Mad Media: สื่อชอบกล
จ่าหัวเรื่องไว้อย่างนี้แล้วก็ใช่ว่าผมจะเป็นคนคล่ำหวอดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของสื่อสารมวลชนหรือเป็นคนหากินอยู่กับคอลัมน์ของสำนักพิมพ์ใดๆหรือเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องของการเมืองการชนบทอะไรต่างๆเหล่านั้นหรอก เปล่า...ผมเป็นเพียงคนธรรมดาที่ลิ้นค่อนข้างจะอ่อนภาษาประกิตเลยออกเสียงแมสเป็นแมดก็เท่านั้นล่ะ นั่นก็แสดงว่าภาษาแม่ (Mother tongue) ของผมหาได้เป็นอังกฤษแต่อย่างใดไม่ แล้วไปอวดอ้างเอาเศษเสี้ยวแห่งวิชาชีพสื่อสารมวลชน (Mass Media) ผู้กำลังมีอิทธิพลและบทบาทครอบงำความรู้สึกนึกคิดของเหล่าปัญญาชนคนชั้นผู้คงแก่เรียน เขียนและอ่านทั้งหลายเหล่านั้น มันมิเป็นการดูแคลนหรือละลาบละล้วงและละเมิดสิทธิ์ของผู้คนในวงการของเขาเหล่านั้นเอาดอกหรือ เอ...นั่นนะสิ ถ้าไม่จัดว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของแมสมีเดีย ก็จัดไว้ในกลุ่มแมดมีเดีย ผมก็ไม่ได้ว่ากระไรหรอกนะเผื่อจะได้ลดทอนความรู้สึกว่าผิดลงได้บ้าง
“ไม่...ไม่ผิดคุณหรอก” เสียงชายสูงอายุทักมาแต่ไกล เขายิ้มให้ผมอย่างผู้ใหญ่อารมณ์ดี
“หือ...” (เขาพูดไม่ถูกหรือหูผมได้ยินผิดเพี้ยนไปเอง ไม่...คุณไม่ผิดหรอก รึเปล่า) ผมจ้องเขม็งไปที่เขาเพราะรู้สึกแปลกใจมาก แกคงทักสุ่มๆมายังงั้นแหละ มันคงเป็นเรื่องของความบังเอิญมากกว่า คิดพลางผมก็วางหนังสือพิมพ์ของเช้านั้นลงกับโต๊ะกาแฟ
“เออ...เชิญลุงนั่งดื่มกาแฟร้อนๆด้วยกันสิครับ ผมเลี้ยงเองนะครับ ไม่ได้รีบร้อนไปไหน ไม่ใช่เหรอ” ผมรีบกุลีกุจอลากเก้าอี้มาให้ลุงแกนั่งลงข้างๆ
“ใจขอบนะ แต่ลุงเป็นไม่ดื่ม” (ขอบใจนะ แต่ลุงดื่มไม่เป็น) ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงสุดแสนจะแปลกประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมถึงได้แน่ใจทันทีว่าประโยคแรกที่แกพูดมานั้นหูผมฟังไม่ผิดจริงๆ
“ไม่เป็นไรครับลุง ก่อนหน้านี้ผมก็ดื่มไม่ค่อยจะเป็นหรอก แต่ลองไปลองมาก็เลยติดใจ เออ...ได้ยินลุงบอกว่าผมไม่ผิด แล้วไม่ผิดเรื่องอะไรกันนะลุง” ผมอยากจะย้ำเพื่อเช็คดูว่าลุงแกกำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่
“ก็คุณกำลังเรื่องอะไร คิดอยู่” (ก็คุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่) เขาพูดในขณะที่ประกายตาฉายวาบขึ้นมาสบตากับผมพอดี ถึงแม้นการลำดับคำในประโยคที่ลุงแกพูดจะฟังดูพิกล แต่ในความเข้าใจที่ผมรับได้นั้นมันเข้าใจได้เลยว่าลุงกำลังหมายถึงอะไร
“อ๋อ...เรื่องของพวกสื่อสารมวลชนนะเหรอ เวลานี้กำลังตกเป็นเครื่องมือสำหรับการเอาชนะคะคานกันทางการเมือง โดยคอย ยุแหย่ ต่างๆนา ๆเรียกว่าข่าวต่างๆจะต้องผ่านกระบวนการ สืบ เสริม สร้าง เส และเสนอสู่ผู้บริโภค” ผมออกจะอดไม่ได้ที่จะอวดภูมิให้กับลุงผู้ดูเหมือนจะตกข่าวไปตามอายุที่กำลังร่วงโรย
“ดีๆ...ลุงกำลังหาคนช่วยสื่อจัดการกับ” (...ลุงกำลังหาคนช่วยจัดการกับสื่อ) ลุงเอ่ยขึ้นขณะผงกหัวเหมือนได้เพื่อนร่วมแนวทาง
“ครับผมเองนี่แหละจะเป็นคนจัดการกับสื่อ ที่ไม่มีจรรยาบรรณ ดูสิสื่อพากันปั่นหัวให้คนคลุ้มคลั่งทางการเมืองจนเป็นเหตุให้ บางคนต้องทำอัตวินิบาตกรรมเพื่อเป็นการประท้วง โต้เถียงและฆ่ากันตายในวงสนทนาเพราะเรื่องการเมือง ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดมีการระแวงสงสัยกันในหมู่ผู้บริหารชั้นสูงของประเทศจนเกิดเป็นการปฏิวัติ รัฐประหาร เป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของชาติ แต่สื่อยังขายดิบขายดี บางทีทำยอดขายได้มากกว่าเดิมเสียอีกเพราะทำให้กลุ่มคน ซึ่งแต่ก่อนไม่ค่อยสนใจข่าวสารบ้านเมืองเริ่มหันมาติดตามข่าวคราวมากขึ้น แต่ถ้าสื่อสร้างสรรค์ คือปราศจากการ เสริมแต่งข่าว สร้างข่าว และเสแสร้งบิดเบือนข่าวก่อนที่จะนำเสนอสู่ประชาชนอย่างซื่อสัตย์ ก็จะทำให้ประชาชนมีความรักใคร่ปรองดองสามัคคีกัน บ้านเมืองก็จะมีแต่ความสงบสุข แล้วก็...” ผมต้องหยุดกึกลงทันทีเพราะลุงแกโบกไม้โบกมือเหมือนอยากจะสอดแทรกอะไรสักอย่าง
“พวกจรรยาบรรณต่างๆเขารู้สื่อดี แต่ใครใส่ใจไม่มี เพราะเขามองยอดหลักเป็นขาย ลุงเองก็มีอยากจะฟ้องร้องเรื่องใจไม่สบาย” ลุงแกก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าผมจะช่วยอะไรแกได้ (...พวกสื่อต่างๆเขารู้จรรยาบรรณดี แต่ไม่มีใครใส่ใจ เพราะเขามองยอดขายเป็นหลัก ลุงเองก็มีเรื่องไม่สบายใจอยากจะฟ้องร้อง...)
“ครับ...ลุงมีเรื่องไม่สบายใจอะไร พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหม ผมสามารถที่จะหามือกฎหมายดีๆมาช่วยได้นะ หากมีความจำเป็น” ผมเอ่ยกับลุงอย่างหนักแน่น
“พวกสื่อจัดการกับกฎหมายในโลกนี้ไม่ได้หรอก เพราะสาเหตุของจิตใจคือรากเหง้า เพราะโลกนี้สอนให้ละโลภ โกรธ และหลง แต่ผู้คนต่างก็ชอบของฟรี” ถึงน้ำเสียงและสำเนียงของลุงแกจะยังฟังดูแปร่งๆ แต่เนื้อหาสาระทำให้น่าติดตาม (...กฎหมายในโลกนี้จัดการกับพวกสื่อไม่ได้หรอก เพราะจิตใจคือรากเหง้าของสาเหตุ เพราะผู้คนต่างก็ชอบของฟรี แต่โลกนี้สอนให้ละโลภ โกรธ และหลง...)
“ผมยังตามลุงไม่ทันครับ ช่วยขยายความสักนิดทีซิ ว่าการละซึ่งโลภ โกรธ และหลง มันเกี่ยวอะไรกันกับการที่คนชอบของฟรี คือยอมรับว่าผมคนหนึ่งล่ะที่ชอบของฟรี” ผมรีบถามแทรกขึ้นทันที
“คือความโลภ โกรธ และหลงที่ละไว้นั้น ของฟรี ผู้คนต่างก็ไปถือเอา หากจิตสำนึกไม่มีสื่อที่ดี ก็เสมือนเอาแต่คนในครอบครัวทะเลาะกัน ในที่สุดบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นประเทศก็ประเทศแยก แตกเป็นรัฐอิสระ เป็นโลกก็สงครามโลก เป็นจักรวาลก็เป็นสตาร์วอร์สงครามระหว่างดวงดาวชาวเอเลี่ยน กลายเป็นเสี้ยนหนามต่างเผ่าพันธุ์ หามีวันจบสิ้นลงไม่ ที่ลุงต้องตกมาอยู่แสนไกลนี่ก็เพราะสงคราม” (...ผู้คนต่างก็ไปถือเอาของฟรีคือความโลภ โกรธ และหลงที่ละไว้นั้น หากสื่อไม่มีจิตสำนึกที่ดี ก็เสมือนคนในครอบครัวเอาแต่ทะเลาะกัน ในที่สุดบ้านแตกสาแหรกขาด ฯ...)
“แหม...คงไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นหรอกมั้งลุง มันคงเป็นเรื่องของสงครามจิตวิทยามากกว่าครับ คงไม่ถึงกับเอาชีวิตกันให้ตายไปทีละจำนวนมากๆเหมือนในสงครามจริงๆหรอกมั้ง” ผมพยายามจะดึงให้เรื่องมันไม่น่ากลัวเหมือนที่ลุงแกกำลังเข้าใจ
“คุณพูดเองว่าคนทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตายสื่อทำให้ นั่นเพราะมีต่อมดำแห่งความชั่วร้ายอยู่ในสื่อแฝง ลุงจึงอยากจะฟ้องร้องให้มีการกำจัดสื่อออกไปจากต่อมดำแห่งความชั่วร้าย และแผ่ขยายต่อมขาวแห่งคุณงามความดีเข้าสื่อใจผู้คนบนโลกนี้” ลุงแกพูดได้ดีขึ้นถึงแม้จะกลับหัวกลับหางกันอยู่บ้างในบางประโยค (...คุณพูดเองว่าสื่อทำให้คนทะเลาะวิวาทและฆ่ากันตาย นั่นเพราะมีต่อมดำแห่งความชั่วร้ายแฝงอยู่ในสื่อ ลุงจึงอยากจะฟ้องร้องให้มีการกำจัดต่อมดำแห่งความชั่วร้ายออกไปจากสื่อ ฯ...)
“สื่อแห่งคุณงามความดีนั่นน่าฟังนะครับลุง แต่สำหรับผู้คนที่ยังมืดมนด้วยกิเลสหนาตัณหาหยาบนี่นะ คงจะรับไม่ได้ง่ายๆนักหรอกครับ” พูดพลางผมจิ้บแกฟา เฮ้ย...กาแฟ เกือบจะเผลอไปใช้ภาษาแบบลุงแกเข้าอีกคนแล้วล่ะซิ
“นั่นล่ะปัญหาแห่งต้นเหตุ อุปมาเหมือนจูนคลื่นรับวิทยุ ถึงจะมีสื่อที่แสนดีเพียงใดหากจิตใจไม่มีการจูนที่ดีพอ ก็รับกันไม่ได้ มนุษย์โลกนี้ยกตัวว่าเป็นผู้มีใจสูง แต่ไม่สามารถยกใจจูนหาสื่อดีๆมาขัดเกลาจิตใจของตนเองได้ ลุงมาเยี่ยมทีไรจะสื่อใจกับใครบนโลกนี้ได้ก็ไม่สามารถ ผู้คนล้มตายจากสงครามย่อยและสงครามโลกจำนวนมหาศาล แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนต่อมดำให้เป็นต่อมขาวของชาวโลกได้ สื่อใดบ้างจะกล้าเปลี่ยนแปลงต่อมดำอำมหิตในจิตใจของมนุษย์ได้...ไม่มี นอกจากถากถาง หยามเหยียด เสียดสี และ ดูไม่ผิด (ดูถูก)”ลุงแกหยุดชะงักและจ้องมาที่ผม เหมือนกำลังจะรอดูว่าผมเห็นด้วยหรือไม่ที่แกพูดมาทั้งหมดนี่ (...นั่นล่ะต้นเหตุแห่งปัญหา อุปมาเหมือนจูนคลื่นรับวิทยุ ฯ...ลุงมาเยี่ยมทีไรก็ไม่สามารถจะสื่อใจกับใครบนโลกนี้ได้ ฯ...)
“ผมว่าพวกเรากำลังจะถกกันเรื่องจรรยาบรรณของสื่อหรือปรัชญาแห่งความเป็นสื่อที่ดี หรือว่าเรื่องอะไรกันแน่ครับลุง บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องพายเรือในอ่างนะครับคือมันวกไปวนมา แล้วก็หาข้อยุติไม่ได้ ตกลงลุงอยากจะสื่ออะไรกับผมอย่างนั้นหรือครับ” ผมเริ่มงงกับการสนทนาที่ผ่านมา
“พายอ่างในเรือ (พายเรือในอ่าง) ก็ย่อมได้ข้อสรุปว่า มันวกไปวนมา ส่วนข้อยุติก็คือมันอยู่ที่เดิม ลุงออกจะไม่ภาษาสันทัด (ไม่สันทัดภาษา) แต่การกลับไปกลับมาก็ย่อมทำให้ได้ความคล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ ท่านผู้มีใจสูงยกได้ทั้งหลายท่านสามารถเปลี่ยนต่อมดำเป็นต่อมขาวก็เพราะการกลับไปกลับมา นี่ล่ะที่ลุงอยากจะสื่อให้กับคุณได้นำไปบอกแก่คนทั้งหลายทั่วแผ่นดิน ลุงไม่อยากจะกลับมาเตือนอีก เพราะ...”
“โทษทีครับลุงที่ขัดจังหวะ ตกลงบ้านลุงอยู่ที่ไหนนะ” ผมรู้สึกประหลาดใจที่ลุงแกบอกว่าไม่อยากกลับมาเตือนอีก
“ถึงบอกลุงก็ไม่เชื่อคุณหรอก อย่าไปอยากรู้เลย” (ถึงลุงบอก คุณก็ไม่เชื่อหรอกฯ...)
“เฮ่อน่า...ผมเชื่อลุงอยู่แล้ว อยู่บ้านไหนลุง ไกลมากเลยเหรอ” ผมคะยั้นคะยออยากจะรู้
“ลุงมาจากบ้านสุดแสงปลายหลายปี บ้านไม่มีอายุขัย บ้านหฤทัยเบิกบาน บ้านหฤหรรษ์อนันตกาล บ้านในวิมานจักรวาลลี้ลับ”
“หึๆๆๆ...เหอะๆๆ อะ อะ อ๊าก...อ๊ะๆ” ผมกลั้นหัวเราะจนแทบน้ำตาร่วง
“นั่นไงล่ะก็เตือนแล้ว ว่าถึงลุงเชื่อคุณก็จะไม่บอก”(...ฯ ว่าถึงลุงบอก คุณก็จะไม่เชื่อ)ลุงแกจ้องมาที่ผมเหมือนทวงสัญญา
“ผะผม...อยากจะเชื่อเหมือนกันครับลุง หากลุงพาไปเยี่ยมบ้านที่ว่า...บ้านสุดแสงปลายอะไรของลุงน่ะ ไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านอะไรที่ยาวเหยียดอย่างนี้มาก่อนเลย หึๆ...” ผมปาดน้ำตาออกเพราะกลั้นหัวเราะในความมีอารมณ์ขันของลุงแก ระหว่างที่ผมพยายามพูดผสมโรง
“ลุงอำนาจไม่มีจะพาบ้านลุงไปเยี่ยมคุณได้หรอก” (ลุงไม่มีอำนาจจะพาคุณไปเยี่ยมบ้านลุงได้หรอก) ลุงแกตอบตรงๆ
“อ้าว! ผมต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่บ้านก่อนรึอย่างไร ทำไมจะไปเยี่ยมกันแค่นี้ต้องให้ผู้มีอำนาจอนุญาตเสียก่อนเชียวเหรอ” ผมชักหงุดหงิด
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสื่อคุณยังไม่มีต่างหากล่ะ เมื่อไหร่ที่สื่อจูนตรงกัน และคุณไม่มีต่อมดำ เมื่อนั้นบ้านลุงมาเยี่ยมคุณก็มีสิทธิ์” (...ฯ เมื่อนั้นคุณก็มีสิทธิ์มาเยี่ยมบ้านลุง) นัยน์ตาของลุงแกดูแวววาวราวกับคนหนุ่มคนสาว
“แหม...ฟังดูราวกับเป็นหมู่บ้านลับแลหรือแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองในอุดมคติอะไรอย่างนั้นเลยนะลุงนะ แล้วลุงอาศัยอยู่หมู่บ้านนั้นมานานรึยัง” ผมยกแก้วกาแฟที่จวนจะหมดขึ้นดื่ม
“หากเป็นเวลาของลุงก็ไม่นาน แต่หากเทียบกาลของโลกมนุษย์นี้แล้วก็หลายศตวรรษ”น้ำเสียงของลุงแกราบเรียบราวกับมุกของตลกหน้าตาย
“หลายศตวรรษ!!! ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกแล้วล่ะลุง งั้นผมต้องขอตัวนะครับ คุณน้า...ช่วยเก็บตังค่ากาแฟด้วยครับ รวมสองแก้วของคุณลุงนั้นด้วย” ผมทะลึ่งพรวดลุกขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองควรจะอ่านหนังสือพิมพ์มากกว่าที่จะไปเสียเวลาสนทนาวิสาสะกับคนวิกลจริต คือแมดจริงๆ ดูสารรูปแล้วก็ไม่ต่างไปจากคนจรจัดหรือเพิ่งพลัดพรากจากสถานบำบัดโรคทางจิต ดีแต่ว่ายังไม่ติดแสตมป์มากับหน้าผากเท่านั้นเอง
“ก็นั่นสิ ไหนว่าฟ้องสื่อคุณจะช่วย (ไหนว่าคุณจะช่วยฟ้องสื่อ) อย่าได้สำคัญแต่เพียงคนเดียวว่าตนฉลาด (อย่าได้สำคัญตนว่าฉลาดแต่เพียงคนเดียว) อย่าได้ปรามาสสติปัญญาคนอื่นเขา และอย่าลืมต่อมให้ขาวนะตั้งใจฟอก (อย่าลืมตั้งใจฟอกต่อมให้ขาวนะ) หากอยากมาเยี่ยมลุง แล้วก็ขอบใจนะที่ซื้อกาแฟให้ ก็บอกแล้วว่าลุงเป็นไม่ดื่ม”(...ฯ ลุงดื่มไม่เป็น)พูดเสร็จลุงแกก็ขยับและลุกเดินไปทางด้านหลังของตลาดสดทันที นั่นสิ ตอนแรกเราคิดว่าจะช่วยแก ไหนกลับเปลี่ยนใจ ไม่มีความเป็นธรรมกับแกเอาซะดื้อๆอย่างนี้ล่ะ พอผมฉุกคิดได้จึงรีบเดินตามหลังแกไปจนเข้าใกล้ในระยะพอพูดกันได้ยิน
“โทษทีครับลุง เออ...คือผมลืมไป...ที่บอกว่าลุงอยากจะฟ้องร้องสื่อน่ะ ลุงพอมีหลักฐานอะไรที่ผมพอจะใช้ได้บ้างรึเปล่าครับ”
“อ๋อ...คุณคงจะไม่สนใจแล้วลุงนึกว่า (ลุงนึกว่าคุณคงจะไม่สนใจแล้ว) เลยถังขยะเทศบาลไปแล้วโยนมันลง”(...เลยโยนมันลงถังขยะเทศบาลไปแล้ว) พูดพลางแกก็ชี้มือไปที่ถังขยะซึ่งแกเพิ่งเดินผ่านไป และมันก็ตั้งอยู่ข้างๆทางเดินของผมนี่เอง
ผมเหลียวซ้ายแลขวาก่อนที่จะมุดหัวลงไปในถังขยะใบนั้น เพราะเกรงว่านายเทศกิจจะมาจับและปรับไหมเอา ข้อหาคุ้ยเขี่ยขยะนอกเขตจากที่ทางการอนุญาต ดีแต่ว่าภายในถังขยะส่วนใหญ่นั้นเป็นเศษอาหารการกิน มันจึงไม่ยากที่จะแยกแยะออกจากหลักฐานที่ผมกำลังคุ้ยเขี่ยหา
“นี่ไง...เจอจนได้” ผมพึมพำกับตนเอง พลางก็หยิบเอาเศษกระดาษที่ถูกกำเป็นก้อนก่อนจะโยนลงไปในถัง พอผมคลี่ออกเท่านั้นล่ะสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในแผ่นกระดาษใบนั้น ทำให้ผมแทบสะดุ้งโหยง ผมจึงรีบวิ่งตามลุงแกไปติดๆ ปัดโธ่...โว้ย แกหายไปทางไหนของแกไวนักหนาวะเนี่ย ก็เพิ่งเห็นกันอยู่หยกๆ ผมวิ่งพล่านกลับไปกลับมา เพื่อดักทางลุงแก แต่สุดท้ายก็ไร้วี่แวว ผมจึงเดินย้อนกลับมาที่ร้านกาแฟอีกครั้ง
“น้าครับ...น้าเคยเห็นลุง คนที่ผมเพิ่งนั่งคุยอยู่กับแกเมื่อสักครู่นี้มาก่อนรึเปล่าครับ” ผมอดใจไม่ได้ที่จะถามแม่ค้าขายกาแฟ
“ลุง...ลุงคนไหนกันจ้ะ...ก็เห็นคุณสั่งกาแฟมาสองแก้ว นั่งบ่นพึมพำอยู่คนเดียว นึกว่าจะทานแก้วที่สอง แต่พอหมดแก้วแรกแล้ว คุณก็จ่ายตังค์แล้วก็ลุกไปเลยนี่ ไม่เห็นจะมีลุงมีป้าที่ไหนกันซักคน”
“หา!...ไม่มีลุงแก่ๆแต่งกายซอมซ่อนั่งอยู่กับผมแน่นะ” ผมย้ำถามแกอีกครั้งแทบจะเป็นเสียงตะโกน
“ไม่มี! ไม่มีใครเลย เป็นอะไรไปวันนี้ ท่าจะเพี้ยนไปใหญ่แล้ว” เสียงคุณน้าคนขายกาแฟแกบ่นไปอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก
ผมมีหลักฐาน ผมได้หลักฐาน ผมเป็นพยานได้ในเหตุการณ์ แต่จะมีศาลที่ไหนจะรับฟ้องคดีแบบนี้ได้ ด้วยความอัดอั้นตันใจ ผมจึงคลี่แผ่นกระดาษที่ยับยู่ยี่ของลุงแกนั้นกางออก แล้วนำไปปิดไว้ที่ฝาผนังของร้านกาแฟ ตรงมุมที่ผมมานั่งดื่มและอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เป็นประจำ ผมยังได้ให้คนที่มีความรู้ภาษาประกิตช่วยถอดความแปลไว้ในนั้นอีกด้วย เวลาที่ผมมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์แต่ละเช้า มันก็จะได้ช่วยย้ำเตือนให้ผมได้ตระหนักอยู่เสมอว่า Mass กับ Mad Media นี่มันแทบจะแยกกันไม่ออก บุคคลที่ถูกพาดพิงหรือถูกกล่าวถึงมักจะไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลย โดยเฉพาะหากเป็นไปในทำนองใส่ร้ายป้ายสี หรือดูถูกเหยียดหยามภูมิปัญญากัน ใช่ล่ะ...มันฟ้องร้องใครไม่ได้เลยจริงๆ เพราะกฎหมายย่อมมิให้เอาโทษกับคนวิกลจริต (Mad) นอกเสียจากจะฟ้องร้องต่อจิตใต้สำนึกแห่งความมีคุณธรรมที่พอจะมีในหัวใจของมวลมนุษยชาติอยู่บ้าง จะว่าไปศาลโลกเขาก็มีแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการจัดตั้งศาลสถิตยุติธรรมแห่งคอสมอสจักรวาลหรืออย่างไร ลุงแกผู้ปรากฏให้เห็นแต่เฉพาะบุคคลราวกับผีหลอก ถึงได้มานั่งบ่นให้อย่างผมฟังคนปัญญานิ่ม (คนปัญญานิ่มอย่างผมฟัง)...หึๆ
Space is full of aliens, warns Hawking. But they aren't too bright.""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""" ฯลฯ"""ศาสตราจารย์ฮอว์คิงเตือนว่าอาวกาศเต็มไปด้วยมนุษย์ต่างดาว แต่พวกเขาก็ไม่ได้เลิศปัญญาอะไรหรอก(Daily Mail, UK., Wednesday April 23, 2008)“นี่คือเศษกระดาษหลักฐานที่ลุงแกเก็บมาต่อว่าต่อขานชาวโลกที่ลงข่าวดูถูกภูมิปัญญาผู้อื่น”..............................................