มั่นใจ...ว่ารัก (ยังไง?)
สุชาดา โมรา
เป็นครั้งที่ห้าแล้วนะของคืนนี้ ที่ผมลุกจากเตียงขึ้นมาทำอะไรงี่เง่าๆ ซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้ เริ่มจากเดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น ดื่มน้ำ จุดบุหรี่สูบ เดินวนไปวนมาอีก เข้าห้องน้ำ หยุดยืนที่หน้ากระจก จ้องมองภาพผู้ชายในนั้น เราสบตากัน ผมจ้องหน้ามัน มันจ้องหน้าผม ให้ตายเถอะ ! ผมโคตรเกลียดขี้หน้ามันเลย อยากจะซัดปากมันสักเปรี้ยง ให้มันสาสมกับความโง่ ความซื่อบื้อ ปัญญาอ่อนของมัน เผื่อว่าจะฉลาดขึ้นมาบ้างโธ่ ไอ้ควายเอ๊ย ! ทำไมมึงถึงได้โง่ โง่ โง่ โง่ โง่อย่างนี้ ทำผิดซ้ำผิดซากอยู่นั่นแหละ ทำไมไม่รู้จักจำ...ผมแหกปากตะโกนด่าตัวเองอยู่ในใจ
ใช่...ผมนอนไม่หลับ คุณเองก็คงเคยนอนไม่หลับใช่ไหม แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเหมือนกับผมหรือเปล่า จริงๆ แล้วอาการนอนไม่หลับก็ห่างหายจากผมไปนานเป็นปีแล้ว เมื่อก่อนนี้ผมเคยมีปัญหามากกับการนอน ตอนแรกผมแก้ด้วยการดื่มเหล้าเพียวแก้วเล็กๆ ก่อนเข้านอน ก็ได้ผลดีอยู่หรอก แต่พอนานไปแก้วเดียวชักเอาไม่อยู่ ต้องเพิ่มเป็นสองแล้วก็สาม ผมชักหวั่นใจว่านอกจากจะไม่หายจากโรคนอนไม่หลับแล้ว กลับจะกลายเป็นแอลกอฮอลิซึ่มแทนจึงตัดสินใจไปหาหมอ เขาให้ยานอนหลับผมมากิน หนักข้อเข้าผมก็ซื้อกินเอง เริ่มจากครึ่งเม็ด เป็นหนึ่งเม็ด เป็นเม็ดครึ่ง เป็นสองเม็ด ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าติดยานอนหลับและมันจะไม่หยุดอยู่ที่สองเม็ ดเป็นแน่ ผมจึงหักดิบ หยุดมันหมดทุกอย่างทั้งเหล้าและยา เป็นไงเป็นกัน ถ้ามันจะไม่หลับผมก็จะไม่นอนสองคืนเต็มๆ ที่ผมไม่ได้นอน พอเข้าคืนที่สามก็หลับเป็นตาย แล้วจู่ๆ ผมก็หายจากโรคนอนไม่หลับโดยไม่รู้ตัว
วันนี้โรคเก่ากำเริบ มันกลับมาหาผมอีกครั้ง...อาการนอนไม่หลับ เมื่อคืนผมปิดไฟนอนตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า ตอนนี้อีกสิบห้านาทีก็จะตีห้าแล้ว แว่วเสียงไก่บ้านข้างๆ ขันต่อกันเป็นจังหวะ แต่ผมก็ยังคงเดินหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่อย่างนี้ ผมกำลังมีปัญหากับตัวเอง อยากจะหลับตาวิ่งเอาหัวชนกำแพงให้มันรู้แล้วรู้รอดไป คือผมไม่พอใจในตัวเองน่ะ ผมไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ไม่ใช่สิ ผมไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้กระทำต่างหาก...คือเรื่องมันมีอ ยู่ว่า...เอ่อ...คุณเคยหลงรักคนที่คุณไม่เคยรู้จักบ้างไหม อาจเป็นคนที่คุณพบบ่อยๆ ที่ป้ายรถเมล์ คนที่เดินสวนกันบนท้องถนน บนสะพานลอย บนสถานีรถไฟฟ้า หรือในห้างสรรพสินค้า... ชั่ววินาทีที่คุณเดินสวนกัน เสี้ยววินาทีที่คุณสบสายตากับเขาหรือเธอคนนั้น แต่มันจะยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของคุณไปอีกนานแสนนาน ชั่วขณะนั้นคุณรู้สึกเหมือนกับว่า เคยรู้จักกันมาก่อน ที่ไหนสักแห่ง อาจเป็นงานแต่งงาน งานเลี้ยงรุ่น งานวันเกิดเพื่อน คุณพยายามนึกแต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ก็ยิ่งนึกไม่ออก เพราะจริงๆ แล้วคุณอาจไม่เคยพบกันมาก่อน คุณอุปาทานไปเอง...แต่ไม่นะ คุณรู้สึกได้ รู้สึกจริงๆ ว่าเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน คุณเถียงกับตัวเอง คุณอยากเดินตามเขาไปแล้วสะกิดเขาเพื่อถามถึงคำตอบที่คุณไม่อาจให้กับตัวเองได้ แต่ลึกๆ แล้วคุณไม่ได้สนใจอยากรู้คำตอบนักหรอก คุณอยากจะพูดคุยกับเขา อยากจะรู้จักเขามากกว่า แต่คุณก็ได้แค่คิด...คุณไม่ได้ทำ คุณไม่กล้าพอ กลัวว่าเขาจะมองคุณแปลกๆ คุณอาย...หรือกว่าที่คุณจะรวบรวมความกล้าได้ เขาหรือเธอคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว และคุณรู้ดีว่าโอกาสครั้งที่สองอาจไม่เกิดขึ้นอีกเลย...ชั่วเวล าสั้นๆ นั้น ช่างเป็นภาวะที่ไร้ระเบียบทางความคิดและอารมณ์สิ้นดี ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย มีแต่อารมณ์และความรู้สึกล้วนๆ แต่คุณก็รู้สึกดีและไม่เคยต้องการหาเหตุผลหรือคำอธิบายใดๆ...
คุณเคยหลงรักคนที่คุณไม่เคยรู้จักบ้างไหม...ถ้าเคย คุณคงเข้าใจ แต่ถ้าไม่เคยผมก็ขอภาวนาอย่าให้มันเกิดขึ้นกับคุณเลย จะได้ไม่ต้องมาเป็นเหมือนอย่างผมในตอนนี้...โอ้ ! ให้ตายเถอะพระแม่เจ้า มันช่างเป็นความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานเหลือเกิน เหมือนถูกจับมัดมือไขว้หลัง แล้วถีบตกน้ำ ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะช่วยเหลือตัวเอง ค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ รอบข้างมีแต่ความมืดมิด กลัว กำลังจะขาดอากาศหายใจ สำลักน้ำ มันค่อยๆ ไหลผ่านรูจมูกเข้าไปท่วมปอดทีละนิด สติสัมปชัญญะกำลังจะหลุดลอยไป พร่าเลือน ค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ... เหตุการณ์เมื่อบ่ายวานนี้ทำให้ผมหวนนึกไปถึงอดีตในวัยเยาว์ของต นเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน...ภาพความหลังในโลกของความเป็นจริงผุดพ รายขึ้นมาในห้วงคำนึง ความทรงจำเก่าๆ ถูกรื้อค้นขึ้นมาทีละฉากตอน ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานมากแล้ว แต่ผมก็ยังจำมันได้ดีเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ วนี่เอง...ความรักครั้งแรกของผม...
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตของผมเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง ผมย้ายบ้านใหม่ ย้ายโรงเรียนใหม่ จากเด็กที่เคยอยู่โรงเรียนประจำมาตลอดระยะเวลาแปดปีกว่า โรงเรียนที่มีแต่ผู้ชายล้วน กลับบ้านเดือนละสองครั้งๆ ละสองวัน ย้ายมาอยู่โรงเรียนไปกลับที่เป็นสหศึกษา มีทั้งนักเรียนชายและหญิง ต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเองทุกวัน มันเหมือนผมย้ายไปอยู่โลกใบใหม่ที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากเด ิมโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว สำหรับคุณแล้วอาจจะเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สำหรับผม นั่นคือการผจญภัยครั้งใหญ่เชียวแหละ นึกแล้วยังอดขำตัวเองไม่ได้ คุณเชื่อไหมวันแรกๆ อย่าว่าแต่พูดคุยเลย แค่มองหน้าเพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้หญิง ผมก็ยังไม่กล้า มันเกร็งๆ เขินๆ อย่างไรบอกไม่ถูก นานพอสมควรกว่าที่ผมจะปรับตัวเข้าร่วมกับกลุ่มอ้างอิงทางสังคมก ลุ่มใหม่ที่มีเพื่อนต่างเพศได้ นาทีนั้นพวกเธอเปรียบเสมือนมนุษย์ต่างดาวสำหรับผม เพิ่งมารู้ทีหลังว่าพวกเธอเองก็จับกลุ่มนินทาแอบขำท่าทางเก้ๆ กังๆ และพฤติกรรมประหลาดของผมอยู่เหมือนกัน
บ้านที่ผมย้ายเข้าไปอยู่ใหม่อยู่แถวสี่แยกเกียกกาย เกือบถึงเตาปูนนู่นแน่ะ ส่วนโรงเรียนใหม่อยู่แถวพระโขนง คนละซีกโลกกันเลยล่ะ ผมต้องนั่งรถเมล์ถึงสามคันกว่าจะถึงโรงเรียน ผมจึงต้องตื่นแต่เช้า นั่งรถจากเกียกกายมาลงที่เทเวศร์ ต่อรถจากเทเวศร์ไปลงที่หน้าสยามสแควร์ และอีกคันจากสยามสแควร์ไปลงที่หน้าโรงเรียน ดูลำบากและซับซ้อนเพราะต้องนั่งรถหลายต่อ แต่ผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ตรงกันข้ามผมชอบนั่งรถเมล์ด้วยซ้ำไป อาจเป็นเพราะผมไม่เคยนั่งมาก่อนก็ได้เลยยังตื่นตาตื่นใจและรู้ส ึกสนุกอยู่ ผมชอบบรรยากาศบนรถและบริเวณป้ายรถเมล์ ผมว่ามันมีสีสันมีชีวิตชีวา ผู้คนดูเร่งรีบ ถ้าคุณลองมองเข้าไปในแววตาของพวกเขา คุณจะเห็นความมุ่งมั่นสะท้อนออกมา เหมือนพวกเขาจะรู้ชัดถึงจุดหมายที่แน่นอนในจิตใจ อย่างน้อยที่สุดชั่วขณะนั้นทุกคนก็รู้ล่ะน่าว่าตัวเองกำลังจะไป ที่ไหนและรอรถสายอะไรอยู่...
คุณเคยไปตลาดสดตอนเช้าๆ ไหมล่ะ พื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ อาจเป็นน้ำจากแผงขายเนื้อสัตว์หรือน้ำที่แม่ค้าประพรมลงบนผักเพ ื่อให้ดูสดใหม่อยู่เสมอ เวลาก้าวเดินให้ความรู้สึกเหนอะหนะเฉอะแฉะ บางคนใช้มือถกขากางเกงให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้เลอะน้ำสกปรกที่ดีด ตัวจากใต้พื้นรองเท้าแตะ เสียงพูดคุยต่อรองราคา ตะโกนแซวกันของพ่อค้าแม่ขายหรือบางทีก็ด่ากัน เสียงเอะอะโวยวายขอทางของเด็กเข็นผัก...นั่นแหละสีสัน ความมีชีวิตชีวา มันไม่เหมือนกันเสียทีเดียวหรอกกับบรรยากาศบนรถหรือที่ป้ายรถเม ล์ แต่มันมีบางอย่างที่คล้ายกันเวลายืนรอรถเมล์หรือนั่งอยู่บนรถ ผมมักจะชอบมองไปรอบๆ ข้าง เฝ้าดูผู้คน สังเกตพฤติกรรม กิริยาท่าทาง คนๆ หนึ่งช่างมีรายละเอียดซับซ้อนมากมายเหลือเกิน และแต่ละคนก็ล้วนแตกต่างกัน ในโลกนี้ย่อมไม่มีคุณคนที่สองหรือผมคนที่สองเป็นแน่ กระทั่งคนที่เหมือนกันมากๆ อย่างคู่แฝดยังมีความแตกต่างกัน อาจเป็นอวัยวะบางส่วนหรือนิสัยใจคอก็ตามการสังเกตผู้คนจึงเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม และก็เพราะไอ้สิ่งนี้นั่นแหละ ที่ทำให้ผมได้ตกหลุมรักเป็นครั้งแรก รักคนที่ผมไม่เคยรู้จัก กระทั่งชื่อเธอผมยังไม่รู้เลย...
มันเป็นยามเช้าที่อากาศดีเป็นพิเศษ ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก ผมตื่นแต่เช้าและรีบออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ เพื่อนนัดให้ผมไปซ้อมบอลเพื่อเตรียมแข่งกีฬาสีที่จะมีขึ้นในอีก สองอาทิตย์ข้างหน้า โดยเฉลี่ยแล้วผมจะมาต่อรถที่หน้าสยามสแควร์ราวๆ เจ็ดโมงครึ่งของทุกวัน แต่วันนั้นผมมาถึงตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี ออกจะเร็วไปนิด ...ถ้าผมขึ้นรถตอนนี้ไม่เกินสิบห้านาทีก็คงจะถึงโรงเรียน เช้าๆ อย่างนี้รถยังไม่ติดเท่าไหร่หรอก ผมรู้ดี ถ้าไปถึงก่อนก็คงต้องไปนั่งรอเพื่อนๆ อีก อย่าเพิ่งไปเลย นั่งเล่นอยู่แถวนี้สักพักดีกว่าแล้วค่อยไป ผมตัดสินใจนั่งตรงบันไดทางขึ้นห้างสยามเซ็นเตอร์ ที่ป้ายรถมีคนยืนอออยู่มากแล้ว นั่งตรงนี้สบายกว่ากันเยอะ ผมทำเหมือนที่เคยทำอยู่ทุกวัน สังเกตผู้คน เฝ้าดูจังหวะหายใจของเมืองใหญ่ รถเมล์วิ่งผ่านไปหลายคันแล้ว สาย 16 ปอ.1 ปอ.8 ฯลฯ
เวลาที่รถวิ่งเข้าป้ายเพื่อจอดรับ- ส่งผู้โดยสาร ผมมักจะกวาดสายตามองไปทั่วทั้งคันรถ สังเกตสีหน้าท่าทางของผู้คน ตอนนี้รถเว้นระยะไปนานแล้ว ผมสงสัยเลยหันไปดูจึงเห็นว่ากำลังติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกข้างๆ นั่น...วิ่งมาแล้วคันนึง ปอ.8 รถหยุดแล้ว ผมมอง...ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นเธอเป็นครั้งแรก ที่นั่งด้านหลังของตัวรถ ริมซ้าย ติดกระจก...ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นให้คุณเข้าใจได ้ยังไง คุณเคยได้ยินคำว่า A Perfect Moment ไหม ช่วงเวลาแห่งความสมบูรณ์แบบ นาทีที่จะประทับอยู่ในความทรงจำของคุณไปตลอดชีวิต นั่นแหละใช่เลย ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ตกตะลึงจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น การได้เห็นหน้าเธอแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผู้ชายอายุสิบห้าอย่างผมแปรปรวนไปหม ด ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นผมลืมหายใจหรือเปล่า ผมอยากจะบอกคุณเหมือนกันว่าเธอสวยหยาดฟ้ามาดินดั่งหล่นมาจากฟาก ฟ้า แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ร่างเล็กเพรียวบาง ไม่ใช่ผมยาวเลยหัวไหล่ จมูกรั้น หรือริมฝีปากบางและเชิดหรอกที่สะกดผมไว้ แววตาอ่อนโยนดูเศร้าเล็กน้อยคู่นั้นต่างหาก... รถวิ่งออกไปแล้ว ผมรีบยกข้อมือขึ้นดูเวลา เจ็ดโมงสิบห้านาที
การต้องตื่นแต่เช้าขึ้นกว่าเดิมเพื่อมาดักรอเธอ กลายเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของผมทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ทุกคนแปลกใจเพราะคิดว่าผมขยันเรียน ผมได้แต่แอบยิ้มนึกขำอยู่ในใจ...เจ็ดโมงตรง ผมจะมานั่งรอดูเธอตรงที่เดิม ถัดจากนั้นอีกไม่เกินสิบห้านาที รถปอ.8 ก็จะวิ่งมาจอดที่เดิม เธอนั่งอยู่บนนั้นตรงที่เดิม ด้วยอากัปกริยาเดิมๆ ที่ผมมองเพลินไม่รู้เบื่อ ชั่วขณะนั้นไม่ว่าจะผู้คนบนท้องถนนหรือทิวทัศน์รอบข้าง ไม่มีอะไรน่ามองเท่าเธอ สายตาผมจับอยู่ที่เธอคนเดียว ถ้าวันไหนเธอไม่มาหรือผมไม่ได้เห็นหน้าเธอ วันนั้นผมแทบจะไม่อยากทำอะไรเลย ไม่มีสมาธิจะเรียน ไม่มีอารมณ์จะเตะบอลกับเพื่อนๆ เหมือนอย่างทุกวัน เธอสอนให้ผมได้รู้ว่า การรอคอยก็เป็นความสุขประการหนึ่ง
ผมแอบมองเธออยู่อย่างนั้นเกือบเดือน มีอยู่วันหนึ่งเธอคงรู้สึกตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบาง คน เธอมองมาที่ผมและส่งยิ้มให้ ผมดีใจจนบอกไม่ถูก วันนั้นเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม ผมบอกตัวเองว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง...สองวันต่อมา ผมตัดสินใจก้าวขึ้นรถคันที่มีเธอ เก้าอี้ฝั่งซ้ายด้านหลังตัวก่อนสุดท้าย คือที่ประจำของเธอ ส่วนผมเลือกที่นั่งฝั่งขวาเยื้องๆ กันกับของเธอ ผมยังคงแอบชำเลืองมองเธออยู่ตลอดทาง...อาทิตย์ถัดมา ผมตัดสินใจเดินไปนั่งที่เบาะยาวตัวหลังสุด ที่นั่งด้านหลังเธอ คราวนี้เราอยู่ใกล้กันมาก ขนาดผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูจากเส้นผมของเธอ ผมอยากจะพูดอยากจะชวนเธอคุยแทบตาย แต่ก็ไม่กล้าพอ วันต่อมาผมเขียนข้อความสั้นๆ ลงบนกระดาษโน้ต แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่กล้ายื่นให้เธอ...เอาเถอะน่า ขอเวลารวบรวมความกล้าอีกสักสามสี่วัน อาทิตย์หน้าจะต้องเข้าไปคุยกับเธอให้ได้ ผมบอกตัวเองอย่างนั้น ก็ไอ้นิสัยที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งนี่แหละ ที่ทำให้ผมต้องมานั่งเสียใจอยู่จนทุกวันนี้ ดีแต่คิดแต่ไม่ยอมลงมือทำ...คุณรู้ไหม นั่นกลับเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เห็นหน้าเธอ...
ผมไม่เคยพบเธออีกเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเธอหายหน้าไปไหน เธออาจจะย้ายที่เรียนหรือว่ามีใครขับรถไปส่งเธอที่โรงเรียนก็เป ็นได้ ผมลองเปลี่ยนเวลาที่มาดักรอเธอเผื่อว่าเธอจะมาเช้าหรือมาสายกว่ าเดิม ผมเคยนั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ตั้งแต่หกโมงถึงเก้าโมง แต่ก็ไร้วี่แววของเธอ... หนึ่งเดือนผ่านไป ผมจึงหมดความพยายาม ตอนนั้นผมเข้าใจลึกซึ้งเลย... ถึงความรู้สึกที่ว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับมันเป็นยังไง...ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งโกรธแค้นตัวเอง ผมมีโอกาสแต่ผมกลับปล่อยให้มันหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา ผมมัวแต่รีรอ ไม่รู้ว่าจะรออะไร รอทำไม นี่ถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับได้ ผมจะไม่รออีกต่อไป ผมจะเดินเข้าไปคุยกับเธอเสียตั้งแต่วันแรก แต่ผมก็ทำได้แค่หมุนเข็มนาฬิกา ไม่มีใครสามารถย้อนอดีตกลับไปแก้ไขความผิดพลาดได้ เวลาและสายน้ำไม่เคยคอยใคร มันไม่มีทางไหลย้อนกลับคืนมาได้...ในวันนั้นผมสัญญากับตัวเองว่ าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในชีวิตของผมอีกเป็นครั้ งที่สอง...
หลายปีผ่านไป ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ในวันน ั้น สิ่งที่หนังพยายามจะบอกมันตอกย้ำถึงจุดบอดในใจผม สิ่งที่พระเอกในเรื่องทำคือสิ่งที่ผมอยากแต่ไม่ได้ทำ...หนังเรื ่องนั้นชื่อ Before Sun Rise เป็นเรื่องราวการพบรักของหนุ่มอเมริกันกับสาวฝรั่งเศสบนรถไฟ พระเอกเพิ่งผิดหวังจากความรักจึงเดินทางมาเที่ยวเพื่อรักษาแผลใ จ ส่วนนางเอกกำลังเดินทางไปทำธุระที่ต่างจังหวัด ทั้งคู่ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน เมื่อพระเอกเห็นนางเอกก็รู้สึกถูกชะตา พอรถไฟวิ่งไปหยุดอยู่ที่สถานีที่เขาจะต้องลง ก่อนจะลงจากรถเขาตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับเธอ ประเด็นสำคัญของเรื่องก็อยู่ตรงฉากนี้นั่นแหละ เขาบอกกับเธอว่าเขาขอโทษที่เข้ามาคุยด้วย เธออย่าเพิ่งตกใจหรือคิดว่าเขาบ้านะ ที่จู่ๆ ก็เดินเข้ามาคุยทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาแค่อยากจะทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังถ้าเขา ไม่ได้ทำ...นั่นก็คือการเดินเข้ามาคุยกับเธอ เขารู้ดีว่าจะต้องโกรธตัวเองแน่ ถ้าเดินลงจากรถไปโดยที่ไม่ได้เข้ามาคุยกับเธอเสียก่อน ตอนแรกเธอก็ทำหน้างงๆ แต่พอฟังจบเธอก็เข้าใจ เขาชวนเธอลงเที่ยวด้วยกันที่เมืองนี้ เธอลังเลแต่สุดท้ายก็ยอมเป็นไกด์ให้กับเขา ทั้งคู่ใช้เวลาเที่ยวอยู่ด้วยกันทั้งวัน ตอนเช้าเขามาส่งเธอขึ้นรถที่สถานี ก่อนจากกันทั้งคู่สัญญาว่านับจากวันนี้ไปอีกหนึ่งปี พวกเขาจะกลับมาพบกันที่สถานีรถไฟแห่งนี้... เป็นหนังที่อบอุ่นมาก เมื่อดูจบแล้วผมบอกกับตัวเองว่าจะไม่รีรออีกต่อไป ผมสัญญากับตัวเองอีกครั้งว่าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์อย่างนั้นเกิด ขึ้นในชีวิตของผมอีกเป็นครั้งที่สอง...แต่แล้วผมก็พลาดอีกจนได้
เมื่อวานนี้ ผมกับพ่อไปเดินซื้อของด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เราใช้เวลาอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตราวครึ่งชั่วโมง หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้ว ผมก็หิ้วถุงเดินตามหลังพ่อขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสอง พ่อจะไปรับกางเกงที่ซื้อแล้วสั่งให้เขาตัดขาไว้ ขณะที่กำลังยืนรออยู่บนบันไดเลื่อนนั่นเอง อีกฟากนึงบันไดกำลังเลื่อนลง มีคนยืนอยู่บนนั้นราว 7-8 คน ผมกวาดสายตามองผ่านๆ ไป แต่ทันใดนั้นผมก็ต้องตกตะลึงสุดขีด...เธอนั่นเอง ! สาวบนรถปอ.8 คนนั้น ถึงเวลาจะผ่านเลยมากว่าสิบปีแล้วก็ตาม ผมก็ยังจำเธอได้ในทันทีที่เห็นแวบแรก เธอดูเป็นสาวขึ้นแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไหร่เล ย ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ปาฏิหารย์มีจริง เธอยืนอยู่ตรงนั้นห่างจากผมแค่เอื้อม เธอมองมาแต่คงจำผมไม่ได้ ผมเสไปมองทางอื่นแล้วหันกลับไปจ้องเธอใหม่ เห็นแต่ด้านหลัง ใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ รู้สึกร้อนวูบที่ใบหู ผมทำอะไรไม่ถูก ขาผมก้าวเดินตามพ่อไปจนถึงแผนกเสื้อผ้า แต่ใจผมมันลอยตามเธอไปนานแล้ว ผมตัดสินใจวางของลงบอกพ่อว่าเดี๋ยวมา แล้วหันหลังวิ่งฝ่าฝูงคนตรงไปยังบันไดเลื่อน ลงไปถึงชั้นล่าง ผมสอดส่ายสายตามองหาเธอเลิ่กลั่กแต่ก็ไม่เห็นแม้เงา หรือเธอจะเข้าไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมวิ่งวุ่นตามหาเธอจนทั่วทั้งซุปเปอร์ฯ แต่ก็ไม่พบ ผมเดินออกมาตามหาเธอจนทั่วทั้งบริเวณนั้นแต่ก็ไร้ร่องรอย...
เธอหายไปอีกแล้ว ผมคลาดจากเธออีกจนได้ นี่ถ้าผมไม่มัวแต่ลังเลอยู่ทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้ ผมหยุดยืนอยู่กลางห้าง ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นจนหลายคนหันมามอง ผมอยากจะเย้ยหยันในความโง่งี่เง่าของตัวเองนัก อยากจะทิ้งตัวลงนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น...นาทีนั้นผมพาลโกรธ ไปหมดทุกอย่าง ผมโกรธที่
ห้างฯ นี้มันใหญ่โตนัก ถ้ามันเล็กเท่าร้านขายของชำผมคงจะไม่คลาดกับเธออีก ผมโกรธผู้คนที่ยืนออกันอยู่บนบันไดเลื่อนทำให้ผมลงมาหาเธอช้า ผมโกรธทุกคนที่เดินอยู่ในห้างทำให้ผมมองหาเธอได้ยากขึ้น ผมโกรธตัวเองที่ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้...ผมโกรธ...ผมเกลียด... หึ หึ หึ...ทีนี้คุณคงรู้แล้วสินะ ว่าทำไมผมถึงได้อยากชกหน้าตัวเองนัก...
คุณเคยหลงรักคนที่คุณไม่เคยรู้จักบ้างไหม
ถ้าเคย คุณคงเข้าใจ.