เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 16 )
สุชาดา โมรา
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลแสนไกลท่านก็ยังตามไปช่วยเราได้ ฉันเพิ่งเชื่อก็ต่อเมื่อเจอกับตัวจริง ๆ วันนี้ฉันจึงมาโรงเรียนแล้วไปสักการะบูชาหลวงพ่อขาวแต่เช้ามืดและใส่ชุดยูโดวิ่งรอบหลวงพ่อขาว 9 รอบทันที หนูมาแก้บนแล้วนะคะหลวงพ่อ... จากนั้นก็ไปไหว้เจ้าพ่อศาฬพระกาฬ องค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่วงเวียน และก็มาที่ชมรมไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีเพื่อแก้บนหลังจากที่กลับมาได้เพียง 2 วันด้วยความรู้สึกสัทธาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
พอกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวมาเรียนฉันก็รู้สึกสบายใจเหลือเกิน วันนี้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตจริง ๆ... ฉันเดินเข้าไปที่หน้าเสาธงเห็นเพื่อน ๆ หลายคนซุบซิบนินทา ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาพูดเรื่องอะไรกันแต่ที่รู้ ๆ เห็นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเราโดยตรงเพราะพวกนั้นมองมาทางนี้...
ฉันขึ้นเรียนวิชาสังคม เพื่อน ๆ ก็มองราวกับเป็นตัวประหลาด ครั้นจะคุยกับใครก็ไม่มีใครเขาพูดด้วย เราจะทำไงดีนะ...
"นางสาวแววดาว เมธาธิพญา ไปพบครูที่ห้องหน่อย"
อาจารย์นารีรัตน์เรียกฉันไปคุยที่ห้องพักครูเป็นการส่วนตัว ฉันเดินตามอาจารย์ไปติด ๆ จนมาถึงห้องพักครูที่อยู่ชั้น 3 ของตึก ในห้องมีอาจารย์หลายคนนั่งอยู่คล้าย ๆ กับรอพูดกับเราเพราะสีหน้าและแววตาของอาจารย์จ้องมองมาทางฉันคนเดียว
"เธอก็ดูเรียบร้อยดีนะ หน้าตาก็สะสวยถามจริง ๆ เถอะทำไมเธอถึงใจเร็วด่วนได้ขนาดนี้"
"อะไรกันคะอาจารย์"
ฉันถามแบบงง ๆ เพราะจู่ ๆ ก็ถูกเรียกมาต่อว่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้
"ยังมาตีหน้าซื่ออีกนี่ท่าฝ่ายปกครองรู้เธอโดนไล่ออกแน่ ๆ ครูขอเตือนเธอด้วยความหวังดีนะเลิกพฤติกรรมนี้ได้แล้ว"
"อาจารย์คะ นี่มันอะไรคะหนูไม่รู้เรื่องค่ะ"
"พอกันทีเธอนี่มันหน้าทนจริง ๆ ไป...ไปเรียนได้แล้ว"
ฉันรู้สึกงงมาก ๆ ที่จู่ ๆ ก็โดนว่าโดยไม่มีสาเหตุ ฉันได้แต่คิด คิด คิดแล้วก็คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นฉันถึงได้ถูกว่าเสีย ๆ หาย ๆ อย่างนี้ ฉันไม่เข้าใจเลย เพื่อน ๆ ก็ไม่มีใครคุยกับฉัน ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนในห้องเลย พอเข้ากลุ่มก็ไม่มีใครเขาอยากให้อยู่ด้วย จะทำรายงานก็ต้องทำคนเดียว ทุกคนเป็นอะไรไปกันหมด วันนี้รู้สึกว่าเรียนไม่รู้เรื่องเลย...
พอพักเที่ยงฉันเดินออกมากินข้าวคนเดียวพอกินเสร็จก็เดินไปห้องสมุดแต่ทางตรงนั้นมันผ่านห้องพักครูพอฉันเจออาจารย์ทองซึ่งเป็นโฮมรูมของฉันแกก็เรียกไปพบ
"มาแล้วเหรอแววดาว...เธอรู้ไหมว่าเธอทำผิดร้ายแรงมากโทษของเธอมันถึงกับโดนไล่ออกเชียวนะ แต่นี่ครูไม่ได้บอกฝ่ายปกครองไม่งั้นเธอโดนแน่ ๆ"
"ถามจริง ๆ เถอะค่ะหนูทำอะไรผิดเหรอคะอาจารย์ถึงได้มาพูดแบบนี้ นี่มันไม่ใช่แค่อาจารย์คนเดียวนะคะ นี่อาจารย์ถึง 5 คนแล้วที่เรียกหนูไปว่าแบบนี้"
"ก็เธอท้องไม่มีพ่อให้แม่พาไปทำแท้งถึง 3 เดือนไง นี่ถ้าหัวหน้าห้องเธอไม่มาบอกนี่ครูไม่รู้นะเนี่ย...เห็นหน้าซื่อ ๆ ท่าทางเรียบร้อยไม่น่าเลยจริง ๆ"
"อาจารย์อย่ามาพูดแบบนี้นะหนูไม่ชอบ...!!!! จู่ ๆ มากล่าวหาแบบนี้ได้ยังไงหนูไม่ได้ทำอะไรเสียหายเลยแต่อาจารย์มาพูดแบบนี้ได้ยังไง"
ฉันโมโหจัดเลยพูดเสียงดังมากจนอาจารย์หลายคนที่อยู่ห้องติดกันวิ่งออกมาดู
"อ๋อนี่น่ะเหรอเด็กที่เขาลือกัน อ๋อ...."
"ไหน ๆ อ๋อ...."
อาจารย์หลายคนมามุงดูฉันกันใหญ่ ฉันรู้สึกทั้งโกรธและแค้นมากจึงพูดแรง ๆ ออกมา
"ขอโทษนะคะอาจารย์หนูจะฟ้องแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทกับอาจารย์ทุกคนเพราะหนูไม่ผิด หนูไปแข่งกีฬามาเพื่อประเทศแต่ผลที่ได้มันเป็นแบบนี้น่ะเหรอ หนูไม่ยอมหรอก และกรรมใดที่ให้ร้ายหนู หนูขอให้มันคืนสนองอาจารย์ภายในวันสองวันนี้อย่าให้ชีวิตครอบครัวของอาจารย์ทุกคนที่กล่าวร้ายหนูมีอันได้อยู่สุขเลย สาธุ......!!!!!"
ฉันออกมาจากห้องพักครูและเดินวกกลับไปหน้าประตูโรงเรียนทันที แต่ยามไม่ยอมให้ออกฉันจึงต้องปีนรั้วโรงเรียนทั้ง ๆ ที่ใส่กระโปรง รั้วเกี่ยวกระโปรงจนตกลงมาแต่ก็ไม่ย่อท้อ ฉันคิดอยู่เพียงว่าฉันไม่ผิดและไม่ยอมให้ใครมาดูถูกฉันได้ จากนั้นก็ตรงลี่ไปที่โรงพักที่อยู่ระแวกนั้นทันที ฉันแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทกับอาจารย์ทอง อาจารย์นารีรัตน์ อาจารย์พรชุมา อาจารย์เสงี่ยม อาจารย์บังอร อาจารย์กาญจนาและอาจารย์รามด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างโกรธ ตำรวจถามวกไปวนมาแต่ฉันก็ยังพูดคำเดิมว่าอาจารย์พวกนี้หาว่าฉันท้องไม่มีพ่อให้แม่พาไปทำแท้ง ตำรวจจึงเรียกอาจารย์ทั้งหมดมา จากนั้นก็เรียกผู้ปกครองของฉันมาที่โรงพัก...
เรื่องมันจึงบานปลายตอนที่ย่าฉันมา ย่าไม่ยอมความง่าย ๆ เพราะอาจารย์พวกนี้ทำให้ฉันเสียเกียรติมาก ๆ และก็เกิดทะเลาะกันบนโรงพัก ย่าเรียกเงินถึงหัวละ 2 แสนบาทเพื่อที่จะได้ไม่มีเงินจ่าย ย่ากะจะให้อาจารย์พวกนี้ติดคุกหรือไม่ก็โดนย้ายไปเลย
"ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะเอาเงินมาจากไหนได้ แต่คุณต้องชดใช้..."
"แน่จริงก็ไปหาหลักฐานมาพิสูจน์สิว่าเด็กไม่ได้ไปทำแท้งมา"
"เออ...ใช่ ๆ ๆ"
เสียงอาจารย์วิพากวิจารณ์บนโรงพัก เสียงทะเลาะกันทำให้ตำรวจต้องมาไก่เกี่ยหลายครั้ง
"ได้ฉันจะไปหาหลักฐานมา ฉันจะพาหลานฉันไปตรวจ"
ย่าพูดด้วยความโมโหแล้วก็ออกจากโรงพักมา ฉันรู้สึกโกรธอาจารย์พวกนี้จริง ๆ ฉันไม่เข้าใจว่าฉันทำอะไรผิดนักหนาอาจารย์ถึงได้ใส่ร้ายฉันได้ขนาดนี้ แล้วฉันก็ไม่เข้าใจว่าเมื่อชาติปางก่อนนี้ฉันทำกรรมเวรอะไรเพื่อนที่สนิทที่สุด คนที่น่าไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดถึงได้ทำกรรมทำเวรกับฉัน สงสัยว่าชาติที่แล้วฉันจะทำบาปไว้มากหรือเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันคนเหล่านี้ถึงได้มาจองเวรกับฉัน...
ย่าพาฉันมาหาหมอ หมอเรียกให้เข้าไปตรวจแต่ฉันกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะฉันคิดอยู่ว่าฉันเป็นสาวแล้วยังไม่มีสามีจู่ ๆ ก็ต้องมาเปิดอะไรต่อมิอะไรให้หมอดูมันน่าอายจริง ๆ ฉันกลัว... กลัวจนแข้งขามันสั่นไปหมด หมอเรียกให้ขึ้นขาหยั่งแต่ฉันทำท่าสั่น ๆ แล้วก็ไม่ยอมขึ้น หมอจึงเรียกไปนั่งคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันจึงเล่าเรื่องการแข่งกีฬาที่ฟิลิปปินล์ให้หมอฟัง... แล้วก็ลงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าฉันไม่มีรอยฉีกขาดแต่ประการใด ย่าจึงเอาผลการตรวจไปให้ตำรวจ ตำรวจจึงยื่นฟ้องต่อศาลเรียกร้องค่าเสียหายที่ทำให้ฉันต้องเสียชื่อเสียงและเสียเกียรติทำให้ต้องอายแก่สังคมจากอาจารย์ทั้ง 7 คน
..........................................
ฉันรู้สึกเคว้งคว้างมากเลย ไม่มีใครในห้องยอมคบฉัน ไม่มีใครพูดกับฉันแม้แต่คนเดียว ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสะสาร เขาถึงบอกว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากอย่างไรเล่า...
ฉันมาซ้อมยูโดเหมือนเคย แต่วันนี้ฉันมาเร็วเป็นพิเศษเพราะฉันโดดเรียน ฉันไม่มีกำลังใจที่จะเรียนอีกต่อไปแล้ว ฉันเบื่อหน่ายมาก ๆ กับการที่เป็นสะสารในห้องเรียนโดยที่ไม่มีใครพูดด้วย ทำงานกลุ่มก็ไม่มีใครให้เข้าร่วมกลุ่ม ฉันทั้งเซ็งทั้งเบื่อ พอมาถึงสมาคมฯฉันจึงมานั่งที่ใต้ต้นไทรที่เดิมอีกครั้ง ฉันคิดถึงวันเก่า ๆ พี่นัทคนที่เคยปลอบโยนฉันวันนี้ก็ไม่เป็นเหมือนวันเก่าแล้ว พี่ดอนคนที่เคยช่วยให้คำปรึกษาเวลาท้อแท้แต่วันนี้ก็ไม่มีวันแบบนั้นอีกแล้ว ฉันโหยหาคนมาดูแลหัวใจเหลือเกิน...
"อาจารย์...ทำอะไรอยู่เหรอ นั่งทำมิวสิคหรือไง...!!!!"
เสียงที่ฉันได้ยินมันออกจะไม่คุ้นหูมากนัก ฉันจึงค่อย ๆหันไปมองหน้าคนพูดช้า ๆ ฉันเห็นพี่เบลวมายืนอยู่ที่ข้างหลัง ฉันถึงกลับร้องไห้ทีเดียว ฉันแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็นเสียแล้ว ฉันไม่รู้สึกเลยว่าฉันอายแต่ตอนนั้นฉันรู้สึกเพียงว่าฉันเสียใจ ไม่มีใครอยากจะคุยกับฉันเลยนอกจากคนที่นี่ ฉันอัดอั้นตันใจเหลือเกินพอได้ร้องออกมาก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
"มีเรื่องอะไรเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมอาจารย์"
ฉันจึงเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การที่ฉันคบกับพี่นัทจนมาถึงเรื่องของอาจารย์ที่โรงเรียนในปัจจุบันนี้ให้ฟัง
"อ่ะ...ซับน้ำตาซะแล้วก็ร้องออกมาให้หมดอย่าเก็บไว้คนเดียวเดี๋ยวจะเครียดไปกันใหญ่"
ยามที่ฉันรู้สึกท้อแท้ก็มักจะมีใครสักคนมาปลอบใจ คราวนี้ก็เป็นเช่นกัน พี่เบลวมานั่งปลอบใจฉัน แต่ครั้งนี้คนที่ปลอบใจคิดกับฉันเพียงพี่กับน้องเท่านั้น... พี่เบลวนั่งห่างจากฉันถึงเมตรแล้วก็คุยกับฉันจนฉันรู้สึกว่าฉันสบายใจขึ้นมาก ที่จริงฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่เบลวจะปลอบใจคนเป็นเพราะปกติแล้วพี่เขาไม่ค่อยได้พูด ราวกับคนเป็นไบ้ทีเดียว
"ใกล้เวลาซ้อมแล้วนะอาจารย์ อาจารย์ต้องไปสอนอาจารย์ต้องทำหน้าที่แล้วละ อย่าให้เสียเรื่องเลย ตั้งใจเรียนนะอาจารย์ถึงแม้ว่าใครจะไม่สนใจไม่พูดกับเรา แต่ก็ขอให้อาจารย์เข้มแข็งและตั้งใจเรียนอย่าโดดเรียนอีกเพราะอาจารย์จะเรียนไม่จบ อาจารย์อย่าละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง ต้องทำตัวเป็นลูกที่ดี เพื่อตัวเองและครอบครัวอย่าโดดเรียนอย่าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง"
ฉันรู้สึกซึ้งใจพี่เบลวเหลือเกิน แต่ถ้าหากมันทนไม่ไหวจริง ๆ ฉันก็คงต้องทำแบบนี้อีกแน่ ๆ ฉันไม่รู้ว่าจะหาทางออกยังไงดี ปากก็พูดได้ว่าจะต้องทำได้แต่พอเอาเข้าจริงมันคงไม่ไหว ฉันจะทนอยู่และเรียนกับคนพวกนั้นได้นานแค่ไหนกันในเมื่อเหมี่ยวคอยยั่วยุอยู่ตลอดเวลา...
"ไปอาจารย์....!!!!"
"ขอร้องนะพี่เบลว อย่าเรียกแบบนี้อีกนะ ขอร้องละเรียกชื่อก็พอแล้ว"
ฉันปาดหยาดน้ำตาจนเหือดแห้งออกจากใบหน้าแล้วก็ไปแต่งตัวเตรียมที่จะไปสอนและไปซ้อม... ยังไง ๆ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างแต่ฉันก็ยังรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ดี ฉันไม่รู้จะหาทางออกได้ที่ไหน ไม่รู้ว่าจะมีใครยอมรับฟังความไม่สบายใจของฉันบ้าง ฉันรู้สึกท้อแท้เหลือเกิน
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...
เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนคนนี้ด้วยนะคะ...