ฉันเป็นลูกสาวคนโต ของบ้านที่มีฐานะปานกลาง บ้านเรามีสมาชิก 5 คน มีพ่อ ทำอาชีพ รับราชการ แม่เป็นแม่บ้าน ยาย รับราชการ
ฉัน กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนหญิงล้วนเอกชนแห่งหนึ่ง ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่นี้สอนอะไรหลายๆอย่างให้ฉัน และน้องชายกำลังเรียนอยู่โรงเรียนเอกชน เราสองคนอายุห่างกัน 2 ปี บ้านเราเป็นบ้านที่อบอุ่นมาก
เมื่อก่อนเรา อาศัยอยู่ที่บ้านพักที่พ่อทำงาน ทุกเช้า ฉันและน้องก็จะขึ้นรถสวัสดิการของพ่อไปโรงเรียนหรือขึ้นรถประจำทางบ้าง ส่วน แม่จะขายน้ำ อยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ร้านเราเป็นร้านขายน้ำขนาดใหญ่พอสมควร ยายจะมาเปิดร้านแล้วขึ้นรถประจำทางไปทำงานที่ต่างอำเภอ ตอนเย็นทุกคนจะมารวมกันที่นี้ เพื่อมาช่วยกันเก็บร้าน ส่วนใหญ่เราจะมีโอกาสได้ทานข้าวพร้อมตากัน เพราะพ่อจะเป็นพ่อครัวอาหารอีสานคนสำคัญประจำบ้าน
การประกอบอาชีพเป็นแม่ค้าของแม่ ทำให้บ้านเรามีรายได้วันหนึ่งประมาณห้าพันบาท เงินในการค้าขายแต่ละวัน แม่ก็จะนำไปฝาก เพื่อเก็บไว้ให้ลูกไว้สำหรับเรียน หรือไว้ใช้เวลาจำเป็น
วันหนึ่งเมื่อทุกอย่างลงตัว ทุกคนภายในบ้านจึงตัดสินใจ ที่จะมาซื้อบ้านจัดสรร ใกล้ๆที่ทำงานพ่อ บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ทุกคนต่างรวบรวมเงินที่มี มาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรง แต่ไม่ได้ซื้อเงินสด พ่อกะจะค่อยๆ ผ่อนไปเรื่อยๆ บ้านหลังนี้เป็นเหมือนบ้านจัดสรรชั้นเดียวทั่วไป 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ แต่แม่ซื้อพื้นที่ข้างบ้านเพิ่ม จึงสามารถ สร้างศาลาไว้สำหรับทานข้าว ฟังเพลงได้ และสร้างห้องครัวแบบกระจก ทุกอย่างในห้องครัวทันสมัยมาก เพราะบ้านเราชอบทำอาหารมาก ทุกเย็นเราจะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน บนโต๊ะอาหาร ท่านทั้ง 3 จะคอยบอกคอยสอนลูก ถึงเรื่องต่างๆ ในการดำเนินชีวิต
“ เวลาทำกับข้าวให้มาช่วยพ่อกับแม่ทำ เพราะจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรยังไง จะได้เป็น ” คำสอนของแม่
เราดำเนินชีวิตในลักษณะนี้จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นระยะเวลาเกือบ 5 ปี ทุกอย่างผ่านไปเร็วมาก จนกระทั่งวันหนึ่งแม่ต้องเลิกขายน้ำ เนื่องจากมีปัญหาทางสัญญา และห้างจะปรับเปลี่ยนระบบใหม่ ร้านของเราจึงถูกปิดลง ทำให้รายรับของบ้านเราน้อยลง การใช้จ่ายค่อนข้างลำบาก แต่แม่สามารถบริหารได้ แม่จำตัดสินใจเปิดร้านขายของชำแถวๆหมู่บ้าน แต่การขายของชำครั้งนี้ ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จนัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ จะเป็นคนสนิท จะไม่ค่อยจ่ายเงิน จะเซ็นต์มากกว่า ตอนนี้ฉันและน้องก็โตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ค่ายใช้จ่ายก็มากขึ้น ตอนนี้ฉันน่าจะเรียนอยู่ประมาณ ม.3 และน้องชายน่าจะเรียนอยู่ ม. 1 เมื่อการขายของชำไม่ประสบความสำเร็จ แม่ก็เลิกไป เมื่อชีวิตคือการดิ้นรน ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา แม่พยายามที่จะหางานทำ จึงได้ไปประมูลขายน้ำที่โรงเรียนของน้องชาย ตอนนี้น้องชายฉันเรียนอยู่ ม.4 แม่ได้ขายน้ำที่นี้ กำไลก็ไม่ได้มากนักแต่ได้อยู่ใกล้น้องชาย คอยดูแลเพราะช่วยนี้ก็เริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว นอกจากที่ทำงานแล้วแม่ก็ไม่ค่อยมีสังคมอะไรมาก มีแค่บ้าน กับที่ทำงาน เมื่อเพื่อนมีปัญหา เดินมาหาเรา เราก็พร้อมที่จะช่วยแก้ไข แม่เช่นกัน เมื่อเพื่อนมีปัญหาก็พร้อมที่จะช่วย ทั้งๆที่ตอนนั้นบ้านเราก็ประสบปัญหาทางการเงิน แม่ได้ให้เพื่อนยืมเงินไป ก็เป็นเงินประมาณ 5 หลัก แต่การยืมไม่ใช่แค่ครั้งเดียว มันสะสมจนกระทั้ง 7 หลัก ไม่ใช่เพียงการยืมเงิน รวมถึงการค้ำประกันต่างๆ การยืมเป็นเพียงการยืมทางวาจา อาศัยความจริงใจ เห็นใจเพื่อนคนนั้นเพราะลูกเพื่อนกำลังเรียนมหาวิทยาลัยใกล้จบแล้ว ใจเขาใจเรา เผื่อลูกเราเรียนมีปัญหาจะได้ให้เขาช่วย นี้คงเป็นคำพูดความคิดของแม่ ในเมื่อแต่ก่อนเราฐานะดีทำให้มีเพื่อนมากมาย ทำให้ภาพการมีเงิน มีรถ 2 คัน กระบะ 1 คัน รถเก๋ง 1 คัน มอเตอร์ไซต์ 4 คัน ภาพเหล่านี้ติดตาทุกคน เมื่อให้แต่ละคนยืมไปช่วงเดือนแรก ๆ ก็ส่งดอกคืน เราก็นิ่งนอนใจว่าจะได้เงินคืน แต่เมื่อเข้าเดือนที่ 5 6 ไม่ส่งดอกเบี้ย ไม่โทรศัพท์มา ไม่บอกกล่าว เมื่อเราถามก็บอกว่าไม่มีทำยังกับเราเป็นคนไปขอเงิน เมื่อเกิดปัญหาการเงินที่ไม่คล่องขึ้น ทำให้แม่ต้องตัดสินใจนำรถเก๋งไปจำนำ เป็นจำนวนเงินหลายแสนบาท แต่ปัญหาก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ทุกอย่างต่างแย่ลง ทุกคนต่างเรียกสติและหันมานั่งคุยกันและหาทางแก้ไข ทำให้ยายต้องไปกู้ยืมเงินออกมาแต่การกู้ครั้งนี้เป็นเพียงครั้งสุดท้ายและ ฉันก็ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุอะไร ทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วทุกคนคิดว่าเราจะไม่เจอปัญหาแบบนี้อีก
เมื่อฉันอยู่ ม.6 กำลังจะเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งพ่อ กับแม่ จะคอยบอกเสมอว่า “ฉันเป็นความหวังของหมู่บ้าน”( นี่เป็นคำพูดติดปากของบ้านเรา) ทำให้การสอบครั้งนี้รู้สึกกดดัน ผลการสอบคือ ฉันคะแนนไม่ถึง แต่ได้มหาวิทยาลัยร่วมแทน ทั้งๆที่ฉันมีมหาวิทยาลัยให้เลือกถึง 10 มหาวิทยาลัยที่สอบสัมภาษณ์ผ่าน ฉันก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร ทุกคนในครอบครัวต่างคอยถามและเป็นกำลังใจให้ฉันเสมอ โดยเฉพาะแม่ที่พูดเสมอว่า “แม่ไม่เคยบอกว่าให้ลูกเรียนนั้นนี้ อยากเรียนอะไรเรียนเลย เอาอันที่จบมา มีงานทำ หาเงินมาเลี้ยงทุกคนได้ก็พอ ตัวเองเป็นคนเรียนตัดสินใจเลย” เมื่อแม่พูดแบบนี้ฉันจนกลับมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดี อันนั้นก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ กลัวไปหมด เพราะที่เลือกมันหมายถึงชีวิตฉันต่อจากนี้ไปอีก 4 ปี หรือไม่ก็จนกระทั่งจบมาทำงาน ฉันได้ปรึกษากับเพื่อนในกลุ่ม จนวันหนึ่งเพื่อนของฉันชักชวนให้ส่งผลงานเข้าโครงการเด็กดีมีที่เรียน ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าฉันสอบติด ยายกับแม่จงพาเดินทางไปสอบสัมภาษณ์ บอกไว้ก่อนเลยว่าที่นี้เป็นที่เดียวที่ แม่พาไปเองเลยนะ การไปสอบสัมภาษณ์หลายๆมหาวิทยาลัยที่ผ่านมา ฉันจะเดินทางไปเอง เพราะแม่เคยบอกไว้ว่า “ลูกต้องทำได้ทุกอย่าง เพราะพ่อ กับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยจนวันตาย” เมื่อวันประกาศผลสัมภาษณ์มาถึง ปรากฏว่าฉันเป็นเพียงคนเดียวที่ผ่านการสัมภาษณ์ นี้เป็นความภูมิใจก้าวแรก ฉันดีใจมากที่ทำให้ทุกคนในบ้านมีความสุขได้ขนาดนี้ เมื่อใกล้เปิดเรียนในมหาวิทยาลัย ที่บ้านก็ได้เตรียมเงิน เตรียมความพร้อมทุกอย่างในการให้ฉันมาเรียนที่มหาวิทยาลัย ดูท่าทางทุกคนตื่นเต้นกันมาก เมื่อฉันมาเรียนมหาวิทยาลัยได้ 2 อาทิตย์ จาก 16 ปีที่อยู่บ้านตลอด อยู่กับพ่อแม่ตลอด มียายเป็นที่ปรึกษาในทุกๆ เรื่อง การมาเรียนในมหาวิทยาลัยครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเปลี่ยนไป