รักแม่ให้มากนะครับ

unicorn

บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยืยนมาหลังวันเกิดในเดือนที่แล้ว 
 เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวไม่ใหญ่โตนัก ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็ก ๆ 
 ที่สมภารเจ้าอาวาสอดีตนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผม 
 ท่านเอาเงินที่ญาติโยมศรัทธาถวายท่าน 
 มาปลูกสร้างเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้ชราได้มาพักอาศัยยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง 
 มีโยมผู้หญิงวัยกลางคนไร้ญาติและสิ่งเกาะเกี่ยวทางโลกมา 
 บำเพ็ญธรรมโดยไม่บวชชี   ท่วงท่าเจรจาพาทีดูสำรวมราบเรียบ 
 พร้อมเด็กวัดลูกชาวบ้านแถบนั้นแวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ดูแล 
 ผู้ชราทั้งหญิงชายที่ถูกทอดทิ้งรวม 
 13 ชีวิต ค่าจ้างคนดูแล น้ำไฟ เสื้อผ้ายารักษาโรค ข้าวปลาอาหาร 
 สมภารใจดีอดีตนักเรียนช่างกลที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 
 เหมาจ่ายคนเดียว โดยไม่เคยพิมพ์ฏีกาเรี่ยไรใคร 
 พูดคุยกับท่านหลายเรื่องจนตอนจะลากลับผมควักเงิน500 บาท 
 ใส่ซองถวายท่านเป็นค่าใช้จ่าย ท่านจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ 
 ชวนผมเดินลงจากศาลาไปที่บ้านพักคนชราแห่งนั้นเปิดนรก 
 บนดินอีกขุมหนึ่งให้คนบาปอย่างผมมีดวงตาเห็นธรรม 
 โดยไม่ต้องฟังเทศน์เทียบชาดกบทใด ๆ 
 หญิงชรารูปร่างเล็กผิวสองสีบอบบาง 
 ทอดกายเหยียดตรงบนเตียงเล็ก ๆ 
 แต่สะอาด มีผ้าห่มผืนบาง ๆ ห่มปิดทรวงอกที่ยังกระเพื่อมเบา ๆ 
 ราวเครื่องยนต์ใกล้ดับอย่างเหนื่อยหน่าย 
แม่เฒ่าพยายามยกขึ้นประนมไหว้ 
 เมื่อท่านสมภารพาผมมานั่งอยู่ข้างขอบเตียง 
 กังวานน้ำเสียงแห่งพุทธบุตรผู้เมตตาเปล่งวาจาถามไถ่อาการ 
 และให้ศีลให้พรเบาๆ 
 แต่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์หยาดน้ำตาแห่งความปิติ 
ท่วมท้นดวงตาสีขาวขุ่น 
 แล้วค่อย ๆ ซึมเซาะรินไหลไปตามร่องขอบตา 
 ที่เหี่ยวย่นบนใบหน้าเวทนาบังเกิดจนผมต้องเบือนหน้าหนี 
 ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน 13 คนชราของที่นี่ 
 เรื่องราวทั้งหลายในอดีตยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ 
 เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน....... 
 แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน 60  ปีที่ผ่านมาี่ 
ครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ในระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด 
 สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง 
 ก่อสร้างสร้างตัวจากกรรมกรกินค่าแรงรายวัน 
 โดยแม่เฒ่ารับจ้างทอผ้าอยู่ในโรงงงานแห่งหนึ่ง 
อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น 
 สามารถสร้างหลักฐานจนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ 
 แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวังจะฟูมฟักลูก 3 คน 
 ให้อยู่อุ่นกินอิ่มโดยไม่ต้องลำบาก 
 ช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกท้อผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 
  คนที่อยู่ในวัยซวนไล่เรียงตามลำดับ 
 เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบ 
 สามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ตื่นมาร่ำลา 
 หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้ง ๆ ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด 
 แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิดเป็นร้านค้าโชห่วยขายของ 
 สารพัดชนิดอดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง  3 คน 
ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัวอบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี 
 ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหัก ดั่งหนึ่งคนละสายเลือด 
 ลูกชายคนโตแต่งงานไปกับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด 
 ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหนเหมือนวันที่ลูกชายแต่งงาน 
  สมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโต 
  เปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ 
 ปีต่อมาลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคน 
  แม่เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของสองคูหาสามชั้น 
  ให้เป็นสมบัติของลูกด้วยความยินดีโดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย 
  สองปีถัดมาลูกสาวคนสุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด 
  แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า 
  รับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา 
  สัตว์โลกทั้งหลายล้วนเวียนว่ายก่อเกิดเพื่อมาชดใช้กรรมเก่า 
  สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก 
  ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว 
  แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือนซักผ้าทำกับข้าว 
  จัดสำรับคับค้อนตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม 
  แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง 
  กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้วจึงได้พักผ่อนด้วยการ 
  เดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน 
 สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิดที่ซื้อมาทำกับข้าว 
  ต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนักราคาสินค้ากับเงินทอน 
  ที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด 
  แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์ 
  แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโต 
  เพื่อนกินกันแค่สองผัวเมียแล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันล่ะยี่สิบบาท 
  ไปหากินเอาเองด้วยเหตุผลโง่ ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึก ๆ 
  ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้นส่วนเกิน 
  แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูก ๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย 
  จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี 
  สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก 
  หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาด 
  แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย 
  แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียด ๆ 
  แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์ 
  สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอกลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน 
  จะคุยกับลูกชายไอ้นั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำ 
  เหมือนหนามตำโดนโคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน 
  อึดอัดแม่เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโต 
  ที่ห้อยแขวนพระเครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ 
  ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส 
  และไม่แม้แต่จะชายตามองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย 
  เก้ ๆ กัง ๆ อยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโตอย่างเหงา ๆ 
  โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ 
  ระหว่างทางก็แวะทักทายคนรู้จักเพื่อรักษามารยาท 
  แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้างระหว่างทาง 
  ลูกสาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึง 
  เธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่าตั้งแต้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยม 
  ว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหาเพราะบ้านเธอมีแขก 
  ที่เป็นลูกน้องของผัวและพ่อค้าวานิช 
  เข้าพบผัวของเธอเพื่อขออำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อย ๆ 
  และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง 
  ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควรจะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย 
  แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้องทำอย่างไร 
  แม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน 
  เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคน 
  แม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้มทั้ง ๆ 
  ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็นเจ้าคนนายคน 
  จึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูก 
  จนหนักหนาสาหัสขนาดนั้น 
  ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ 
  โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่สอง 
  กระทบธุรกิจของสองผัวเมียจนทรวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่า 
  ที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด 
  ปัญหาและวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงชาลงสอง 
  ผัวเมียเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง 
  และแทบทุกครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล 
  โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปกป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด... 
 12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ 
  ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆสลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะ 
 ครู่ใหญ่ ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง 
 ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว 
  แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้าน 
  ขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด 
  แม่เฒ่ารับเงินแล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า 
  สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะกล่อง 
  ช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด 
 ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้าน 
  ช่วยกันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ ๆ เคยวาง 
  เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่า 
  ที่กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง 
  เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่าไม่เห็นก่อนปักธูปลงกระถาง 
  เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน 
  ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่ 
  กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน 
  ก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์ 
  ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร 
  แม่เฒ่าให้การไม่รู้ด้วยซื่อบริสุทธิ์ 
  โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว 
  กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ 
  แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา 
  ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ 
  แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำให้ตำรวจอบรมแม่เฒ่า 
  ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้าน 
  โดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ 
  สายฝนยงสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก 
  ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่าที่บ้านบ้านซึ่งประตูเหล็กถูกปิดสนิท 
  แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้าน 
  แล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีดกับภาพเบื้องหน้าที่พื้นหน้าบ้าน 
  เสื้อผ้าเก่า ๆ ยัดแน่นอยู่ในถุง 
  ถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า 
  กระถางธูปและรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด 
  หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น 
  แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก 
  น้ำตาแห่งความรันทดทะลักล้นปนน้ำฝน 
  ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ 
  แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้องจากสายฝนสุดชีวิต 
  สองเท้าออกก้าวช้า ๆ 
  เหมือนร่างไร้วิญญาณเข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขาย 
  ทองของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการบอกลาแล้วลัด 
  เลาะฝ่าความมืดและสายฝน 
  ไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคนเล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่ 
  จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้าร้องระงม 
  สลับกับเสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ 
  ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาทบรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติ 
  ติดตามมาทวงคืนให้แม่เฒ่าต้องชดใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน 
  รถกระบะเก่า ๆ คันนั้น 
  วิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระของสมภารเจ้าวัดตอนตีสามเศษ 
 คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย 
 ด้วยใจเมตตา เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่ 
 จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวชแม่เฒ่ามักคุ้นกับสมภารวัดนี้มานานแล้วตั้งแต่ 
 เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต 
  จึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิง 
  เหมือนร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนทั้งสาม 
  ฟ้าเริ่มขมุกมัวใกล้ค่ำลงทุกขณะ 
  ผมจำเป็นต้องบอกลาท่านสมภารและแม่เฒ่าเจ้าของเรื่องราวน่าสลด 
  นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้ 
  แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัดเหมือนๆ 
  กับทีทรพีทั้งสามคนก็ไม่เคยออกติดตามถามหา 
  จะรู่หรือไม่ก็แล้วแต่ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัด 
  แต่ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่เงาของสามเนรคุณ 
  ผมจากลาออกมาทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า 
  ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา.. 
  แม่จำลูกได้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนโต จะทุกข์จะสุขก็คือลูกของแม่ 
  แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูกทุกคนเป็นการตอบแทน 
  ลูกเอ๋ย...เมื่อลูกยังเป็นทารกทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่มน้ำนมจากเต้า 
  สองมือน้อย ๆ ของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหว ๆ 
  วันนี้แม่สิ้นแรงแทบสิ้นใจจะมีมือของลูกคนไหน 
  เอื้อมมาปิดตาให้แม่ก่อนสิ้นลม.....				
comments powered by Disqus
  • อย่างรู้เลย

    6 ตุลาคม 2547 19:03 น. - comment id 77803

    เรื่องไม่เหงสั้นเลยอะ
    
  • อย่างรู้เลย

    6 ตุลาคม 2547 19:03 น. - comment id 77804

    เรื่องไม่เหงสั้นเลยอะ
    
  unicorn

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน