ความหมายในตะกร้า

ทิวสน

โดย ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com
แดดบ่ายปลายร้อนเคลื่อนคล้อยมาแล้ว ระยับแดดโลดเต้นเหนือท้องทะเลอันดามัน ที่ระบายด้วยสีเขียว ใส โค้งฟ้าสีครามตัดกับผิวน้ำไกลออกไปลิบตาแลดูงดงามสบายตา แฝงความอลังการซ่อนไว้ ลมทะเลโชยพัดหอบไอเค็มบางมาพร้อมกับเกลียวคลื่นขนาดย่อย ที่ม้วนตัวทยอยซัดสู่ฝั่งทักทายทรายขาวอยู่เป็นระลอก
ชาตรี ยืนชมความงามธรรมชาติอยู่ริมหาด เนื้อตัวพราวด้วยน้ำที่เพิ่งขึ้นจากการว่ายเล่นเมื่อครู่ เขายืนทอดสายตาผ่านเลนส์สีเขียวเข้มออกไปสุดปลายฟ้า แล้วหันไปสำรวจรอบกายคล้ายกำลังดื่มด่ำผลงานของจินตกวีผู้ยิ่งใหญ่ ที่บรรจงรังสรรค์ทิวทัศน์เพื่อกำนัลแด่ทุกลมหายใจ 
เขาสูดลมหายใจลึก และอยากจะกักเก็บมันไว้เช่นนั้น เพราะนานนักแล้วที่เขาไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์เยี่ยงนี้ ความจริงจะว่าไปแล้วที่ผ่านมาเขาเหมือนอะไรสักอย่างที่ถูกพันธนาการไว้ในกล่องใบใหญ่มีละอองควันสีหม่นห่มคลุมตลอดเวลา ทั่วทุกอณูที่ก้าวย่าง ซึ่งใครต่อใครต่างเรียกขานกล่องใบนี้ว่า "เมืองหลวง"
มันไม่ง่ายนัก ที่เขาจะสามารถปลีกตัวจากภาระหน้าที่มายืนตากอากาศเช่นนี้เพราะตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทแถวหน้าด้านโทรมนาคม ทำให้แทบทุกเวลาทุกนาทีต้องทุ่มเทให้กับงานจนแทบจะลืมไปว่าที่บ้านยังมีภรรยาและลูกรออยู่ ความที่ยังหนุ่มแน่น มีไฟ เวลาจึงหมดไปกับการประชุมวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง เพื่อปรับกลยุทธ์ทางการตลาดในทุกขณะ การมองเกมอย่างเฉียบคมและชาญฉลาดของเขาทำให้ประธานบริษัทไว้วางใจเขามาก 
แต่ผลที่ตามมากลับวิ่งสวนทางกันระหว่างความสำเร็จในหน้าที่การงานกับความผูกพันในชีวิตครอบครัว ที่จวนเจียนที่จะพังครืนลงได้ทุกขณะ หากเขาไม่คิดทำอะไรเพื่อประสานความสัมพันธ์ผูกพันไว้ เขาได้แต่หวังว่าสักวันคงจะสบายขึ้นเมื่อสามารถจัดสรรการงานให้คนภายใต้มาช่วยแบ่งเบาภาระเมื่อนั้นคงมีเวลา ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร เมื่อนั้นคงมีเวลาพาครอบครัวมาพักผ่อนตากอากาศบ้าง นั่นคือ ความตั้งใจ
กระทั่งผ่านพ้นมาเกือบ 3 ปี จึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้ ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาพาครอบครัวเหินฟ้าจากเมืองหลวงลงมาพักผ่อนที่ทะเลทางภาคใต้ แม้จะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษในการเดินทาง แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหลุดออกมาอีกโลกหนึ่งทีเดียว
ชายหนุ่มหันกลับ เดินไปยังเปลผ้าใบซึ่งมีร่มขนาดใหญ่วางตั้งระหว่างเปลสองตัว หย่อนกายลงนั่ง พลางหันมองภรรยาซึ่งนอนอยู่เปลข้างๆ หมายจะชวนคุย ทว่าคงเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเล่นน้ำเมื่อครู่จึงทำให้เธอหลับไปเสียแล้ว
เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วประสาเด็กดังแว่วอยู่ไม่ไกล เขาหันมองเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยสองคนกำลังหารือและช่วยกันก่อกองทรายอย่างเพลิดเพลิน เขาระบายยิ้มชื่นชมกับความช่างคิดของลูกทั้งสอง ช่างเหมือนเขาในวัยเด็ก เขารู้สึกเป็นสุขที่เห็นลูกสนุกและรื่นเริงเช่นนี้
ถัดจากลูกทั้งสอง เด็กผมทองสองคนกำลังยืนมองหญิงชราคนหนึ่งอย่างสนใจ จากการแต่งกายคงเป็นชาวบ้านละแวกนี้ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกใจ ดูเผินๆ นางก็ชรามาก สังเกตจากการเดินเชื่องช้ากับหลังที่คุ้มงอ เวลาที่ก้มลงเก็บบางสิ่งบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายเล็กๆ ก็ดูจะแสนลำยาก เด็กผมทองเดินตามดูพฤติกรรมของนางอย่างสนใจ ขณะหนึ่งนางหันมองเด็กๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้ ทว่าเด็กกลับหันหน้าวิ่งหนี ประหนึ่งว่าหน้าตานางน่าเกลียดน่ากลัวกระนั้น 
นางมองตามเด็กครู่หนึ่งจึงบ่ายหน้าเดินตรวจตราผืนทรายแล้วก้มลงเก็บบางสิ่งต่อไป บางสิ่งที่ว่าถูกนางก้มหยิบ หย่อนลงในตะกร้าชิ้นแล้วชิ้นเล่า ขณะที่เขาสนใจว่าสิ่งนั้นคืออะไรเมื่อนางก้มลงเก็บ เขาก็เห็นว่าวัสดุนั้นต้องแสงแดดเป็นประกาย วาบ เขายิ่งทวีความสงสัยมากขึ้น ว่ามันคืออะไรมันอาจจะเป็นโลหะหรือของมีคม? 
นึกขึ้นได้ดังนั้นเขาใจหายวูบ เมื่อเห็นว่านางกำลังเดินเข้าไปใกล้ลูกๆ ซึ่งเล่นก่อกองทรายห่างนางไปเพียงไม่กี่ก้าว หญิงชราเดินเข้าไปใกล้ลูกของเขา ใกล้เข้าไป 
ในมือของนางถือวัสดุบางอย่าง มันยังส่งประกายให้น่าหวั่นวิตกเขาใจเต้นถี่ ยันกายลุกขึ้นยืนจับตามองพฤติกรรมของนาง 
เด็กๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า นางประสงค์ดีหรือร้าย และเหตุใดนางจึงให้ความสนใจมองจ้องลูกๆ ของเขานานเป็นพิเศษ นางขยับเดินเข้าไปใกล้ในระยะพอจะเอื้อมมือเข้าไปหาลูกคนเล็ก เขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก
"ปิ๊กป๊อก มาหาพ่อเร็วลูก!!!"
เด็กทั้ง 2 ชะงัก หันมองซ้ายขวา เมื่อเห็นหญิงชราก็ร้อง กรี๊ด!! แล้ววิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้แน่น
ชายหนุ่มถอดแว่น แล้วมองจ้องหญิงชราเขม็ง นางมองจ้องกลับด้วยแววตาแตกต่างคล้ายมีคำอธิบายบางอย่าง แต่แล้วก็หันหลังทำภารกิจของนางต่อไป
ฝ่ายภรรยาสะดุ้งตื่นด้วย เพราะเสียงตะโกนของสามี มองดูสามีและลูกที่กอดขาพ่อเนื้อตัวสั่น
"เกิดอะไรขึ้นที่รัก" เธอถาม แต่เขาไม่ตอบ กลับสั่งเธอเสียงสะบัด
"ไม่ต้องถาม เก็บของกลับโรงแรม"
ว่าแล้วเขาก็อุ้มลูกคนเล็กก้าวฉับๆ นำหน้าไป ปล่อยให้ลูกคนโตวิ่งตาม ส่วนภรรยารีบเก็บของเดินตามไปอย่าง งุน-งง
* * * * *
"ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะที่รัก ถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้" ภรรยาซักทันทีเมื่อเข้ามาถึงห้องพัก วางเสื้อคลุมพาดที่เก้าอี้ นั่งรอฟังคำอธิบาย สามีถอนหายใจ ก่อนหันมาพูด
"ขอโทษทีที่อารมณ์เสียใส่คุณ ผมโมโหพวกแก๊งลักเด็ก คุณคงไม่เห็น มียายแก่ที่ชายหาด กำลังจะเดินเข้ามาจับลูกเราไป"
"หา! จริงเหรอคะที่รัก แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณยายคนนั้นเป็นพวกลักเด็กล่ะคะ"
ภรรยาตกใจ แต่ก็ช่วยสะกิดให้คิด ชาตรีนิ่ง ทบทวนถึงลักษณะพฤติกรรมและสิ่งที่มีลักษณะมันวาวสะท้อนกับแสงแดดนั้น
"อือม์ไม่รู้สิ ก็ผมเห็นยายคนนั้นเหมือนถือมีดหรืออะไรที่มีคม แล้วเดินเข้ามาจะจับลูกของเรา" เขาอธิบายตามความเข้าใจตอนนั้น
"พวกนี้ถ้าทำ ก็ทำกันเป็นแก๊ง คงไม่ใช้คนแก่ที่ไม่มีเรี่ยวแรงมาทำหรอกค่ะ แต่นี่คือความเห็นนะคะ เพราะหากไม่ใช่อย่างที่คิดก็น่าสงสารแกนะคะที่รัก ที่เราไปปรักปรำแก ช่วงนี้ดูคุณเครียดๆ นะคะ สัปดาห์ก่อนก็เกือบจะไล่พนักงานในฝ่ายออก ก็เพราะคุณรีบด่วนสรุปไม่ใช่เหรอคะ อยากให้คุณใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดน่ะค่ะ"
ภรรยาเตือนสติด้วยความห่วงใย ชายหนุ่มนั่งนิ่งเม้มปากแน่น คิดใคร่ครวญ หากท่าทีที่เขาแสดงต่อคุณยาย 
มาจากการที่เขารีบด่วนสรุป คุณยายคนนั้นก็คงเจ็บปวดไม่น้อย
* * * * * *
ผืนฟ้ากว้างถูกคลี่คลุมด้วยกำมะหยี่สีดำไปพักใหญ่แล้ว ลมกรรโชกแรงจนต้นมะพร้าวสูงเสียดยอดโอนเอนตาม บางต้นลูกแก่ๆ ก็ปลิดขั้วหล่นสู่พื้นทราย ขณะที่เมฆทมึนเริ่มคล้อยต่ำอยู่เหนือหมู่บ้านอันเป็นชุมชนเล็กๆ ริมหาดแห่งนี้ ซึ่งปลูกสร้างแบบง่ายๆ ราวๆ 20 กว่าหลังคาเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงน้ำตื้นออกเรือหาปลาใกล้ชายฝั่ง เว้นแต่กระต๊อบหลังกะทัดรัดหลังนั้นที่ชาวบ้านแถวนี้คุ้นเคยกับเธอมานาน และรู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯ เคยมีคนแต่งตัวแปลกตา ท่าทางเป็นผู้ดีมีสกุลมาพบเธอ เหมือนจะนำเธอกลับไปด้วย ทว่าชาวบ้านก็ยังคงพบเธออยู่ที่นี่ไม่ไปไหน 
เธอมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เด็กๆ แถวนี้มักจะไปที่บ้านของเธอ เพราะเธอมักทำขนมไว้แจกเด็กๆ เสมอ และนี่คือความสุขที่เธอได้ทำ นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันในการเดินเลาะริมหาดทรายพร้อมตะกร้าหวายเพื่อเก็บบางสิ่งใส่ตะกร้า
ความสว่างบนปลายไส้ตะเกียงวูบไหวตามแรงลมหลายหน เพียงครู่ฝนก็เทจากฟ้าอย่างหนัก ดุจใครคว่ำชามอ่างยักษ์เทน้ำลงสู่พื้นดิน
ความสว่างจากฟ้าแลบสะท้อนกับน้ำใสๆ ที่ไหลผ่านแก้มเหี่ยวๆ ของหญิงชราผู้โดดเดี่ยว ไม่บ่อยนักที่จะต้องเสียน้ำตา เพราเธอเด็ดเดี่ยวเสมอ ยอมแม้ละทิ้งทุกอย่างจากเมืองหลวง ทิ้งสังคมชั้นสูง มาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบง่ายสงบสุขที่ชุมชนแห่งนี้ อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยมีอะไรเคลือบแฝงในแววตา สีหน้าและคำพูดของผู้คนแถวนี้ แต่ครั้นนึกถึงพฤติกรรมและแววตาอันดุดัน ดูหมิ่นของชายหนุ่มเมื่อตอนบ่ายแล้ว มันช่างกรีดใจเธอให้เจ็บปวดอย่างสากรรจ์
* * * * * *
เวลาสองยามเศษ หลายหลังคาเรือนในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ต่างหลับใหลกันหมดแล้ว แต่ชาตรีเพิ่งกลับถึงบ้าน นับแต่วันที่กลับมาจากพักร้อน เขาก็เข้าสู่ภาวะปกติที่ต้องทำงานหนัก ตื่นเช้า เข้านอนหลังสองยามเสมอ
หลังจากอาบน้ำสบายตัวแล้ว รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงชงชาร้อนดื่มและออกมานั่งเล่นที่ระเบียง พร้อมหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับรายสัปดาห์ เขาเอนตัวกึ่งนอนกึ่งนั่งบนเก้าอี้โยก ค่อยๆ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ในหนังสือพิมพ์ กระทั่งไปสะดุดตากับเรื่องสาระเบาๆ กับสไตล์การใช้ชีวิตของนักธุรกิจในมุมที่คนทั่วไปไม่ทราบ หัวเรื่องฉบับนี้น่าสนใจสำหรับเขาเพราะอะไรไม่ทราบได้ 
"ชีวิตสมถะของคุณหญิงพิมลพร จากไฮโซฯ คืนสู่สามัญ ทางที่เธอเลือกเอง" 
เขาค่อยๆ อ่านอย่างสนใจกับชีวิตของนักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน ส่งบุตรธิดาศึกษาจบในระดับสูงสุดทุกคน เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เธอเหนื่อยล้าและอยากหันหลังให้กับงานที่ทำเพื่อพักผ่อน จึงโอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรธิดาหมดสิ้นแล้วอพยพตัวเอง ทิ้งสังคมไฮโซฯ เลือกใช้ชีวิตสมถะที่กระต๊อบหลังเล็กๆในหมู่บ้าชาวประมงน้ำตื้น ริมชายหาด แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต กิจวัตรในแต่ละวันมีความสุขกับการได้พูดคุย ทำขนมแจกเด็กๆ ชาวบ้านและเดินตรวจตราริมชายหาด
อ่านมาถึงตอนนี้ชาตรียิ่งจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะสถานที่ที่ว่านี้คือ ชายหาดที่เขาและครอบครัวเพิ่งจะกลับมาจากการพักร้อนเมื่อวันก่อน เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เมื่ออ่านพบประโยคที่ว่า
กิจวัตรของเธอคือ เสาะหาตรวจตราเก็บเศษแก้วและของมีคมบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายใบเล็กแล้วนำไปทิ้ง เพียงเพื่อจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กๆ และนักท่องเที่ยว!!!
ชาตรีอ่านข้อความนี้ด้วยใจเต้น และเมื่อเพ่งมองที่ภาพใบหน้าของคุณหญิงพิมลพร เขาถึงกับอึ้ง 
เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของคนที่เขาตราหน้าว่าเป็นแก๊งลักเด็ก ที่จะทำร้ายลูกของเขา คือ คนคนเดียวกัน!!!
* * * * * * * * * *
หมายเหตุ 
1.แต่งขึ้นจากประเด็นสั้นๆ เพียงไม่กี่บรรทัดซึ่งแปลจากหนังสือต่างประเทศ แล้วฟอร์เวิร์ดต่อๆ กันมา
2.วาระตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร มหาสนุก ฉบับวันที่ 18-24 กุมภาพันธ์ 2004				
comments powered by Disqus
  • ทิกิ_tiki 4895 ไม่ลงทะเบียน

    18 ธันวาคม 2547 17:28 น. - comment id 79997

    คนเรามักเป็นเช่นนั่นค่ะ
  • ดาหลา & ปะการัง

    19 ธันวาคม 2547 11:15 น. - comment id 80014

    แวะมาอ่าน ค่ะ หน่อง
    
    งาน เยี่ยม เหมือนเคย
  • เด็กพี่แมน

    20 ธันวาคม 2547 13:31 น. - comment id 80033

    ยาวจังแต่งได้ไงถ้าเป็นฉันนะ12วันคงได้แค่บรรทัดเดียว
  • ผมเองครับ

    21 ธันวาคม 2547 12:48 น. - comment id 80057

    ชอบครับ
  • ดอกไม้ไหว

    23 ธันวาคม 2547 19:56 น. - comment id 80118

    อ่านแล้วก็ดีนะคะ แต่งเก่งแล้วก็มีสาระด้วยอ่ะค่ะ
    คนเราไม่น่ามองกันที่ภายนอกเลยนะนี่แหละจะได้เป็นข้อคิดให้คนที่ชอบประเมินผู้อื่นที่ภายนอกเพราะบางทีโจรอาจจะมาในมาดนักธุรกิจก็ได้ใครจะรู้ใช่มั้ยคะ
    เกลียดเหมือนกันนะพวกที่ชอบประเมินคนที่ภายนอกเนี่ย
  • จริงดิ

    27 ธันวาคม 2547 21:14 น. - comment id 80217

    เห็นด้วย ได้ข้อคิดนะ
  • นกปีกหัก

    29 ธันวาคม 2547 10:10 น. - comment id 80244

    อ่านแล้วให้ความรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ
  • ahm

    30 ธันวาคม 2547 19:01 น. - comment id 80288

    i\"m too

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน