ตอบแทน(ตอนที่1)

สุชาดา โมรา

มันเป็นช่วงที่อาณาจักรของเราถูกรุกรานโดยไอ้เบิ้ม พ่อบอกว่าเขตแดนของพวกมันอยู่ที่ห้องว่างข้างๆ ติดกันกับห้องที่นายเช่าอยู่นี้ นายเป็นคนเอาไม้กวาดเขี่ยไล่พวกมันไปเอง พ่อว่าพวกมนุษย์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยชอบพวกมันนัก คงเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์และเสียงร้องรบกวนโสตประสาทน ั่น อย่าว่าแต่นายเลยผมเองตอนที่ได้ยินเสียงไอ้เบิ้มครั้งแรกยังถึง กับแข้งขาอ่อน "ต๊อกแกๆ ๆ..." ไม่รู้มันจะร้องทำไม ผมไม่เห็นว่ามันจะสร้างสรรค์ตรงไหนเลย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหัวหน้าเผ่าของพวกเราจึงตกลงทำสนธิสัญญาร่ วมกันกับหัวหน้าเผ่าของพวกมัน ในการกำหนดเขตแดนที่แน่ชัดของแต่ละฝ่าย ต่างคนต่างอยู่ ต่างหากินในเขตแดนของตัวเองไม่รุกล้ำกัน 
พ่อสันนิษฐานว่าไอ้เบิ้มหน้าโง่ตัวนั้นคงหลงเดินตามกลิ่นแมลงเข ้ามาในอาณาเขตของเราจนหลงทาง ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่านับสิบเท่าและลิ้นที่ยาวกว่าของมัน ทำให้ไม่มีใครหาญกล้าพอที่จะต่อกรด้วยได้ มันจึงเที่ยวใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงที่มาเล่นไฟตรงหน้าบ้าน ซึ่งเป็นแหล่งอาหารหลักของพวกเราเข้าปากอย่างไม่เกรงใจใคร สร้างความเดือดร้อนให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกเราเป็นอย่างมาก...หล ายวันผ่านไปในที่สุดสถานการณ์ขาดแคลนอาหารเพื่อบริโภคก็ทวีความ รุนแรงมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นวิกฤตการณ์ พวกเราบางตัวในเผ่าเริ่มป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร พ่อตัดสินใจว่าอย่างไรครอบครัวเราก็ควรออกเดินทางไปตายเอาดาบหน ้าเสียยังดีกว่าอยู่เฉยๆ รอความตายที่กำลังจะมาเยือน แล้วการผจญภัยครั้งสำคัญของผมก็เริ่มต้นขึ้น...
จะว่าไปแล้วมันก็ออกจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเอาการทีเดียว สำหรับจิ้งจกที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วันอย่างผม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเดินทางไกลหรอก เอาแค่การฝึกทรงตัวเกาะเพดานให้แน่น ต่อต้านกับแรงดึงดูดของโลกนั่นก็ยากพอดูอยู่แล้ว หลังจากที่ผมฝึกหัดวิธีพรางตัวอยู่หลังผ้าม่านได้ไม่กี่วัน ครอบครัวของเราก็เริ่มออกเดินทางท่ามกลางเสียงคัดค้านของหลายๆ ฝ่าย บางตัวก็บอกว่ามันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ บางตัวก็เอาไปซุบซิบนินทาลับหลังว่าพ่อของผมเป็นบ้าไปแล้วที่ทำ อย่างนั้น มันก็น่าอยู่หรอก ในเมื่อแม้แต่ตัวพ่อเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงจุดหมายปลายทางของก ารเดินทางในครั้งนี้ 
สิ่งเดียวที่พ่อมีเหลืออยู่คือความศรัทธา ศรัทธาในสิ่งที่พ่อเองก็ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า ศรัทธาในสิ่งที่อาจจะเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมาที่ใครสักค นกุขึ้น ศรัทธาในสิ่งที่อาจจะไม่มีตัวตน เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่าในเผ่าพันธุ์จิ้งจกของเรา มีตำนานอยู่ตำนานหนึ่งที่เล่าสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุจิ้งจก จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง เป็นตำนานที่กล่าวถึงดินแดนต้องห้ามอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ว่ากันว่าดินแดนแห่งนั้นอยู่ห่างออกไปจากเขตแดนของพวกเราไกลโพ้ นจนสุดคณานับ สองข้างทางที่จะต้องเดินผ่านฝ่าฟันเพื่อไปให้ถึง เต็มไปด้วยขวากหนามและภยันตรายที่ซุกซ่อนไว้มากมายเกินกว่าที่ภ ูมิปัญญาของเผ่าพันธุ์เราจะหยั่งถึง รำลือกันว่าที่ดินแดนนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากร อาหารการกินมีอยู่มากมายจนกินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด แต่ที่ถูกเรียกว่าเป็นดินแดนต้องห้ามนั้น เป็นเพราะเหล่าผู้กล้าของเผ่าเราทุกตัวที่ออกเดินทางแสวงหาแผ่น ดินศักดิ์สิทธิ์นี้ ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาเลย ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงตำนานโบราณที่เล่าสืบทอดต่อกันมายาวนาน นับวันรอเวลาจะถูกลืมเลือน จิ้งจกรุ่นผมน้อยตัวนักที่จะเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อผมเองก็คงไม่มีโอกาสได้รู้ถึงตำนานโบราณนี้ 
ใครสักคนว่าไว้ "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" เห็นจะจริงดังว่า เพราะถ้าไม่มีไอ้เบิ้มหน้าโง่ที่หลงเดินเข้ามาในอาณาจักรของพวก เราในวันนั้น เรื่องราวของพ่อผมก็คงจะไม่เป็นไปอย่างเช่นทุกวันนี้ ใครเล่าจะล่วงรู้ได้ว่าจิ้งจกหัวรุนแรงช่างฝันอย่างพ่อผม จะกลายเป็นวีรบุรุษผู้ไขปริศนาทั้งมวลของตำนานดินแดนต้องห้ามอั นศักดิ์สิทธิ์ และช่วยให้เผ่าพันธุ์ของพวกเรารอดพ้นจากการสูญพันธุ์ อย่าว่าแต่จิ้งจกตัวอื่นเลย กระทั่งผมเองซึ่งเป็นลูกของพ่อแท้ๆ ยังไม่มีความเชื่อมั่นเลย ผมยังจำความรู้สึกในเช้าวันนั้นได้ดี... 
ย่างแรกที่ผมก้าวออกเดินตามหลังพ่อ เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นในสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า ความกลัวในสิ่งที่จะต้องเผชิญ เสียงร่ำลือถึงปีศาจร่างยักษ์ของผู้เฒ่าผู้แก่ในเผ่ายังดังแว่ว อยู่ในกระแสสำนึก ผสานกับจินตนาการเพ้อฝันไร้ขอบเขตของผมยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวใน จิตใจให้ทับทวีคูณ ผมเชื่อว่าแม่เองก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากผมสักเท่าไหร่ แต่พ่อ...พ่อยังคงก้าวเดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ละก้าวที่ย่ำลงไปช่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ประกายที่ฉายฉานอยู่ในแววตาของพ่อช่างเปี่ยมไปด้วยแรงศรัทธาและ กล้าหาญ เหมือนกับพ่อจะไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรเลยอย่างนั้นแหละในชีวิตนี้ ผมสงสัยยิ่งนักว่าอะไรกันหนอที่ทำให้พ่อเข้มแข็งได้ถึงเพียงนี้ จนเมื่อเราหยุดพักครั้งแรกผมจึงตัดสินใจเอ่ยถามออกไป 
ยังจำได้ดีถึงแววตาอ่อนโยนคู่นั้นและสิ่งที่พ่อตอบกลับมา พ่อบอกว่า ศรัทธาอย่างไรเล่าลูกเอ๋ยที่ทำให้พ่อเข้มแข็ง เราทุกตัวต่างก็ต้องศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ สิ่งที่เราศรัทธานั้นอาจจะแตกต่างกัน แต่ไม่มีใครหรอกจะอยู่ได้โดยไม่มีศรัทธา กระทั่งผู้ที่ไม่ศรัทธาอะไรเลยก็ยังต้องมีศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหน ึ่งอยู่ดี และสิ่งนี้นั่นแหละที่ทำให้เราเข้มแข็ง ผมถามพ่อต่อไปว่าแล้วพ่อศรัทธาอะไร พ่อยิ้มหัวให้นิดนึงก่อนตอบว่า ศรัทธาในความจริงไงลูก พ่อเชื่อว่ามีความจริงอยู่เบื้องหน้ารอให้เราไปพิสูจน์และพ่อเช ื่อมั่นว่าพ่อทำได้ ความกลัวน่ะเหรอ กลัวสิลูก ทำไมพ่อจะไม่กลัว *ความกลัวความกล้า มันมีเหมือนกันทุกคน คนกลัวที่รับว่ากลัวคือคนกล้า แต่คนกลัวอวดตัวว่ากล้าคือคนโง่ จำเอาไว้ให้ดีนะลูก เรามักจะกลัวก็แต่ในสิ่งที่เราไม่รู้หรือมองไม่เห็นเท่านั้นแหล ะ สิ่งไหนที่เรารู้แล้วเราก็จะหมดความกลัวในสิ่งนั้น และนี่คือวัตถุประสงค์สำคัญอีกข้อหนึ่งของการเดินทางของพวกเราใ นครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อแสวงหาแหล่งอาหารใหม่ให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกเราแล ้ว พ่อยังต้องการที่จะแสวงหาความรู้เพื่อขจัดความกลัวในจิตใจของพว กเราทุกตัวด้วย พ่อต้องการพิสูจน์ให้พวกเราได้รู้ว่าความจริงคืออะไร 
ผมไม่แน่ใจว่าพ่อจะรู้ตัวไหมว่าสิ่งที่พ่อพูดนั้นช่วยให้ผมกับแ ม่มีกำลังใจขึ้นมาก เมื่อผมได้รู้ว่าพ่อเองก็กลัวไม่ต่างไปจากผม มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากว่าตัวเองไม่ได้ขี้ขลาด ไม่ได้ผิดปกติ แต่ทั้งๆ ที่กลัวพ่อก็ยังคงเข้มแข็งและไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้พวกเราไ ด้เห็น นั่นยิ่งทำให้ผมมีความฮึกเหิม แต่ละก้าวที่ย่างลงไปเปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้นเ รื่อยๆ เรายังคงเดินคุยกันต่อไป ครั้งหนึ่งผมถามพ่อว่า พ่อไม่กลัวความล้มเหลวหรือ ไม่กลัวหรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิด พ่อนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยตอบทั้งๆ ที่ไม่หันมามองหน้าผม แต่ผมยังคงจำประโยคสั้นๆ ประโยคนั้นได้ดี "ผลลัพธ์ไม่สำคัญเท่าความพยายาม"...				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน