ผมไม่รู้นี่...(ตอนที่1)
สุชาดา โมรา
ตอนนี้ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมกำลังเรียนวิศวะอยู่ ฟังดูโก้นะแต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิด เรียนก็เหนื่อยยากก็ยาก ต้องมาปวดหัวกับการคำนวณที่ไม่มีวันจบสิ้น สุดแสนจะเซ็งทีเดียว แต่ผมก็รักที่จะเรียนเพราะพ่อบอกว่าจบไปมีงานทำแน่นอน แต่ที่จริงผมว่างานที่บ้านก็มีผมน่าจะเรียนทางด้านนั้นมากกว่าแต่ก็เอาเหอะไหน ๆ ก็เรียนมาจนป่านนี้แล้วก็อดทนตั้งใจเรียนต่อไปเพราะเหลืออีกแค่เทอมเดียวก็จะจบแล้วนี่
ผมมีเพื่อนอยู่หลายคน เพื่อนแต่ละคนก็ดี ๆ กันทั้งนั้นเดี๋ยวก็เอาเรื่องนั้นมาพูดเรื่องนี้มาพูดไม่เห็นจะสนใจเรื่องเรียนกับเขาเลย แต่ผมก็ต้องทน ๆ คบกันไปก่อนเพราะผมไม่มีเพื่อนจะให้คบแล้วนี่ เพราะเพื่อน ๆ ก็โดนรีทายไปหมดแล้วก็เหลือแต่พวกหัวเสอย่างผมเนี่ยแหละ แหมจะยอตัวเองจนเกินไปหรือเปล่าเนี่ย
ผมอ่านข่าวเมื่อเช้านี้ในห้องคณะนะเขาบอกว่า ปัจจุบันนี้กระแสอยู่ก่อนแต่งกลายเป็นไฟลามทุ่งหากใครจับคู่ได้เมื่อไหร่ก็มักชวนมาลิ้มลองรสชาติการใช้ชีวิตร่วมชายคาเดียวกันด้วยความไวไฟ เอ๊ย!!!อยากรู้อยากลองเหลือเกิ้น...!!!...
ผมว่านะถ้าคนเราสมัยนี้จะรอมชอมให้มีการอยู่ก่อนแต่งกันก็อาจเกิดกรณีตรอมใจก็ได้ใครจะไปรู้ว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะมันสะแด่วแห้วแค่ไหน ก็เสมือนการเป็นผัวเมียชั่วคราวนั่นแหละ มีหรือ ถ้าได้อยู่สองต่อสองแล้วจะไม่แตะอั๋ง จับโน่นจับนี่จนไฟฟ้ามันสปาร์ก ก็ฮูย...ฮอร์โมนกำลังพุ่งพรวดอย่างกะขีปนาวุธขนาดนี้จะห้ามใจยังไง จะห้ามมือไม้กันไหวหรือแบบนี้ต่อให้เอาช้างมาฉุดหรือเอากางเกงในชนิดพิเศษป้องกันการเสียพรหมจรรย์ให้ใส่ก็รั้งไม่อยู่ร้อก โธ่...ขนาดพ่อแม่เตือนจนปากจะฉีกถึงรูหู เด็กสมัยนี้ก็ฟังไม่รู้เรื่อง แถมยิ่งเตือนเหมือนยิ่งยุเสียด้วยนะ ผมก็เห็นด้วยนะที่ข่าวฉบับนี้เขียนแบบนี้ เพื่อนผู้หญิงหลายคนในห้องก็ออก ๆ ไปกันหมดเพราะท้องเนี่ยแหละ บางคนก็เลิกลากันไปปล่อยให้เด็กเป็นภาระของสังคม เห็นแล้วผมรู้สึกสังเวทใจจริง ๆ เล้ย
"เฮ้ยกฤษ...เข้าเรียนได้แล้วละมัวอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ได้"
ผมเข้าเรียนสายไปหน่อยเพราะผมมัวอ่านหนังสือพิมพ์ แต่วันนี้ห้องเราได้รับข่าวดีอย่างหนึ่งละแต่ว่าผมยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรเลย เพียงแต่เห็นที่ห้องเขาลือกันให้แซททีเดียว...
"เฮ้ยกฤษนายเห็นน้องใหม่หรือยังวะ น่ารักนะเว้ย...!!!"
"น้องมงน้องใหม่อะไรวะ...ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ทำไมมีเด็กใหม่ในคณะหรือไง"
"เปล่า ก็ห้องเรานั่นแหละมีคนย้ายมาจากเชียงใหม่มาเรียนที่นี่น่ารักเชียว ผมยาว ขาว สวยหวาน โอ้โหเพอร์เฟรคเป็นบ้าเลย หัวดีเรียนเก่ง ไฮโซ..."
"ผู้ชายบ้าอะไรของแกวะไว้ผมรุงรังถ้าเจอนะจะเบิร์ดกะโหลกซะทีว่ะ"...."อ้าวเฮ้ย!...ทำไมถึงเงียบวะ"
"จะตบใครเหรอคะ..."
ผมถึงสะดุ้งโหยงทีเดียวที่มีผู้หญิงมาถามว่าจะตบใคร เพื่อน ๆ นี่ก็ไม่บอกเลยว่าไอ้ที่นินทาอยู่นั่นมันผู้หญิง แหมน่ารักสมคำล่ำลือจริง ๆ แค่ได้ยินเสียงครั้งแรกนะ อย่าให้เซทเลยเสียงงี้หวานเชียว ยิ่งพอหันไปดูนะถึงกับใจหวิวทีเดียวละ โอ้โหสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์เลย แล้วดูพวกผมสิหน้าตาโหด ๆ ทั้งนั้นเลย แล้วเธอยังต้องมารวมอยู่กับกลุ่มผมอีกเพราะกลุ่มผมมันแก่เรียน...
ตอนทำรายงานกลุ่มนะอื้อหือ...ชื่อคนที่เขียนยากที่สุดก็คือเธอนี่แหละ ชื่อพยางค์เดียวแต่สะกดยากจะตาย ชื่อรัน แต่เขียนฬนน โห...พ่อแม่ช่างตั้ง คนตายไปกี่ป่าช้าชื่อมีตั้งเยอะตั้งแยะให้เลือกไม่เลือก มาตั้งชื่อบ้า ๆ อะไรอย่างนี้นะเขียนยากชะมัดเลย
"ชื่อะไรนะเราน่ะ.."
"ฉันชื่อฬนนค่ะ"... "เขียนไม่ถูกค่ะต้องเขียนแบบนี้"
แล้วเธอก็เขียนให้ดู ผมนี้งงเลย เขียนยากเป็นบ้าเลย...
ผมรู้จักเธอมาประมาณ 6 เดือน ผมรู้ตัวดีว่าผมก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่น ๆ หรอกที่หลงรักเธอเพราะเธอสวยจนเกินห้ามใจได้ จะไม่ให้คิดเกินเลยกับเธอได้ไงล่ะ... แต่จะทำไงได้ล่ะก็ในเมื่อเธอเป็นเพื่อน เราก็ต้องวางตัวเป็นเพื่อนที่ดี ผมจึงทำเฉย ๆ แต่พอไม่มีใครอยู่ผมก็แอบตีสนิทกับเธอด้วยการขอร้องให้เธอติวให้ ทำท่าทีว่าเราสนใจเรียนแต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแผนสูงของผมต่างหากล่ะ... ผมต้องชมตัวเองนะที่มีหัวคิดที่จะจีบผู้หญิงได้ถือว่ายอดจริง ๆ แต่ก็ดู ๆ เธอไม่เห็นจะสนใจผมเลย สงสัยผมคงแฮ้วแน่ ๆ เพราะเธอสนใจเรียนเกินกว่าที่ผมจะก้าวเข้าไปถึงหัวใจเธอได้ ตกเย็นก็มีคนขับรถมารับเธอ พอเช้าก็มีคนมาส่งเธอ ผมไม่มีโอกาสไปส่งเธอเลยเพราะเธอมันคุณหนูส่วนผมมันจน ต้องโหนรถเมย์ เวลาไปไหนถ้าอยากไปกับใครก็เอาอีแก่ของพ่อขับไป...เฮ้อ...
"คุณกฤษคะ เอ่อ...โจทย์ข้อนี้ฬนนไม่เข้าใจเลยค่ะสอนหน่อยได้ไหมคะ"
เหมือนคุณฬนนจะเปิดทางให้ผมเลยแต่ก็ดู ๆ แล้วเธอคงไม่คิดกับผมแบบนั้นหรอก เราก็แค่สนิทกันเรื่องเรียนเท่านั้น...ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว เพียงแต่ผมคิดกับเธอไปฝ่ายเดียวเท่านั้น... ฐานะผมมันก็แค่นี้จะไปดีเลิศเท่าลูกคุณหนูได้ยังไงกัน
เวลาผ่านไปปีกว่าพวกเราเรียนจบปริญญาตรีเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ผมก็หางานทำไม่ได้เพราะช่วงนี้มีแต่คนจะเลิกจ้าง สภาวะเศรษฐกิจมันย่ำแย่ผมก็เลยไม่รู้จะไปทำอะไร อยู่โรงงานทอผ้าน่ะเหรอไม่เอาหรอก เจอแต่สาวโรงงานน่าเบื่อจะตาย ผมก็เลยไปสมัครงานเป็นพนักงานขาย จิวเวอร์รี่ที่ห้างแห่งหนึ่ง เพราะผมคิดว่าอย่างน้อย ๆ เมื่อไม่มีเธอผมก็มองสาว ๆ ได้อีกเยอะแยะเพื่อจะได้ลืมเธอเสียที เพราะผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่เคยชอบผม เธอคิดกับผมแค่เพื่อนเท่านั้น... แต่ผมมันหมาเห็นเครื่องบิน เฮ้อ...อย่าไปคิดถึงมันเลยพูดแล้วปวดหัวเปล่า ๆ...
"สวัสดีครับจะรับเครื่องประดับแบบไหนดีครับแล้ว...เอ่อ...ใช้ในโอกาสอะไรครับ"
ผู้หญิงคนนี้จ้องหน้าผมแปลก ๆ แล้วก็ถามผมแปลก ๆ
"น้องพี่ถามหน่อยเถอะ น้องทำไมถึงใช้นามสกุลนี้ได้ก็ในเมื่อนามสกุลนี้พ่อของพี่เขาบอกว่าเป็นนามสกุลที่ตั้งขึ้นเองนี่นา แล้ว...เอ..."
"ก็นี่มันนามสกุลพ่อผมครับ...ถามแปลก ๆ นะเนี่ย..."
"คือพี่ก็ใช้นามสกุลนี้เหมือนกัน...พ่อน้องชื่ออะไรเหรอ"
"พ่อผมชื่อวศิลป์ แต่เป็นลุกกับภรรยาใหม่ของท่าน...คุณแม่กระจงแล้วถ้าพี่ใช้นามสกุลเดียวกับผมคุณพี่ก็น่าจะเป็นลูกของคุณแม่พิมพ์ใจใช่ไหมครับ "
"อืม...ฉลาดนะ แต่นายรู้เรื่องของครอบครัวพี่ได้ไงเนี่ย"
"คือคุณพ่อท่านพูดถึงบ่อย ๆ น่ะ"
"อืม...งั้นก็ดีพี่ขอเบอร์โทรของพ่อหน่อยได้ไหม"
"ไม่เชื่อผมเหรอ..."
"ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่พี่ไม่ได้เจอท่านมานานพี่คิดถึงท่านน่ะ"
"อ๋อ...ผมเข้าใจ แล้วพี่คือ..."
"พี่กิ๊กจ่ะนายกฤษ"
ผมดีใจมาก ๆ เลยที่ผมได้เห็นพี่สาวคนเล็กของคุณพ่อเป็นครั้งแรก ผมเคยได้ยินแต่ชื่อเพิ่งเห็นตัวจริงก็วันนี้นี่เอง เธอทั้งสวยและเก่งเพราะเธอไปเรียนโทที่เมืองนอกโดยมีพี่ชายส่งเรียน แต่พักหลังเธอก็ส่งตัวเองเรียนนะ โอ้โหเก่งเป็นบ้าเลย ตอนนี้ก็เป็นดีไซเนอร์ชื่อดังอยู่บริษัทเค โก้เป็นบ้า... วันนี้พี่เขามาซื้อกำไลข้อมือให้เป็นของขวัญแด่คุณแม่พิมพ์ใจ ผมจึงเลือกเรือนทองคำขาวเป็นลายฉลุพิเศษให้ ประดับด้วยเพชรซีก น่ารักทีเดียวเหมาะกับคนมีอายุ