เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 6 )

สุชาดา โมรา

ตู๊ด....ตู๊ด....ตู๊ด....  เสียงนาฬิกาปลุกดังแต่เช้า  ฉันกดนาฬิกาแล้วนอนหลับต่อ  จนกระทั่งฉันผวาตื่นขึ้นมา
	"เฮ้ย...!!!วันนี้ต้องไปคัดสายที่กรุงเทพฯนี่หว่า  ตายแล้ว...!!!"
	ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวทันที  พ่อฉันมาส่งที่ บ.ข.ส. แต่ฉันมาไม่ทันเพื่อน ๆ และพี่ ๆ  ฉันจึงโทรไปหาพี่ดอน
	"ฮัลโหล  พี่ดอนเหรอคะ  อยู่ไหนคะ  หา...ค่ะ ๆ ๆ เดี๋ยวจะตามไปนะคะ  พี่นั่งรถ ป.2 เหรอเดี๋ยวดาวไป ป.1  งั้นเจอกันที่อนุเสาวรีย์ชัยนะคะ"
	"พ่อคะไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ  เดี๋ยวหนูไปเองได้สบายมาก  แค่จรัญสนิทวงศ์เอง...ไปนะคะ"
	พ่อยิ้มแล้วก็ขับรถกลับไป  ฉันนั่งรถ ป.1ไปกรุงเทพฯ คนเดียวทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเดินทางไปกรุงเทพฯ คนเดียวซะที  เด็กต่างจังหวัดที่ไม่เคยรู้เรื่องกรุงเทพฯ เลยต้องมานั่งเหงาอยู่คนเดียวบนรถ  มองไปทางไหนก็รู้สึกว่ามีแต่คนแปลกหน้า...  ฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดายหาที่พึ่งไม่ได้เลย  ฉันนั่งมาเรื่อย ๆ มองไปข้างทางจนรถจอกที่ป้ายหินกองเพื่อรอเวลา
	"ขอโทษนะคะ  ขอโทษนะคะ..."
	เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเหลือเกินดังขึ้น  และดังอยู่เรื่อย ๆ จนใกล้เข้ามาถึงฉัน  ฉันจึงเหลือบไปมองผู้หญิงคนนั้น
	"ย่า...!!!!"
	ฉันตกใจมาก  ย่ามาได้ยังไงกันเนี่ย!!!
	"ดาว...แกมาคนเดียวได้ยังไงรู้ไหมย่าเป็นห่วง  พ่อแกก็เหมือนกันปล่อยแกมาได้ไง  เดี๋ยวก็ถูกหลอกไปขาย  เฮ้อ...!!!"
	ย่าตามฉันมาด้วยความเป็นห่วง  ย่ายืนบ่นอยู่นานจนผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ฉันลุกขึ้นให้ย่านั่ง  ย่าก็บ่น ๆๆๆๆๆ จนฉันหูชาทีเดียว  ไม่เพียงบ่นแต่ฉันยังหันไปบ่นให้คนอื่นฟังอีก  ทำให้กระเป๋ารถถึงกับหัวเราะออกมาทีเดียว...จากที่นั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียวบนรถ  ก็เหมือนกับฟ้าสั่งให้ย่าตามฉันมาด้วยทำให้ฉันไม่เหงาและเดินทางอย่างไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
	"พอย่ารู้ว่าพ่อแกให้แกมาคนเดียวย่าก็เลยสั่งให้ขับรถตามมา  โชคดีนะพ่อแกมันช่างสังเกตจำทะเบียนรถได้เลยขับตามมาทันพอดี  ไม่งั้นย่าต้องช็อกตายแน่ ๆ เพราะย่าก็มีหลานสาวอยู่แค่คนเดียวย่าก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา  ส่วนแม่แกน่ะเหรอไปส่งตาแกที่สุราษฎร์ยังมาไม่ถึงเลย  ถ้ารู้นะว่าแกมาคนเดียวสงสัยแกจะโดนหยิกแขนเขียวแหง ๆ ละ"
	คำพูดของย่าทำให้ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ฉันรู้สึกได้ว่าที่บ้านทุกคนเป็นห่วงฉันจริง ๆ ฉันรู้สึกอบอุ่น  ไม่เหงาไม่เดียวดายกลับมีความสุขมากที่ได้รู้จากปากย่าซึ่งบอกเป็นนัย ๆ ว่าท่านรักฉันมากกว่าใคร ๆ ฉันจึงโผกอดย่าด้วยความรัก...
	รถมาถึงสถานีหมอชิดใหม่  ฉันพาย่าเดินไปตามทางถนนคอนกรีตผ่านหน้าเซเว่นแล้วเดินไปหารถ  ข.ส.ม.ก. ทันที  แต่ว่ารถสาย 38 ออกไปแล้วคงอีกนานที่จะได้ขึ้น
	ติ๊ดตี่ตีติ๊....!!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  ฉันรับโทรศัพท์ทันที
	"ฮัลโหล...จ่ะ ๆ ๆ ๆ มาถึงแล้ว จ่ะ ๆ ๆ ๆ..."
	"ใครโทรมาเหรอดาว"
	"พี่ดอนพี่ที่เบาะน่ะแหละค่ะ  เขาเป็นห่วงกลัวจะมาไม่ทันแข่ง"
	ฉันไม่กล้าบอกหรอกว่าพี่ดอนเป็นแฟนฉัน  เพราะที่บ้านค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการคบผู้ชาย  ฉันจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนกะว่าถ้าถึงเวลาเมื่อไรแล้วจะบอกกับทุกคน  เพราะฉันต้องการความแน่ใจว่าพี่ดอนจะไม่เป็นแบบพี่นัท...  ที่จริงใจจริงลึก ๆ แล้วฉันยังอาลัยอาวรพี่นัทอยู่  เพราะถ้าให้ฉันเทียบระหว่างพี่นัทกับพี่ดอนแล้ว  พี่ดอนไม่มีอะไรเทียบได้กับพี่นัทเลยสักนิด  แต่พี่ดอนเป็นคนที่จริงใจและมั่นคงจึงทำให้ฉันคบกับพี่ดอนได้...
	"ดาวสายแล้ว  ไปคันนี้ก็ได้ผ่านอนุเสาวรีย์เหมือนกัน"
	"แต่หนูว่าไปแท็กซี่ดีกว่าเพราะมันเร็วดี"
	ฉันพาย่าเดินมาขึ้นรถแท็กซี่
	"ไปไหนครับ"
	"ซอยจรัญสนิทวงศ์  โรงเรียนบูรณวิทย์"
	ฉันนั่งรถมาเรื่อย ๆ คนขับก็คุยกับย่ามาตลอด  ย่าก็เล่าเรื่องของฉันให้ฟัง  คนขับรถหัวเราะไม่หยุดทีเดียว  ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ เหมือนกลายเป็นตัวตลกในสายตาพวกคนกรุง!  ที่จริงย่าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอกแต่ท่านพูดไปตามประสาคนแก่ขี้บ่นนิด ๆ ละ
	"อ้าวทำไมไม่เลี้ยวขวาเข้าซอยจรัญล่ะ  ทำไมเลี้ยวมาทางนี้  จอด ๆ ๆ ๆเดี๋ยวนี้นะ"
	ฉันร้องตะโกนลั่นรถ  คนขับแท็กซี่จอดรถจนหน้าทิ่ม
	"ก็น้องบอกว่าไปโรงเรียนบวรวิทย์ไม่ใช่เหรอ"
	"ไม่ใช่  บอกว่าไปบูรณวิทย์...เห็นเป็นคนบ้านนอกแล้วไม่รู้เรื่องในกรุงเทพฯ หรือไง  มักง่ายที่สุด  ฉันจะลงแล้ว  จะไปขึ้นคันอื่น"
	ฉันพูดด้วยความโมโห  เลือดในตัวสูบฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว  ดวงตาฉันจับจ้องไปที่คนขับแท็กซี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว
	"ใจเย็น ๆ ลูก"
	ย่าเตือนฉัน
	"นั่งคันนี้ก็ได้  แต่ต้องปรับมิเตอร์ใหม่ก่อนเพราะฉันรู้ว่าถนนสายนี้ต้องกลับไปที่สะพานพระปิ่นเกล้าก่อนถึงจะมาได้"
	คนขับรถขอโทษขอโพยแล้วก็เก็บเงินในมิเตอร์ตอนแรกก่อนแล้วสัญญาว่าจะพาไปส่งที่โรงเรียนนั้น  และจะไม่เก็บเงินส่วนที่เหลือนี้ ...คนขับแท็กซี่พามาจอดที่ในโรงเรียน  ฉันเจอหน้าเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ฉันถึงกับโผกอดพี่ขวัญทันที
	"นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว...กินข้าวมาหรือยัง...ไปกรอกใบสมัครก่อนไหม"
	ฉันรีบจนลืมแนะนำย่ากับพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ เลย...ฉันกรอกใบสมัครและชั่งน้ำหนักทันที  น้ำหนักของฉันลดไปอีก 2 กิโล  ฉันแข่งในรุ่นเล็กลงไปอีก...  ฉันเริ่มหิวก็เลยไปทานข้าวแถว ๆ นั้นซึ่งเป็นร้านประจำที่เรามาทานกันบ่อย ๆ
	"นี่...ทุกคนนี่ย่าของดาวเอง"
	ทุกคนสวัสดีย่า  แต่พี่ดอนเริ่มเข้ามาตีสนิทย่าจนฉันดูออกว่าย่ารำคาญพี่ดอนมาก ๆ  ฉันจึงต้องสะกิดเตือนอยู่บ่อย ๆ แต่พี่ดอนก็ไม่รู้ตัวหรอกยังคิดว่าฉันแอบแตะอั๋งเสียอีก...เมื่อหนักเข้าย่าก็เริ่มยิ้มแบบชักสีหน้า  ฉันรู้ทันทีว่าย่าโกรธ  ฉันจึงต้องออกปากพูดเองก่อนที่ย่าจะระเบิดออกมา
	"พี่ดอน  ว่างนักเหรอไปนั่งที่ของตัวเองแล้วทานข้าวซะ...!!!"
	พี่ดอนทำท่าเหมือนไม่พอใจมาก ๆ ทำจมูกฟุตฟิต  ตาแดงจนฉันสงสาร  แต่ฉันก็ต้องวางตัวเฉย ๆ เพราะฉันกลัวว่าย่าจะไม่พอใจไปมากกว่านี้...  ปกติแล้วย่าไม่ค่อยชอบใครง่าย ๆ แต่คราวนี้ย่ากลับชอบพี่ตูนซึ่งเป็นคนพูดมากเพ้อเจ้อเสียนี่  ก็ตลกดีเหมือนกันนะ
	"เฮ้ย...!!!ดอนกูตีตื้นเว้ย...อาม่าชอบกูเว้ย...มึง...แฮ้ว!!!"
	ทุกคนเมื่อได้ยินพี่ตูนพูดก็ขำกันไปหมด  แต่พี่ดอนทำสีหน้าไม่ค่อยดีเลย  ทำตาแดงราวกับจะร้องไห้  ฉันเห็นแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้...พี่ดอนไม่ยอมพูดกับใคร  เก็บตัวเงียบจนกระทั่งแข่งคัดสาย
	กรรมการเรียกชื่อ  ฉันไปรายงานตัว
	"ฮาจิเมะ...!!"
	ฉันเดินเข้าไปกระชากคอเสื้ออย่างรวดเร็ว  และจับทุ่มทันทีด้วยท่าฮิปโป้ง-เซโออินาเงะ
	"ฮิปโป้ง...!!!"
	กรรมการบอกว่าฉันชนะ  ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็ยืนรอคนต่อไป  ฉันคิดว่าทำไมมันง่ายแบบนี้  มันเร็วเกินไปที่ฉันจะชนะ...แต่ก็เอาเถอะ  ชนะก็ชนะ...
	"ฮาจิเมะ....!!!"
	กรรมการสั่งให้เริ่มต้น  ฉันมองดูการสืบเท้าของคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ธรรมดาเลย  ลักษณะดูแก่วิชา  แต่ฉันก็เข้าไปกระชากเสื้อจนได้และปัดขาทั้งสองข้างลอยแล้วกระทบลงพื้น...ปัก...
	"ยูโก..."
	ฉันได้คะแนนมา 1 ยูโก  ฉันต้องทำให้ได้อีกเพื่อที่คู่ต่อสู้จะได้ตามมาไม่ทัน  ฉันกระชากคอเสื้ออีกแล้วตามด้วยการทุ่มแต่ฉันเข้าทุ่มไม่ได้  คู่ต่อสู้หักแขนฉัน  ฉันจึงถอยหลังออกมาแล้วกระชากคอเสื้อทันที  จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะทุ่มแต่เกี่ยวขาในท่าไท-โอ-โทชิทันทีและตามไปล็อกด้วยท่าเกซ่า-กาตาเมะ  แต่ล็อกด้วยข้างที่ถนัดที่สุดคือข้างซ้ายทันทั
	"โคก้า...!!!"
	ฉันได้อีก 1 โคกา  ทีนี้ก็เหลือแต่เวลาเท่านั้นที่ฉันจะชนะ  คู่ต่อสู้ดิ้นรนจนฉันเกือบยั้งไม่อยู่  แต่ฉันก็กดไว้ได้เพราะท่านี้ไม่มีใครเคยแก้ล็อกในข้างซ้ายสักที  เพราะไม่มีใครเคยสอนให้ล็อกฝั่งซ้ายนั่นเอง
	"วาซารี้-วาซาเตะ-อิปโป้ง...!!!!"
	ฉันชนะมาอย่างขาวสะอาด  แล้วก็ยืนรอคู่ต่อสู้คนต่อไป...  คู่ต่อสู้คนนี้ท่าทางเหยาะแยะไม่รู้ว่าผ่านการคัดสายเขียวมาได้ยังไงกัน...
	"ฮาจิเมะ...!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันเข้าท่าทุ่มทันที  แต่โดนดัดหลังหงายท้อง  โชคดีที่พลิกตัวกลับทันไม่งั้นหลังโดนพื้นจะต้องแพ้แน่ ๆ ฉันจึงหักแขนและบิดตัวคู่ต่อสู้ให้หงายท้อง  แต่เสื้อและสายรัดเอวหลุดซะก่อน  กรรมการจึงสั่งห้ามและเอามือประสานไว้ที่หน้าขาเป็นสัญลักษณ์การแต่งตัว  ทำให้ฉันคิดถึงการต่อสู้เกมส์ต่อไปได้ว่าจะชนะได้อย่างไร...
	"ฮาจิเมะ...!!"
	กรรมการสั่งให้เริ่มต้นอีกครั้ง  ฉันจึงดัมดะตะ  หรือการประชิดคู่ต่อสู้แล้วจึงใช้ท่าชั้นสูงพิชิดคู่ต่อสู้ทันทีด้วยท่าฮาเน  มากิโคมิ  ทำให้เป็นที่ฮือฮาของวงการยูโด
	"อิปโป้ง...!!!"
	กรรมการเรียกฉันไปถามข้างสนาม
	"ไปฝึกท่านี้มาจากไหน  รู้ไหมว่านี่มันท่าชั้นสูง  ระดับสายดำเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ใช้"
	"ฝึกเองค่ะ  จำมาจากการ์ตูน"
	กรรมการข้างสนามถึงกับอึ้งพูดไม่ออก  ท้าให้ฉันสู้กับอาจารย์สายดำในขณะนั้น  ถ้าฉันสู้ได้จะยอมให้ใช้ท่าชั้นสูงและยกสายฟ้าให้อย่างขาวสะอาด  ฉันจึงยอมตกลง  แต่มีข้อแม้ว่าเวลายังกำหนดเหมือนเดิม  ไม่ใช่กติกาแบบสายดำ
	ฉันรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเมื่อรู้ว่าต้องมาแข่งกับชั้นครู...  ฉันกลัวมาก ๆ ฉันคิดว่าคงสู้ไม่ได้หรอก  ฉันขออนุญาติกรรมการเดินไปขอกำลังใจจากย่าทันที  นักข่าวก็เข้ามาถ่ายรูปกันอย่างคับคั่งทำให้ฉันรู้สึกหวั่นใจกอดย่าทันที  ย่าคงรู้ว่าฉันกลัวแต่ย่าก็บอกให้ฉันเข้มแข็งและสู้
	"อย่ากลัวในสิ่งที่ตัวเองคิดสิ...ใช้วิญญาณของยูโด  ใช้วิญญาณของลูกทหารแล้วจัดการคู่ต่อสู้  อย่าไปกลัว  เราต้องแกร่ง  เข้มแข็งอดทน  อย่ายอมแพ้อะไรง่าย ๆ นะแววดาว  เป็นหลานย่าต้องมั่นใจในสิ่งที่คิดว่ามันถูกต้อง"
	คำพูดของย่าทำให้ฉันมีกำลังใจมากขึ้น  ฉันจึงหอมแก้มย่าแล้วเดินขึ้นสังเวียนของนักสู้ทันที  ฉันจ้องมองหน้าผู้หญิงสายดำอย่างมั่นใจ  ถึงแม้ว่าฉันจะกลัวฉันก็จะสู้...!!!
	"ฮาจิเมะ...!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น
	"เอี้ย..........!!!!"
	ผู้หญิงสายดำส่งเสียงร้องข่มฉันอย่างน่ากลัว  แต่ฉันได้พรวิเศษของย่ามาแล้ว  ถึงแม้ว่าจะแพ้หรือชนะถ้าฉันเต็มที่กับมันฉันก็ถือว่าฉันชนะความกลัวได้แล้วละ
	ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้อทันทีแล้วเข้าไปทำท่าเหมือนจะทุ่มแต่หมุนออกมาเกี่ยวในท่าโอชิคาริ  ลิชิการิ  ทันที...ผูหญิงสายดำล้มลงไปก้นกระแทกกับพื้น
	"โคกา....!!!"
	ฉันได้คะแนน 1 โคกาทันที  ทำให้เป็นที่ฮือฮาแก่คนอื่น ๆ  จากนั้นฉันก็ตรงเข้าไปในขณะที่ผู้หญิงสายดำคนนี้กำลังลุกขึ้น  ฉันจึงใส่ต่อด้วยท่าโทโมอิ-นากิอีกครั้งแต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย  พลิกตัวได้ทันหลังจึงไม่กระทบกับพื้น
	"โคกา....!!!"
	ฉันได้ 2 โคกาแล้วแต่ยังไม่ทิ้งห่าง  ฉันจึงใช้ท่าจูจิ-กาตาเมะ  หรือท่ารัดคอก่อนที่ผู้หยิงคนนี้จะลุกขึ้นได้  จากนั้นจึงกดตัวให้หงายแล้วจับล็อกด้วยท่าพื้นฐานที่สุดทันที  เกซ่า-กาตาเมะ  แต่ก็ถูกแก้ล็อกได้  ฉันเป็นฝ่ายถูกล็อกทันทีทำให้มีเสียงวิพากวิจารณ์วันใหญ่  ฉันจึงแก้ล็อกทันที  เมื่อแก้ล็อกได้ฉันก็ล็อกเขาด้วยท่าโททิ-ชิโฮ-กาตาเมะ  ทำให้คู่ต่อสู้ดิ้นไม่หลุดจนหมดเวลา
	"เมะ...!!!"
	กรรมการสั่งให้หยุด  แต่กรรมการไม่ยอมตัดสิน  กลับเดินเข้าไปหากรรมการที่ข้างสนาม  กรรมการทั้งหมด 3 คนจึงมาประชุมกัน  จากนั้นกรรมการคนนั้นก็กลับมาให้คะแนนการตัดสินทันที
	"ไฮกิ-วากิ...!!!"
	สร้างความฮือฮาเข้าไปใหญ่  ทั้ง ๆ ที่ฉันชนะอย่างเห็นได้ชัด  ไม่ว่าจะเป็นคะแนนที่บอร์ดหรือแม้แต่เวลาฉันก็ทำได้ก่อนหมดเวลา  แต่ทำไมถึงให้ฉันเสมอได้  ฉันจึงรู้สึกแค้นใจที่กรรมการตัดสินแบบนี้
	"ทำอย่างนี้ได้ไง...!!!...ทุกคนก็เห็นอยู่ว่าฉันชนะ  คนเราต้องมีสัจจะสิ  ถ้ามีคนแบบนี้อยู่อีก  ชาตินี้ประเทศคงไม่เจริญหรอก"
	"เฮ.................!!!!!!!"
	เสียงผู้คนเฮ...เพราะเห็นด้วยกรรมการจึงหน้าเสีย  แต่การตัดสินก็คือการตัดสินไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนแปลงได้  จนกระทั่งผู้คนลุกฮือกัน  นักข่าวก็เข้ามาถ่ายถึงสังเวียนทำให้สร้างความหนักใจแก่กรรมการมาก  กรรมการจึงประชุมกันอีกครั้งที่ข้าง ๆ เบาะ  เวลาผ่านไปถึง 5 นาทีกรรมการคนนั้นจึงเดินกลับมาอีกครั้งแล้วประกาศ
	"นางสาวแววดาว  เมธาธิพญา  ได้สายฟ้า ณ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป...!!!"
	แต่กรรมการก็ไม่ได้บอกให้ฉันชนะ  ทำให้นักข่าวขึ้นมาขอสัมภาษณ์กรรมการสนามทั้ง 3 คนทันที
	"ถ้าเกิดว่าผมตัวสินให้เด็กคนนี้ชนะ  มันก็จะดูน่าเกลียดสำหรับสายดำ  ทำให้ดูอ่อนแอ..."
	"คุณก็เลยหักหาญน้ำใจเด็กรุ่นหลังที่มีฝีมือดีกว่าให้แพ้อย่างนั้นเหรอ"
	"ผมไม่ได้บอกให้แพ้  ผมให้เสมอกัน"
	นักข่าวเร้าและบีบบังคับกรรมการจนเป็นเรื่องใหญ่  จนทำให้เกิดการสัมภาษณ์สดขึ้นมา  ฉันได้ออกทีวีเป็นครั้งแรกเพราะเรื่องการตัดสินเฮงซวยของกรรมการนักเรียนคนนี้เนี่ยแหละ...  นักข่าวมาสัมภาษณ์ฉันในเรื่องนี้เหมือนกัน
	"ถ้ากรรมการว่าอย่างไรเราคงจะไปเถียงไม่ได้หรอกค่ะ...เรามันแค่เด็กส่วนเขามันพวกเดียวกันจะให้ทำยังไงได้"
	ฉันตอบแบบไม่คิดอะไร  แต่ก็มีคนหลายคนที่เห็นด้วยกับฉัน
	เมื่อถึงเวลาฉันจึงเดินทางกลับลพบุรีทันที  นักข่าวขอที่อยู่ฉัน  ฉันก็ให้ไป...  
	วันนี้ฉันจึงตกเป็นข่าวดังของทุกช่อง  และได้ลงหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่พาดหัวข่าวได้แรงจนต้องมีการออกมาแสดงความรับผิดชอบ
	"ผมขอโทษที่ตัดสินไปแบบนั้น  แต่ตอนนั้นมติที่ตกลงร่วมกันของกรรมการทั้งสามคนต้องการรักษาหน้าของสายดำเท่านั้นเอง  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น"
	"อ๋อ...!!!แล้วคุณก็ลงโทษให้เด็กต้องรู้สึกเจ็บใจถึงพูดเป็นนัยว่ากรรมการรวมหัวกัน  ไม่ยุติธรรมน่ะเหรอ  พวกคุณรู้ไหมว่าเด็กคนนั้นเป็นนักกีฬาของเขตการศึกษา 6  และยังจะเป็นตัวแทนที่ไปแข่งต่างประเทศเร็ว ๆ นี้ด้วย  เด็กคนนั้นชื่อแววดาว  เมธาธิพญานะคะท่าผู้ชมเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ของวงการยูโดจังหวัดลพบุรี  ซึ่งกำลังโด่งดังมาก  แต่ท่านผู้ชมลองคิดดูเถอะค่ะว่ามันสมควรแล้วหรือกับการกระทำของกรรมการในวันนี้  ดิฉันขอให้ประชาชนที่อยู่ทางบ้านช่วยร่วมตัดสินด้วยค่ะว่าจะเอายังไงดี
	นักข่าวสัมภาษณ์กรรมการแล้วก็หันมาหากล้องพูดคุยกับคนทางบ้าน  ฉันมีความรู้สึกว่าชอบนักข่าวคนนี้มาเลยที่ให้ความเป็นธรรมแก่ฉัน  ทำให้ฉันยิ้มออกได้ทันที  ฉันดูทีวีจนดึก...เพราะดูการวิพากวิจารณ์เรื่องของตัวเองอยู่ว่ากรรมการจะเอาอย่างไรจนจบแต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้...ฉันง่วงมากเลย  ฮ้าว...!!!  จึงเข้าห้องล้มตัวลงนอนบนเตียง  พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเลยทีเดียว  พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้าด้วยสิ...				
comments powered by Disqus
  • นิว

    5 สิงหาคม 2547 09:58 น. - comment id 75872

    มันดี
  • นิว

    5 สิงหาคม 2547 09:59 น. - comment id 75873

    มีอีกไหมจะได้ตามไปอ่านอีก
  • นิว

    5 สิงหาคม 2547 09:59 น. - comment id 75874

    สุดยอดที่สุด

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน