วัดอรุณราชวราราม

สุชาดา โมรา

การเดินทางที่แสนจะยาวนานต้องนั่งรถของมหาวิทยาลัยเป็นระยะทางไม่ใช่น้อย  จากลพบุรีไปถึงกรุงเทพฯ ก็ประมาณ  3  ชั่วโมงเศษ  รถของพวกเราจอดตรงถนนท้ายวัง  เมื่อเราเดินลงมาจากรถอาจารย์ก็พาชมตัววัดโพธิ์  จากนั้นจึงไปยังวัดอรุณราชวราราม  หรือที่เรียกกันว่าวัดแจ้ง  การเดินทางไปวัดนี้นั้นต้องอาศัยเรือข้ามฟากจากฝั่ง  ซึ่งเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปจอดยังฝั่งธนบุรี
	เมื่อย่างก้าวเข้าสู่ประตูวัดแห่งนี้เราก็จะพบข้าวของที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง  มีร้านที่รับถ่ายรูปชุดไทยโดยการให้เช่าชุดไทยทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชอบความเป็นเอกลักษณ์ของไทยอยู่แล้วต่างเข้าไปใช้บริการในร้านเหล่านี้เป็นส่วนมาก  นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไปมักจะเป็นชาวต่างชาติมีเพียงกลุ่มเราเพียงกลุ่มเดียวที่เป็นคณะนักศึกษาที่เข้าไปเที่ยวชมในวันนั้น
	พวกเราเดินมาถึงพระบรมราชานุเสาวรีย์รัชการที่  2  แล้วร่วมกันถ่ายภาพเก็บไปเป็นที่ระลึกจากนั้นก็เดินไปตามทางปูด้วยคอนกรีตเข้าไปกราบพระที่อยู่ในโบสถ์เพื่อเป็นศิริมงคล  ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้  และก็เดินผ่านประตูจำหน่ายตั๋วเข้าไปยังพระปรางค์ซึ่งมีความสวยงามมาก  องค์พระปรางค์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบหลากสีมีทั้งลายดอกๆไม้และใบไม้  ถ้วยชามเบญจรงบ์และเปลือกหอย  ซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม  มีความละเอียดในลวดลายของกระเบื้อง  ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาจากนานาประเทศต่างชื่นชมและถ่ายภาพเพื่อเป็นที่ระลึกกันใหญ่เชียว
	วัดอรุณราชวราราม  หรือวัดแจ้ง  เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก  แต่เดิมเคยเป็นวัดหลวงในสมัยกรุงธนบุรี  ซึ่งประดิษฐานพระแก้วมรกตเอาๆไว้  เมื่อรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเถลิงราชสมบัติก็ทรงย้ายพระแก้วมรกตไปประดิษฐาน ณ  วัดพระศรีรัตนศาสดารามวรมหาวิหารจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
	การสร้างพระปรางค์ของคนไทยจะยึดถือแนวความเชื่อจักรวาลซึ่งเป็นความเชื่อของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ  ต่างเชื่อว่าพระปรางค์องค์ใหญ่คือเขาพระสุเมรุ  เป็นศูนย์กลางของทวีปทั้ง  4  และมีภูเขาใหญ่น้อยล้อมรอบ  ซึ่งได้ทำเจดีย์เล็ก ๆ หลายองค์เอาไว้เป็นบริวารของเขาพระสุเมรุ
	ลักษณะเด่นของวัดนี้ที่เห็นได้ชัดคือยักษ์สองตนซึ่งเป็นศิลปะแบบไทยตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้าของวัดยืนทำท่าสง่างามคอยอารักษ์ขาวัดนี้อย่างเข้มแข็ง  ทำให้มีนักท่องเที่ยวมากมายเข้าไปถ่ายรูป  เข้าไปเชยชมความงามของยักษ์อย่างใกล้ชิดหลายคน  นอกจากนั้นยังมีมณฑปพระพุทธบาทจำลอง  พระเจดีย์  4  องค์  พระวิหารซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่  2  หอระฆัง  พระเจดีย์และศาลาราย  พระประธานในพระวิหาร  พระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตร  เป็นพระประธานปางมารวิชัย  หล่อด้วยทองแดงปิดทองในสมัยรัชกาลที่  3  นอกจากนั้นยังมีหอไตร  2  หอ  อยู่ทางด้านหมู่กุฏิ  โบสถ์น้อย  วิหารน้อย  ศาลาท่าน้ำรูปเก๋งจีน  ภูเขาจำลอง  อนุสาวรีย์พระธรรมเจดีย์  และพระจุฬามณีซึ่งหล่อด้วยโลหะคล้ายเนื้อชิน  มีความสวยงามมากสามารถถอดออกได้ถึง  4  ชิ้น  อยู่ที่ยอดคอระฆังชิ้นหนึ่ง  และที่ฐานอีก  2  ชิ้น  ประดิษฐานอยู่บนแท่นปูนที่ลงลักปิดทอง  ทำลวดลายเหมือเจดีย์  มีความงดงามมาก
	วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี  ปรากฏหลักฐานในสมัยปัจจุบันคือ  โบสถ์และวิหารเดิมของวัด  ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบอยุธยา  มีชื่อตามตำบลว่า  วัดบางมะกอก  หรือ  วัดมะกอก  ซึ่งนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการสันนิษฐานว่าตำบลแห่งนี้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางเมืองธนบุรี  และเป็นที่มาของนามว่า  บางกอก  ในเวลาต่อมา  นอกจากนั้นในปัจจุบันคำว่าบางกอกยังเป็นชื่ออำเภอในเขตกรุงเทพมหานครถึง  2  เขตอีกด้วยคือ  บางกอกน้อยและบางกอกใหญ่  ต่อมาในต้นสมัยกรุงธนบุรีจึงเปลี่ยนนามว่า  วัดแจ้ง  
	หลังจากที่พระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงสร้างกรุงธนบุรีในปี  พ.ศ.2311  วัดแจ้งก็กลายเป็นวัดในวังตามแบบอย่างโบราณมา  วัดในวังไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงประกอบพิธี  เช่นเดียวกับที่กรุงศรีอยุธยาเคยมีวัดพระศรีมหาธาตุ  วัดพระศรีสรรเพชญ์  วัดพระรัตนศาสดาราม  เป็นวัดหลวง  ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์  รัชกาลที่  2  ทรงพระราชธานนามใหม่ว่า  วัดอรุณราชวราราม  ดังที่เรียกกันอยู่ในปัจจุบันนี้
	หลังจากที่มาเที่ยวชมความงดงามของวัดแล้วเรายังได้ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อีกด้วย  ขากลับเราจึงเก็บภาพเป็นที่ระลึกอีกครั้งก่อนที่จะนั่งเรือข้ามกลับไปฝั่งพระนครเพื่อเดินทางไปทัศนศึกษาต่อไป				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน