หลังจากการกลับบ้านครั้งนั้นฉันทำอะไรไม่ถูก อะไรก็ดูตันไปหมด มืดแปดด้าน ทำได้แค่เป็นกำลังใจให้ครอบครัว อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ให้ครอบครัวเราผ่านฝันร้าย ๆ ไปได้ด้วยดี ถ้าวันไหนฉันว่างๆ ตื่นเช้า ๆ ก็จะเดินทางไปทำบุญตักบาตรที่วัดแถวมหาวิทยาลัย ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไปฉันยังคิดมากเท่านี้ เสียใจเท่านี้ แต่พ่อ แม่ ยาย ละ ท่านจะคิดมากแค่ไหน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นกำลังใจนี่แหละ
อะไรร้ายๆก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกสิ้นเดือน บ้านเราต้องจ่ายทั้งค่าบ้าน ค่ารถยนต์ 2 คัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อทางเลือกของชีวิตเรามีไม่มากนัก ทุกคนจึงตัดสินใจขายบ้านจะได้ไปเริ่มชีวิตใหม่ที่ดีกว่านี้ โดยใช้เวลาเกือบครึ่งปีในการประกาศขายบ้าน คนติดต่อก็มีแต่พอจะซื้อก็ไม่ซื้อ บ้านเรามีอายุกว่า 10 ปีได้ ถึงอายุจะเยอะแต่บ้านสภาพดี ร่มรื่น สะอาด น่าอยู่มากเลยแหละ กว่าจะตัดสินใจขายทุกคนเสียดายมาก ฉันตอนแรกก็ไม่ยอมให้ขาย แต่พอได้มานั่งคิดดูดีๆแล้ว มันเป็นของนอกกายทั้งสิ้น หาใหม่ได้ เริ่มใหม่ได้ ฉันจึงไม่ขัดที่จะขายบ้านกลับดีใจที่จะได้ขายแล้วไปเริ่มชีวิตใหม่ดีกว่าเดิม ทุกคนต่างตั้งหน้ารอคอยการขายบ้านแต่ก็เงียบ ตอนนั้นมันเป็นช่วงปิดเทอม 6 เดือนของทางมหาวิทยาลัย ฉันจึงได้เดินทางกลับบ้าน กะว่าจะไปหางานทำ หาเงินช่วยที่บ้านบ้าง แต่พอจะได้ทำก็ตรงกับช่วงสงกรานต์ ยิ่งสงกรานต์ยิ่งคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ ที่บ้านเราสรงน้ำพระร่วมกัน และร่วมกันรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ที่บ้าน ตอนนี้ขนาดจะเจอแม่ต้องนัดไปเจอกันที่สวนสาธารณะเลย เจอกันทีก็แป๋บๆ ฮ่าย(เสียงถอนหายใจ) ชีวิตเรามันต้องเจออไรอีกเยอะ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น หลังจากอยู่บ้าน 2 อาทิตย์ฉันจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อจะมาหางานทำ หลังจากกลับมา 2 วันฉันก็ได้ทำงานที่ร้านกิ๊ฟชอบแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้า ฉันได้ค่าแรงวันละ 250 บาท มันก็ไม่มากแต่ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนเรื่องที่อยู่ฉันต้องไปอาศัยอยู่กับมีนเพื่อนเก่าสมัยมัธยมศึกษา โดยเป็นหอในมหาวิทยาลัย ไม่เสียค่าใช้จ่าย ห้องก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ ฉันนอนที่หน้าตู้เสื้อผ้า และฉันต้องตื่นมาเตรียมตัวไปทำงานทุก 7 โมงเช้า กว่าจะแต่ตัวเสร็จก็ 9 โมง ห้างเปิด 10 โมงแต่ต้องมาเปิดร้านประมาณ 9 โมงครึ่ง หลังจาที่ฉันทำงานได้อาทิตย์กว่า ๆ ก็ได้สนิทสนมกับเพื่อนของมีน ทุกคนน่ารักและอัธยาศัยดีมาก เป็นกันเองสุด ๆ และฉันก็ได้ไปรู้จักอาจารย์ที่ปรึกษาของเพื่อน อาจารย์น่ารักมาก ท่านเป็นคนพูดตรงๆ ให้คำปรึกษาได้ดี
วันหนึ่งฉันเกิดคิดมาก ร้องไห้หนักเลยจะไปหาเพื่อนที่หออาจารย์ เลยโทรศัพท์ให้มีนลงมารับ เมื่อมีนลงมารับฉัน สิ่งแรกที่ถามคือ “เป็นอะไร ?” แล้วมีนก็กอดฉัน ฉันได้แต่ร้องไห้ มีนจึงพาฉันไปที่ห้องอาจารย์ ตอนนั้นทุกคนกำลังทำงานของตัวเอง แต่เมื่อฉันมองไปที่พื้นของห้อง มีพี่คนหนึ่งกำลังนั่งดูไพ่ยิปซี มีนเลยชักชวนให้ฉันไปดู สิ่งที่ฉันคิดคือ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ดูไปก็ไม่เสียหายแถมดูฟรีต่างหาก รุ่นพี่ที่ดูให้ฉัน ทักเรื่องราวต่างๆ ของฉันได้แม่นมาก พร้อมกลับบอกฉันว่า “โทรศัพท์ไปหาแม่บ่อยๆ นะ ทุกวันเลยก็ได้ แม่คิดถึงแกมาก” หลังจากที่ฉันได้ยินคำพุดต่างๆที่รุ่นพี่ได้พูดมา มันทำให้ฉันคิดอะไรได้หลายๆ อย่าง หลังจากดูไพ่เสร็จ อาจารย์ก็ได้ให้ข้อคิดกับฉันว่า “เสียใจได้ ร้องไห้ได้ ทำได้ทุกวัน แต่ในขณะเดียวกันต้องคิดไปด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อไป สิ่งที่หนูเจอวันนี้มันเล็กน้อยมาก เรายังต้องเจออะไรอีกมาก เชื่ออาจารย์ ” หลังจากอาจารย์พูดเสร็จ ฉันยกมือไหว้และขอบคุณอาจารย์ สิ่งที่ท่านพูดก็จริงมันดูเลยน้อยสำหรับหลายๆคน มีคนที่เจออะไรที่เลวร้ายกว่าเราอีก ฉันรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูกเลย หลายวันต่อมา ฉันโทรศัพท์หายายแล้วให้กำลังใจยายว่า “สุขก็แป๋บเดียว ทุกข์ก็แป๋บเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ” ยายได้นำประโยคนี้ไปบอกให้แม่ฟัง เมื่อแม่ได้ฟังจึงรีบโทรศัพท์มาหาฉันแล้วระบายความในใจออกมาเป็นเสียงเงียบๆ ที่ไม่พูดอะไร มีเพียงเสียงสั่นๆ ที่ดูเหมือนจะร้องไห้ แม่ถามว่า “ลำบากไหม ? อยู่ได้หรือเปล่า ? เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว” หลังจาที่ฉันได้ยินเสียงและคำถามของแม่ ฉันได้เพียงตอบแค่ว่า “ค่ะ” หลังจากการสนทนาทุกครั้ง ฉันจะนั่งร้องไห้ น้ำตาที่ไหลออกมา มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น
เรื่องขายบ้านยังต้องดำเนินต่อไป ส่วนเรื่องรถ เจ้าหนี้เร่งรัดที่จะให้รีบนำเงินมาคืน แล้วขู่ว่าถ้าไม่รีบน้ำเงินมาคืน จะนำรถส่งไปยังประเทศลาว ถ้าเปรียบชีวิตช่วงนี้เป็นเหมือนเทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุด ปัญหาเปรียบเสมือนลม เทียนเล่มนี้ถูกลมพัดเปลวเทียนแรงมาก ไม่รู้ว่าจะต้านแรงลมได้สักเท่าไหร่ แล้วถ้าวันหนึ่งเทียนเกิดดับลงละ สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้ คือ กำลังใจ หรือที่พึ่งทางใจ แม่ยังคงไลน์มาหาฉันตลอด ๆ คำถามเดิม ๆ ที่ถาม คือ “เหงาไหม ? อยู่ได้หรือเปล่า ? ลำบากไหม ?” แม่คงเป็นห่วงฉันมาก เป็นห่วงฉันเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไป วันหนึ่งฉันนั่งทำงานอยู่ที่ร้านขายของ พ่อได้โทรศัพท์มาหาแล้วบอกว่า “ลูกสาว รู้แล้วใช่ไหมว่าพ่อได้ย้ายที่ทำงาน อีก2-3วัน นะ พ่อโทรมาแค่นี้แหละ” หลังจากที่พ่อพูดเสร็จพ่อก็ตัดสายไป ฉันได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก มือไม้สั่นไปหมด จนเมื่อมาถึงวันที่พ่อต้องเดินทาง ยายโทรศัพท์มาบอกกับฉันว่า “วันนี้พ่อเดินทาง โทรไปหาพ่อหน่อยนะ” สิ้นการสนทนาโทรศัพท์กับยาย ฉันจึงโทรศัพท์ไปหาพ่อ โทรศัพท์ไปครั้งแรก ไม่รับ ฉันจึงโทรย้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพ่อรับโทรศัพท์ ....
พ่อ :: “ฮัลโล่พ่อขับรถอยู่ ! ”
ฉัน :: ถึงไหนแล้ว ? เอาอะไรไปบ้าง ?
พ่อ :: เพิ่งออกจากบ้าน เอามาเฉพาะเสื้อผ้า กับของที่จำเป็น
ฉัน :: แล้วได้เอาเสื้อกันหนาวไปไหม ?
พ่อ :: “ เอามาบ้าง . พ่อไม่อยู่ดูแลตัวเองด้วยนะ ตั้งใจทำงาน ใช้เงินประหยัด ๆ นะ เดี๋ยวถ้ามีโอกาสพ่อจะกลับมาหานะ”
การคุยกันครั้งนี้น้ำเสียงของพ่อ ที่เหมือนจะเข้มแข็งแต่แฝงไปด้วยอาการที่สั่นมาก ขณะที่ฉันคุยโทรศัพท์ น้ำตาของฉันก็ไหลตลอดการคุย เราไม่เคยจะต้องห่างกัน มันคงเป็นเวรกรรมของเราแท้ ๆ
บทสรุปจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่ในเมื่อนาฬิกาชีวิตเรายังเดิน ทุกอย่างยังต้องดำเนินต่อไป ของทุกอย่างเป็นของนอกกาย วันนี้เป็นของเรา พรุ่งนี้อาจไปจากเรา ถ้าจะพิจารณาจริงๆแล้ว ขนาดกายเรายังไม่ใช่ของเรา และนับประสาอะไรกับของพวกนั้น วันที่สิ้นลบไปยังไม่สามารถเอาอะไรไปได้ ถึงบ้านเราจะประสบปัญหาต่าง ๆ นานา แต่มันทำให้เราทุกคนมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น เรียกได้ว่า คุยกันตลอดเวลาเลยดีกว่า ปัจจุบัน
พ่อยังคงทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัด ฉันยังโทรศัพท์ติดต่อกับพ่อทุกวัน
แม่ยังอยู่บ้านญาติ ยังไม่สามารถเข้าบ้านได้ แต่อย่างน้อย ฉันก็ได้เจอหน้าแม่บ้าง
ยาย ยังไปทำงานทุกเช้า และยังคอยดูแลบ้าน ยังอบรมหลานสาว หลานชาย
ฉัน ยังคงทำงาน และส่งเงินไปให้ที่บ้าน ยังคอยให้กำลังใจทุกคน
น้อง ยังคงเตรียมตัวที่จะสอบเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา สู้ ๆ นะ ไอ้น้อง ^^