจึงถูกยกขึ้นสู่โลกแห่งวิญญาณด้วย
ประการฉะนี้ และด้วยเหตุแห่งการบำเพ็ญคุณงามความดีอย่างมีจิตเมตตาปราณี เป็นระยะเวลาสามร้อยปี เธอก็
อาจจะได้รับวิญญาณอันเป็นอมตะ”
นางเงือกน้อยจึงผายแขนของเธอออกสู่ดวงตะวัน และนับเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ ที่สองนัยนาชุ่มฉ่ำไปด้วย
น้ำตา
ในเวลานี้ทุกคนตื่นนอนหมดแล้วและกำลังสนุกสนานกันอยู่บนเรือ เธอแลเห็นเจ้าชายและเจ้าสาวผู้เลอโฉมของ
เขา ดูทั้งคู่คงจะคิดถึงเธอมาก และพากันเหม่อมองลงไปที่ฟองน้ำทะเลอย่างเศร้าสร้อย เหมือนกับทั้งสองจะล่วงรู้
ว่า เธอได้กระโจนลงไปในนั้น  เธอจึงบรรจงจุมพิตลงที่หน้าผากของเจ้าบ่าวและยิ้มให้เขา แต่โดยที่ไม่มีใครจะ
สามารถมองเห็นเธอได้ จากนั้นเธอพร้อมด้วยหมู่ธิดาแห่งพระพายทั้งหลายก็พากันลอยสูงขึ้นไปๆ จนอยู่เหนือ
หมู่เมฆสีชมพูระเรื่อ ซึ่งกำลังล่องลอยอย่างสงบอยู่เบื้องบนของลำเรือ
“หลังจากสามร้อยปีไปแล้ว พวกเราก็จักโบกโบยสู่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์”
“พวกเราอาจจะไปถึงที่นั่นได้เร็วขึ้น” พวกพี่สาวคนใหม่ของเธอกระซิบ 
“พวกเราโบกโบยไปยังที่อยู่อาศัยของมวลมนุษย์โดยที่ไม่เห็นตัว หากไปพบเด็กดี ผู้ที่ทำให้บิดาและมารดาของ
เขามีความยินดีและประทับใจ อีกทั้งประพฤติตนสมกับเป็นที่รักของคุณพ่อและคุณแม่ ก็จะเป็นเหตุให้สามารถ
หักหนึ่งปีออกจากเวลาสามร้อยปีของพวกเราได้ แต่ถ้าพวกเราไปพบเห็นเด็กที่หยาบคาย ดื้อและซุกซน พวกเรา
ก็จักร้องไห้และหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่น และทุกๆหยดน้ำตาที่พวกเราเช็ด มันก็จะเป็นเหตุให้เพิ่มเวลาแก่พวกเรา
ขึ้นมาอีกหนึ่งวัน”
                                                             อวสาน
comments powered by Disqus
  Prayad

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน