ทุกๆเช้า... ที่ผมออกจากบ้าน (บ้านผมอยู่ชานเมือง) ผมเฝ้ามองวิถีชนที่เคลื่อนไปตามครรลองของสังคม เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงที่กลายเป็นความปกติ ---ที่ชีวิตอันเรียกว่ามนุษย์ เมื่อเกิด เติบโต จนยามถึงวัยดิ้นรน ต่างคนต่างกระทำชีวิตแห่งตนไปในหนทางแห่งความแปลกแยกแห่งวิถีธรรมชาติ--- วิถี... ที่ตนถือกำเนิดมา ผมจะหลับตา... พยายามหลอกตัวเองว่าที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่ความจริงที่ปรากฏ ในตัวเมือง... ผมมองเห็นความวุ่นวายสับสน การแข่งขัน ยื้อแย่ง เอาเปรียบซึ่งกันและกัน น้ำใจเจือจาง แต่น้ำเงินฟูเฟื่อง ผมหลับตาอีกครั้ง... ที่ป้ายรถประจำทาง สายแดดยามสายแผ่ลงมาต้องกายผม ผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนยกนู่นยกนี่ขึ้นบังแดด แฟ้มเอกสารบ้าง ร่มบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง เพื่อปกป้องเนื้อนวลแห่งตนจากธรรมชาติ... แล้วผมเคยได้ยินมาจากไหนว่าธรรมชาติไม่ทำร้ายเราหรอก... คราหนึ่ง... ผมมองเห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง... สีขาวนวล บริสุทธิ์ น่าเสียดายที่ความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ของผมนั้นน้อยนิด น้อยเกินกว่าจะกล่าวบอกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ว่าดอกไม้นั้นเรียกว่าดอกอะไร หากแต่ผมคงคิดผิด... เพราะถึงผมจะรอบรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ถึงระดับกูรู หรือระดับแฟนพันธุ์แท้ ก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีใครสนใจเจ้าดอกไม้นั้นเลย ผมเฝ้ามองความเคลื่อนไหวที่เคลื่อนผ่านความนิ่งอันขาวนวล ยลแลเนื้อขาวที่ค่อยเหี่ยวแห้งลงๆ เรื่อยๆ ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าเจ้าดอกไม้นั้นกำลังทอดอาลัยให้แก่ความเปลี่ยวดาย เจ้าอาจจะเหงา เจ้าอาจจะว้าเหว่ ก็แน่ล่ะ... นี่มันสมัยไหนแล้ว สมัยนี้เรียกว่าสมัยแห่งการลืมรากเหง้า มนุษย์เดินดินเขาไม่รู้หรอกว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของเขานั้นมาจากไหน หนำซ้ำเขายังทำลายรากเหง้าของตัวเองเพื่อประโยชน์แห่งตัวเองอีกด้วย เพราะฉะนั้น พวกเขาจะไม่มีวันมาเสียเวลาพิศมองความไร้สาระอย่างเจ้าหรอก จริงอยู่ที่เจ้างาม แต่ความงามของเจ้าในนิยามของเขานั้นคือความงามที่ฉาบฉวย ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แล้วอะไรคือความงามที่จริงแท้? นั่นอย่างไร... เสื้อผ้า เครื่องประดับ แฟชั่น รถยนต์ รสนิยมอันโก้หรู และ ฯลฯ และเหนืออื่นใด คือ สิ่งสมมุติที่เรียกว่า เงิน นั่นแหละคือความงามที่จีรังยั่งยืน ครานั้น...เจ้าดอกไม้ ได้ยินน้ำคำกล้ำทนฝืน รันทดใจในตนที่หยัดยืน จึงทอดกายลงสู่พื้น ...ระทมใจ ครานั้น... ผมถูกดึงออกจากภวังค์แห่งการครุ่นคิดด้วยน้ำเสียงจากรถประจำทางที่เรียกร้องขอเข้าป้าย ด้วยถูกกีดขวางจากรถตู้คันหนึ่งที่ยึดครองป้ายมาเนิ่นนาน ตามบทบัญญัติแห่งรถตู้ ว่า...คนไม่เต็มกูไม่ไป ผมละสายตาที่มองไปสู่การแก่งแย่งนั้น กลับมาสู่ดอกไม้ผู้หม่นหมอง อนิจจา... ณ ที่นั้นไม่มีดอกไม้อยู่อีก สายลมพาพัดเจ้าไปแล้วหรือไร หรือเจ้าถูกความน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีใครเหลียวแล กดซ้ำทับเจ้าลงสู่ผืนดินแห่งโลก หรือว่าผมคิดดังเกินไป จนเจ้าดอกไม้เห็นความจริง และไม่อาจระงับความเศร้าโศกได้ จึงตัดสินใจอัตวินิบากกรรมตัวเองจากโลกนี้ไปเสีย หรืออย่างไร? ผมไม่รู้ ผมลุกขึ้น ก้าวเดินออกไป... กลับบ้าน การฆ่าตัวตายแห่งดอกไม้ยังคงตาตรึงอยู่ในห้วงความคิดของผม บนรถประจำทาง... ผมเฝ้ามองวิถีชนที่เคลื่อนไปตามครรลองของสังคม เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงที่กลายเป็นความปกติ พลางคิดว่า... พรุ่งนี้ผมจะมีโอกาสได้เห็นดอกไม้อีกไหม?
27 สิงหาคม 2547 07:45 น. - comment id 76399
..เขียนได้ดีมากเลยคะ.. เรน ..จะติดตามผลงาน..ของคุณ นะคะ.. ..ดอกไม้ ..กับ ความว่างเปล่า..
27 สิงหาคม 2547 08:51 น. - comment id 76402
นานๆจะได้อ่านผู้ชาย(ไม่รู้ใช่หรือเปล่า)เขียนอะไรหวานๆ เรื่อยๆ เย็นๆ ซะที ชอบค่ะ
27 สิงหาคม 2547 09:50 น. - comment id 76403
แวะมาทักทายค่ะ เขียนได้ดีนะคะ
27 สิงหาคม 2547 11:35 น. - comment id 76404
เคยมองเงาคนพลุกพล่านบนสะพานลอย โดยมีฉากหลังคือท้องฟ้าสีส้มยามสนธยา ภาพที่ปรากฏ และ ผู้ที่ทอดสายตามอง ต่างอารมณ์ของผู้แสดง .. นั่นคือวิถีที่รีบเร่ง ดูเหมือนยถากรรมเสียจริง :)
27 สิงหาคม 2547 23:42 น. - comment id 76416
ขอขอบคุณ คุณเรนจัง คุณป้านาย คุณลอยไปในสายลม และคุณอัลมิตรา มากครับ สำหรับกำลังใจที่มีให้ ขอบคุณครับ