ตาบอด(ตอนที่1)
สุชาดา โมรา
ผู้คนมากมายเดินสวนกันผ่านหน้าผมไปหลายร้อยคนแล้ว ทุกคนดูเร่งรีบเหมือนมดงานก้มหน้าก้มตาแบกอาหารกลับรวงรังก่อนท ี่ฝนจะตก ตรงป้ายที่ผมนั่งมีผู้ร่วมชะตากรรมอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคนเห็นจ ะได้ บางคนนั่ง บางคนยืน ทุกครั้งที่มีรถเมล์วิ่งเข้ามาจอดเทียบที่ป้าย ทุกคนจะชะเง้อคอสอดส่ายสายตามองดูหมายเลขรถ ว่าจะใช่สายที่นำพวกเขาไปสู่จุดหมายปลายทางหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะเดินไปยืนรออยู่บริเวณริมฟุตบาท การเดาใจคนขับว่าจะหยุดรถรอรับ-ส่งผู้โดยสารที่ตรงไหนถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนกรุงเทพฯ เพราะนั่นหมายถึงลำดับที่คุณจะได้ก้าวขึ้นรถก่อนหรือหลัง ก่อนหมายถึงคุณมีโอกาสได้เลือกตำแหน่งที่นั่งที่ดีที่สุดก่อน หลังอาจหมายถึงคุณจะต้องยืนโหนรถเมล์ฝ่าควันพิษและการจราจรอันแ สนสาหัสไปจนถึงปลายทาง นั่นอาจใช้เวลาร่วมชั่วโมงหรือนานกว่านั้น เชื่อผมเถอะมันไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก บางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า คุณสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนกรุงเทพฯ หรืออยู่กรุงเทพฯ มานานด้วยการสังเกตพฤติกรรมการใช้รถเมล์...คุณล่ะว่าไง... ชีวิตเมืองเต็มไปด้วยการแก่งแย่ง แข่งขัน เอารัดเอาเปรียบและความเร่งรีบ บางครั้งเราก็รีบกันเสียจนหลงลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญในชีวิ ต มองข้ามสิ่งดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย...
นั่นไง มาอีกคันหนึ่งแล้ว...รถสายที่ผมรออยู่ เป็นคันที่แปดแล้วในรอบสองชั่วโมง ผมตัดสินใจไม่ไปทั้งที่จริงนี่ก็เลยเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกเพื่อนๆ คงเข้าใจ ผมยังอยากนั่งมอง นั่งคิด นั่งคุยกับตัวเองอีกสักพัก ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมได้ทำแบบนี้ คุณว่ามันแปลกไหมที่เราต่างก็รู้กันดีอยู่ว่าทุกคนต้องการบางเว ลาอยู่กับตัวเอง พูดคุยกับตัวเอง ทบทวนถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา แต่เรากลับไม่ค่อยจะทำกันนัก ผมนึกถึงเนื้อร้องท่อนหนึ่งในเพลง November Rain ที่วง Guns N Roses ร้องเอาไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว Everybody needs some time on their own - Dont you know you need some timeall alone เป็นไปได้ไหมว่า เพราะเราต่างละเลยที่จะสำรวจตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองคิด พูด และทำ เราต่างเคยชินกับการมองไปรอบตัวแล้วตัดสินประเมินค่า พิพากษาสิ่งต่างๆ แต่ลืมที่จะหันมามองดูตัวเอง พิพากษาตัวเองและกล้าพอที่จะเป็นผู้รับผิด...โลกถึงได้เป็นอย่า งเช่นทุกวันนี้
คุณอย่าเพิ่งหาว่าผมบ้านะ ปกติผมก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก แต่บังเอิญว่ามันมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ป้ายรถเมล์เมื่ อเช้านี้บางสิ่งบางอย่างมันกระทบจิตใจ ผมยังจำภาพสุดท้ายนั้นได้ติดตาและมันคงยังอยู่ติดใจผมไปอีกนาน คุณอยากรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ผมมานั่งเหม่อลอยอยู่ที่นี่เกือบส องชั่วโมงแล้ว มา...ผมจะเล่าเรื่องของไอ้ต้นให้คุณฟัง เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก เราทั้งสองสนิทกันมาก
เมื่อเช้านี้เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นจิตใจร่าเริงแจ่ มใส ออกจะเบิกบานเกินเหตุเล็กน้อยจนคนที่บ้านทักว่าทำไมอารมณ์ดีจัง เขาได้แต่ยิ้มๆ แทนคำตอบ ทั้งที่จริงเมื่อคืนเขานอนดึกมากเพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์จนเกือบ ตีสาม เขาบอกผมว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเคยคุยโทรศัพท์นานๆ อย่างนี้คือสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม แน่นอน เขาคุยกับผู้หญิง แต่ไม่ใช่คนที่เป็นแฟนเขาอยู่หรอกนะ เป็นผู้หญิงซึ่งเขาเพิ่งรู้จักในผับเมื่อเสาร์ที่แล้ว ตอนเราไปเที่ยวด้วยกัน อาจเป็นเพราะบทสนทนาทางโทรศัพท์ก็ได้ที่ทำให้เขาอารมณ์ดี วันนี้เขานัดเจอเธอที่สยามสแควร์พร้อมเพื่อนๆ อีก 2-3 คน
เขาอาบน้ำและแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เลือกเสื้อและกางเกงตัวที่ชอบที่สุดออกมาใส่ พ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดก่อนออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่เขาก้มลงใส่รองเท้าก่อนออกจากบ้าน.. .แฟนของเขานั่นเอง ทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ม.3แล้ว เธอชวนเขาไปดูหนังที่สยามสแควร์ เขาบอกเธอไปว่าวันนี้จะต้องไปทำธุระกับเพื่อนเรื่องงาน การต้องโกหกทำให้เขารู้สึกผิดเล็กน้อยแต่ก็ลืมมันไปได้อย่างรวด เร็ว เขาเดินทอดน่องสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์ ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนยังมีเวลาเหลือเฟือ อนุสาวรีย์ฯ-สยามสแควร์ใกล้แค่นี้เอง เขามั่นใจว่าจะต้องไปถึงที่นัดหมาย-ร้านมิสเตอร์โดนัทก่อนเธออย่างแน่นอน มีเวลาเข้าห้องน้ำไปใส่เยลหวีผม เสริมหล่อได้อีกตั้งสองสามรอบเพื่อให้ตัวเองดูดีที่สุด เขาอยากให้เธอประทับใจตั้งแต่นัดครั้งแรก เขาคิดอย่างนั้น
ไม่นานเขาก็เดินมาถึงป้ายรถเมล์ มีคนรอรถอยู่ก่อนหน้าเขา 7-8 คน ไม่ถือว่าเยอะแต่มากพอที่จะทำให้ที่นั่งเต็มได้ เขาเลือกยืนตรงใกล้ๆ เสาด้านซ้ายของป้ายรถเมล์ ลองชะเง้อดูรถสายที่รอแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กๆ มาจากทางซ้ายมือ เป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนเสียงโลหะกระทบกับของแข็งบางอย่าง ดังขึ้นๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงหันไปดู... ภาพที่ปรากฏต่อสายตาในระยะห่างไม่เกินสิบเมตร คือชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่ป้ายรถ ที่หัวไหล่ด้านซ้ายของทั้งคู่มีผ้าสีขาวๆ คล้องอยู่ มันผูกต่อกับกล่องไม้บางๆ ที่พวกเขาหนีบไว้ใต้วงแขน ข้างในต้องเป็นล็อตเตอรี่แน่ๆ...เขาคิดในใจ ฝ่ายหญิงยกแขนซ้ายขึ้นมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ฝ่ายชายยึดเกา ะแขนของตน ในมือขวาของผู้หญิงมีด้ามโลหะขนาดเล็ก ยาวไม่เกินสามฟุต เธอใช้มันเคาะพื้นคลำทาง นี่เองที่ส่งเสียงดังก๊อกแก๊ก...เขาคิด
ทั้งคู่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าดูทุลักทุเลพอควร ฝ่ายหญิงคอยร้องเตือนบอกฝ่ายชายให้ระมัดระวังจุดที่อาจจะเดินสะ ดุดได้ เขาพอจะได้ยิน มันช่างเป็นภาพที่งดงามและน่ารักเหลือเกินในความรู้สึกของเขามนุษย์สองคนถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แต่ละก้าวที่ย่างผ่านเต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยและเอื้ออาทรระหว่างกัน...ชั่ววินาทีนั้นเขารู้สึกเห มือนกับว่าร่างทั้งสองได้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นคนๆ เดียวกัน คล้ายมีรังสีอะไรบางอย่างส่องประกายเรืองรองออกจากร่างนั้นวูบว าบวิบไหว