เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 8 )
สุชาดา โมรา
บุกเดี่ยวมาก็หลายครั้งหลายหนคราวนี้ขอบุกเป็นทีมก็แล้วกัน... ฉันยังมีความฝันอีกหลาย ๆ อย่างที่จะต้องทำให้สำเร็จเพื่อจะได้ชนะใจตนเองเสียที ฉันอยากที่จะไปคว้าดวงดาวที่กำลังรอฉันอยู่บนนั้น ถ้าหากว่าแม็ทนี้ฉันมีชัย ฉันจะได้ก้าวเข้าไปสู่การแข่งขันระดับใหญ่ ๆ คราวนี้ละฉันจะสร้างชื่อเสียงให้ทั่วประเทศได้รับรู้ว่าฉันก็เป็นหนึ่งในตองอูเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นแค่เศษกระดูกอ่อนที่จะถูกพวกรุ่นใหญ่ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามเมื่อไรก็ได้... ฉันมั่นใจว่าฉันจะต้องทำได้
ทุก ๆ เย็นฉันรีบไปสมาคมเพื่อซ้อมยูโดด้วยความตั้งอกตั้งใจ แต่วันนี้เป็นวันที่ฉันตั้งใจเป็นพิเศษ ฉันเข้ากลุ่มกับพี่ขวัญ และพี่โบ ฉันรู้สึกว่าเราเข้ากันได้ดี แต่เสียอย่างเดียวคือเราต้องไปแข่งระดับรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักเพราะน้ำหนักแต่ละคนไม่เท่ากันเลย ฉันจึงต้องฟิตร่างกายเป็นพิเศษ ฉันจะอดทนและตั้งใจเพื่องานนี้โดยเฉพาะ...
"เอี้ย....!!!"
เราหัดทำเสียงข่งขู่คู่ต่อสู้ให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น นับว่าเสียงพวกเรานี่ใช้ได้ทีเดียว ดังกระหึ่มห้องไปหมด ทำให้เรารู้สึกว่ามีกำลังใจขึ้นเยอะ เราแรนโดรี่กัน หาจังหวะทุ่ม หาข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ และก็หาเทคนิคใหม่ ๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะคิดท่าไม้ตายออกมา แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันมันก็แค่เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นได้ไม่ถึง 7 เดือน ก็เลยไม่มีหัวพลิกแพลงอะไรใหม่ ๆ ออกมาใช้
หลังจากเลิกซ้อมแล้วอาจารย์ดนัย อาจารย์โจ อาจารย์ยอร์ท อาจารย์ไก่ อาจารย์เขียง อาจารย์ปุ๋ย และอาจารย์นิพนธ์ เรียกฉันไปพบ
"ดาว...ครูว่าเธอยังขาดทักษะอยู่มากทีเดียว รวมทั้งเทคนิกพิเศษด้วยอืม...ครูปรึกษากันแล้วพวกครูจะฝึกซ้อมให้เธอเป็นพิเศษเพราะเธอเป็นคนหัวเร็ว มองแป๊บเดี๋ยวก็ทำได้"
อาจารย์ดนัยพูดขึ้นท่ามกลางผู้คนมากมายในเบาะยูโด อาจารย์ทั้ง 7 ท่านจึงขึ้นไปเล่น
แรนโดรี่ให้ดู ฉันเองก็นั่งอยู่ที่ขอบเบาะสีแดง คู่แรกเป็นอาจารย์โจกับอาจารย์ยอร์ท พอฉันมองฉันก็เริ่มจับจุดได้ หลังจากนั้นอาจารย์ดนัยก็ให้ฉันขึ้นไปเล่นกับอาจารย์โจ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่านั่นเขาเรียกว่าท่าอะไรแต่ฉันก็มั่นใจว่าฉันทำได้
ฉันเดินหาจังหวะของอาจารย์โจ พอจะเข้าไปกระชากคอเสื้ออาจารย์ก็หลบได้เร็วทำให้ฉันต้องเร่งความเร็วมากขึ้น ภายในระยะเวลา 2 วินาทีฉันก็สามารถจับคอเสื้อของอาจารย์ได้ แต่ว่าเสียทีโดนอาจารย์ทุ่มตลอด 5 ครั้ง เนี่ยแหละที่เขาเรียกว่ากระดูกแขวนคอ ระดับทีมชาติอย่างอาจารย์โจแล้วใครจะหาญไปสู้ได้ ถ้าทุ่มได้สักครั้งก็คงเป็นบุญของคน ๆ นั้นแล้วหละ....
"อิปโป้ง....!!!!"
ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะสามารถทุ่มอาจารย์โจได้ในท่าที่อาจารย์ยอร์ทได้ทำให้ดูเมื่อกี้นี้ โอ้...ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย...ฉันแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ฉันโค้งคำนับอาจารย์โจ แล้วก็หันไปคุกเข่าคำนับอาจารย์ยอร์ทที่นั่งอยู่ที่ขอบเบาะแดง ทุกคนในเบาะถึงกับปรบมือกราวเลยทีเดียว
"นี่เป็นท่าที่ครูคิดขึ้นเองเรียกว่าท่ากุซุซิ-อุคิวาซายอร์ทดัมดะตะ แปลว่า การทำให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวแล้วใช้จังหวะเผลอเข้าประชิดพร้อมกับใช้สีข้างทุ่มคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว"
เสียงปรบมือในเบาะดังแบบไม่หยุด ฉันมีความรู้สึกว่าอาจารย์แต่ละคนนี่เก่งสมกับเป็นทีมชาติจริง ๆ... อาจารย์ดนัยเรียกอาจารย์ยอร์ทและอาจารย์โจขึ้นไปอีกครั้งเพื่อเล่นแรนโดรี่ คราวนี้เป็นทีของอาจารย์โจบ้าง ฉันตั้งใจดูอย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างเบาะแดงด้วยความสนใจ ฉันดูจังหวะในการทุ่มและการเข้าประชิดคู่ต่อสู้ จนกระทั่งฉันมองเห็นในจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์โจเห็นจุดอ่อนอาจารย์ยอร์ทจากนั้นฉันก็ตั้งใจดูลีลาจนกระทั่งอาจารย์โจทุ่มอาจารย์ยอร์ทได้
"มาแววดาว...ขึ้นมา"
ฉันเดินไปโค้งคำนับอาจารย์ยอร์ทแล้วก็เข้าประชิดตัวทันที ฉันพยายามกระชากคอเสื้อของอาจารย์แต่ก็โดนหักแขนจนรู้สึกว่าเจ็บ... ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกครั้งแต่คราวนี้ฉันใช้มืออีกข้างป้องกันแล้วสืบเท้าปัดตาตุ่มจนอาจารย์ลอย แต่อาจารย์มีเทคนิกสูงสามารถพลิกตัวกลับมาได้จากนั้นฉันจึงใช้ท่าที่อาจารย์โจทำให้ดูเมื่อกี้แล้วเข้าไปทุ่มอาจารย์โดยท่าต่อเนื่อง
"อิปโป้ง....!!!"
ฉันก็ไม่คิดไม่ฝันอีกเหมือนกันว่าฉันจะสามารถทุ่มอาจารย์โจได้ทั้ง ๆ ที่ฉันพ่ายให้อาจารย์มาโดยตลอด นี่ถ้าไม่ได้อาจารย์ยอร์ทแนะแนวทางนะฉันคงไม่รู้หรอกว่าจุดอ่อนของอาจารย์โจอยู่ตรงไหน ที่แท้จังหวะเผลอนี่เอง คราวหน้าเราต้องทำให้อาจารย์เสียหลักแล้วตามไปทุ่มอย่างต่อเนื่องทันทีเพื่อไม่ให้ไหวตัวทันทั้ง ๆ นี่ก็เป็นเพียงท่าง่าย ๆที่มีการผสมผสานและการทำให้เสียการทรงตัว
เสียงปรบมือจากพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่อยู่ข้างล่างเบาะดังอย่างกึกก้องไปหมด ทุกคนไม่มีใครยอมกลับบ้าน แต่ทุกคนมานั่งดูและให้กำลังใจฉัน...
ฉันคำนับอาจารย์ยอร์ทและหันไปคุกเข่าคำนับอาจารย์โจ
"ท่านี้ครูผสมผสานระหว่างอาราอิ-โกชิกับท่าโอโกชิ-กูโรม่า ครูเรียกมันว่าท่าฮาซูมิอาราอิ-กูโรม่า จำไว้ให้ดี ๆ นะเพราะท่านี้จะเป็นจังหวะที่ใช้กับคู่ต่อสู้ที่แกร่งมาก ๆ และจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเขาเสียการทรงตัวเท่านั้น"
ทุกคนปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง อาจารย์ดนัยให้อาจารย์ไก่กับอาจารย์เขียงขึ้นไปแรนโดรี่กัน ฉันอาศัยความจำจำท่าที่อาจารย์สอนและมาใช้กับอาจารย์จนสำเร็จ อาจารย์คู่ต่อมาคืออาจารย์นิพนธ์และอาจารย์ปุ๋ย ฉันก็สามารถเอาสิ่งที่อาจารย์สอนมาใช้ได้สำเร็จ แต่สิ่งที่หนักใจก็คือการที่ต้องขึ้นไปแรนโดรี่กับอาจารย์ดนัยโดยไม่มีใครชี้แนวทางก่อน มันทำให้ฉันรู้สึกว่ายากจริง ๆ ฉันทำยังไงก็ไม่ผ่านด่านนี้ได้เลยจนรู้สึกว่าเหนื่อยมาก อาจารย์จึงพูดขึ้นประโยคนึง
"เธอเป็นแค่เศษหิน ครูเป็นภูผา"
ประโยคนี้มันทำให้ฉันรู้ทันทีว่าการที่แกร่งกับแกร่งมาเจอกันมันก็ไม่สามารถที่จะหักล้างกันได้ ฉันจึงใช้จังหวะของอาจารย์หลาย ๆ คนมาช่วย จากนั้นก็หาเทคนิกพิเศษของตัวเองและเอาท่าที่ใช้ความนุ่มนวลเข้าโจมตี ฉันจึงนำท่าของไทเก๊กมาใช้ผสมผสานกันและก็คิดท่า ๆ หนึ่งออกมาใช้ท่านี้เรียกว่า ไทเดบะ-ดุซุชิการิ และท่านี้ก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฉันเอง...
เช้าวันใหม่ที่เต็มไปด้วยความสดใส ฉันรู้สึกว่าร่างกายกระปี้กระเป่าพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันนั่งรถของ ร.พ.ศ 2 มาจนถึง ม.รามคำแหง หัวหมาก ฉันรู้สึกว่าที่นี่ใหญ่โตสวยงาม พอมาถึงฉันก็ไปส่งใบสมัครและชั่งน้ำหนักดูว่าเราน้ำหนักรวมกันเท่าไร แต่ที่จริงพวกเราเล่นรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องชั่งก็ได้ แต่ฉันอยากจะรู้เพื่อจะได้คำนวณว่าคู่ต่อสู้จะตัวใหญ่ขนาดไหน ฉันรู้สึกว่าเมื่อ 2 วันก่อนอาจารย์ทุกคนมาช่วยสร้างฝันและให้กำลังใจฉันจนฉันมั่นใจ ไม่กลัวและพร้อมที่จะสู้เพื่อชิงถ้วยพระราชทานมาให้ได้ เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลและสมาคมฯ
เมื่อจับสลากฉันก็ได้รู้ว่ารุ่นไม่จำกัดน้ำหนักทั้งหมดมี 11 ทีม ทีมของฉันจับได้แม็ทที่ 5 ถ้าเกิดว่าแข่งชนะก็จะเหลืออีก 3 ทีมแล้วก็จะต้องไปแข่งอีก 2 ทีมแล้วถึงจะได้ถ้วยฯ ฉันก็ฝันไว้อย่างนั้นว่าฉันจะต้องได้มาสักเหรียญก็ยังดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถ้วยไปครองก็ตาม... ที่จริงเมื่อฉันเห็นหุ่นคู่ต่อสู้แล้วมันทำให้ใจหวิว ๆ เหมือนกัน แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อฉันก้าวมาแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปจะถอยหลังไม่ได้...
ฉันมองดูหลาย ๆ ทีมแข่งกันจนเย็น ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่ธรรมดาเลย ดู ๆ แล้วน่ากลัวชะมัด... และแล้วก็มาถึงทีมของฉันจนได้ ฉันรู้สึกจุก ๆ เพราะเมื่อกี้เพิ่งกินสปาเก็ตตี้มา รู้สึกว่าท้องจะอืดเสียด้วย... เมื่อมือหนึ่งของทีมคือพี่ขวัญสายน้ำตาลปลายดำแข่ง ทั้งคู่ดูสูสีกันมากเพราะพวกเขาสายเดียวกัน ลีลาทั้งคู่ถึงกับทำให้หลาย ๆ คนจับจ้อง นักข่าวก็ถ่ายภาพอย่างไม่หยุด ฉันรู้ว่าแสงแฟตมีผลต่อประสาทตาของพี่ขวัญแต่พี่ขวัญก็ยังคงตั้งสติใช้สมาธิจนสามารถทุ่มคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่าถึง 15 กิโลได้สำเร็จ
......เฮ........!!!! เสียงผู้คนที่มาเชียรดังสนั่นหอประชุม ม.รามคำแหง 1 ฉันรู้สึกว่ากำลังใจเพิ่มขึ้นมาเป็นกอง มือที่ 2 รองจากพี่ขวัญก็คือพี่โบ พี่โบเป็นนักยูโดระดับอาเชียระดับสายน้ำตาลปลายดำเช่นกัน ฉันเชื่อว่าพี่โบต้องทำได้... พี่โบใช้เทคนิกชั้นสูงเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่เป็นสายดำแล้วก็ถูกคู่ต่อสู้ทุ่มได้พลายในพลิบตาด้วยท่ากาต้า ซึ่งท่านี้ถ้าเล่นไม่ดีถึงกับตายได้เชียวนะ แต่โชคดีที่อาจารย์สอนการพลิกตัวและตบเบาะแน่นจึงทำให้พี่โบพลิกตัวทันและไม่ถูกอิปโป้ง การแข่งขันนั้นดุเดือดมากขึ้น ฝ่ายตรงข้ามคำรามเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกเกร็ง ๆ กลัว ๆ แต่ก็ยังคิดว่าจะสู้ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ความมั่นใจเริ่มลดลงแล้วเพราะคนสุดท้ายก็เป็นสายดำเช่นกัน ฉันหวั่นใจเหลือเกิน แต่ก็คิดถึงอาจารย์ที่สอนจนฉันมีแรงและกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
"อิปโป้ง......!!!!"
เผลอแป๊บเดียวพี่โบก็ชนะแล้ว คู่ต่อไปเป็นฉัน ฉันออกไปยืนหลังเส้นแดง คาดสายแดงทับสายฟ้า จากนั้นก็คำนับและก็ก้าวข้ามสายแดงที่ขีดเส้นไป
"ฮาจิเมะ...!!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น ฉันได้ยินเสียงคำรามของคู่ต่อสู้ถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ยังเดินต่อไปเพื่อที่จะไปจับคอเสื้อ ด้วยความที่สายข้างหน้าเป็นสายดำ เขาทั้งเก่งและแกร่ง ฉันพยายามจับคอเสื้อแต่ก็ทำไม่ได้ ในตอนนั้นฉันนึกถึงอาจารย์ดนัยและอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ฉันจึงนำท่าที่ฉันเรียนมาใช้รวมทั้งท่าของฉันด้วย ฉันทั้งเกี่ยว ปัด ทุ่มจนคู่ต่อสู้เสียการทรงตัว จากนั้นฉันจึงเข้าไปซ้ำโดยที่คู่ต่อสู้ไม่ทันจะตั้งตัวทันด้วยท่าที่ฉันคิดขึ้นเองคือท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิ
"อิปโป้ง......!!!!"
เสียงปรบมือและเสียงเฮ...ดังกึกก้อง ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็เดินมาที่ขอบเบาะแดงจากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นเดินไปที่ขอบเส้นแดงและคำนับพร้อม ๆ กันเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรก ผู้ชายคนที่ฉันทุ่มเมื่อกี้เดินมาถามฉัน
"ท่าเมื่อกี้ไปเรียนมาจากที่ไหนเหรอ..."
"ท่านั้นฉันคิดขึ้นมาเอง"
เขาถึงกับตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าเด็กอย่างฉันจะคิดท่าขึ้นมาเองได้ เขาจึงขอแลกที่อยู่กับฉัน และฉันก็ได้รู้ว่าเขาชื่ออ้น อยู่มหิดลแต่มาร่วมทีมกับทีมพระจอมเกล้าฯ เขาสัญญาว่าจะอยู่เชียรฉัน... ที่จริงเมื่อกี้จุกมาก ๆ เพราะเพิ่งกินอิ่ม ๆ แต่เพราะความจุกเนี่ยแหละถึงทำให้ฉันรีบ ๆ แข่งเพื่อที่จะได้พักท้อง พวกเราจับสลากกันอีกครั้ง ฉันได้พักแค่อึดใจก็ต้องไปแข่งต่อหลังจากที่เหลือเพียง 2 ทีมสุดท้าย ฉันรู้ว่ายังไง ๆ ฉันก็ต้องได้ถ้วยใดถ้วยหนึ่งไปครองแน่ ๆ แต่ฉันก็จะแสดงวิญญาณของนักยูโดที่ดีออกมาจนได้ละ
พี่ขวัญมือ 1 ของทีมเริ่มแข่ง คราวนี้คู่ต่อสู้แกร่งกว่าเดิม ต้องใช้สมาธิและเทคนิกส่วนตัวเข้าช่วย จนกระทั่งชนะได้อย่างไม่คาดฝันทั้ง ๆ ที่คู่ต่อสู้เป็นถึงสายดำ ต่อมามือ 2 พี่โบแข่ง คู่ต่อสู้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันเพราะเขาเป็นสายดำ พี่โบดูท่าทางเอาจริงเอาจังมาก กรรมการก็ดูท่าทางจะลุ้นจนสุดตัวทีเดียว ฉันเหลือบไปมองคนที่จะแข่งกับฉันที่ขอบเบาะแดง ฉันรู้สึกว่าฉันโล่งใจที่เห็นคู่ต่อสู้เป็นผู้หญิงและใช้สายระดับเดียวกับฉัน ฉันหันกลับมาอีกครั้งก็เห็นพี่โบยังคงแข้าท่าทุ่มคู่ต่อสู้อยู่อย่างไม่ลดละ พี่โบร้องคำรามดังลั่นจนคู่ต่อสู้สะดุ้ง ฉันคิดว่าเขาคงหนวกหูเลยสะดุ้งนะ แต่นั่นเป็นความคิดในตอนนั้น พี่โบจัดการงัดมือออกมาจากที่เขานั่งขดตัวล็อกตัวเองเพื่อป้องกันการถูกล็อก พี่โบจึงใช้ขาหนีบที่รักแร้และงัดมือออกมาหักแขนจนฝ่ายนั้นต้องตบเบาะ 3 ทีเพื่อยอมแพ้
"วาซาริ-วาซาเตะ-อิปโป้ง....!!!!"
เสียงปรบมือดังกันเกรียวกราว จากนั้นฉันจึงลุกขึ้นคำนับคู่ต่อสู้และเข้าใส่ทันที ดู ๆ แล้วคู่ต่อสู้ไม่เท่าไร แต่เทคนิกดีเหลือเกิน ฉันเข้าท่าทุ่มด้วยท่าไท-โอ-โทชิ แล้วปล่อยให้เขาลุกขึ้น ฉันรู้ตัวว่าฉันได้แค่วาซาริ แต่ฉันก็อยากจะยื้อเวลาออกไปอีกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกแรงมาก ฉันตั้งใจจะใช้แรงของคู่ต่อสู้ทำลายตัวเองและฉันก็ทำได้สำเร็จ เมื่อคู่ต่อสู้ออกแรงมาฉันจึงมุดเข้าคว้าขาจากนั้นก็ใช้แรงคู่ต่อสู้แล้วยกขึ้นทุ่มด้วยท่ากาต้าที่เพิ่งเห็นมาเมื่อกี้นี้ได้สำเร็จ ทำให้เป็นที่ฮือฮาเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยมีใครเห็นคนตัวเล็ก ๆ ที่สายระดับต่ำใช้ท่าชั้นสูง และสามารถทุ่มคนที่น้ำหนักมากกว่าถึง 8 กิโล ทุกคนจึงปรบมือเกรียวกราว
ฉันรู้สึกภูมิใจมากวันนี้ได้คว้าถ้วยไปครองจนได้ เฮ....ฉันกู่ก้องร้องในใจด้วยความดีใจ เมื่อรับถ้วยเสร็จก็ค่ำพอดี ฝนก็ตกโปรยปรายอ้นผู้ชายคนเมื่อกี้เขามาชวนฉันไปเที่ยวห้าวฝั่งตรงข้าม ฉันจึงได้ถ่ายรูปสติกเกอร์เป็นครั้งแรก เพราะขณะนั้นการถ่ายรูปสติกเกอร์เพิ่งเข้ามา แต่ยังไงก็ตามเด็กลพบุรีอย่างฉันก็มีโทรศัพท์ใช้ก่อนที่ใครหลาย ๆ คนในกรุงเทพฯจะมีใช้เสียอีก เพราะฐานะทางบ้านก็ไม่ได้เลวร้ายนัก นอกจากจะมีมือถือแล้วยังมีเพจเจอร์อีกด้วยเพราะช่วงนั้นเขากำลังเป็นที่นิยมกัน
ฉันมีความสุขมากที่ได้เที่ยว เพราะนาน ๆ ที่ฉันถึงจะได้มาเที่ยวกับเพื่อนและผู้ชาย ปกติแล้วก็ไม่เคยไปไหนกับใครนอกจากแม่ พี่นัทและพี่ดอน เมื่อพูดถึงพี่นัทมันก็ยิ่งทำให้ฉันหวั่นไหว ฉันรู้สึกว่าอยากเจอพี่เขาเหลือเกิน...
กลับจากกรุงเทพฯคราวนี้ ได้บทเรียนหลายอย่างเหลือเกิน ได้ท่าใหม่ ๆ มาเล่น ได้เพื่อนใหม่และยังได้เที่ยวด้วย ฉันนั่งรถมาจนง่วงและก็หลับไป ตื่นมาอีกทีก็ถึงบ้านของพี่โบ ฉันจึงบอกกับอาจารย์นิพนธ์ว่าฉันจะนอนบ้านพี่โบ ทุกคนลงบ้านพี่โบกันหมด 11 คนที่ไป พวกเราจึงนอนที่นั่นเพราะบ้านพี่โบมีห้องเยอะ กว้างขวางเพราะเขารวย ฉันจึงได้รู้จักพี่ชายของพี่โบซึ่งเป็นนัก
บาสชื่อพี่แบต รวมทั้งเพื่อน ๆ ของพี่เขาด้วยเราจึงสนิทกัน...ฉันง่วงแล้วก็นอนในห้องกับพี่ทิพย์ พี่ขวัญจนลืมโทรไปบอกที่บ้านว่าฉันอยู่ซอย 8 ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน
ตอนเช้าที่สดใส ฉันตื่นมาอาบน้ำทำกับข้าวให้ทุกคนทาน พ่อแม่ของพี่โบบอกว่าฉันทำกับข้าวอร่อยเสียอย่างเดียวคือหวานไปนิด พอทุกคนทานกันเสร็จฉันก็เดินออกไปดูว่าวันนี้มีรถผ่านมาหรือเปล่า ฉันจึงมาเก็บข้าวของเตรียมที่จะกลับบ้านพร้อมถ้วยพระราชทานที่เมื่อวานเพิ่งไปรับมาจากพระบรมฉายาลักษณ์ ฉันเดินลงบันไดบ้านอย่างมีความสุข ส่วนพวกพี่แบตไปกันหมดแล้ว ฉันมีความรู้สึกว่าใครกำลังมองฉันอยู่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นพ่อยืนอยู่ที่บันไดบ้าน พ่อขึ้นไปคุยกับพ่อแม่ของพี่ขวัญแล้วก็เดินยิ้ม ๆ ลงมา จากนั้นก็พาฉันกลับบ้าน
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ทุกคนจึงอยู่กันพร้อมหน้า แม่ดุฉันตลอดเลย ส่วนย่าไม่ยอมพูดกับฉันเอะอะก็บอกว่าจะตีฉันจึงคุกเข่าแล้วคลานเข้าไปใกล้ ๆ
"คุณย่าขา...ดาวขอโทษนะคะ เมื่อคืนมันง่วงค่ะ ฝนก็ตก ดาวเลยนอนบ้านพี่โบ ไม่อันตรายสักนิด จริง ๆ นะคะไม่เชื่อถามคุณพ่อสิคะ"
"อย่ามาทำปากหวานให้ย่าใจอ่อนเลย เมื่อรู้ตัวว่าผิดก็มา..."
"อย่าตีหนูเลยนะคะ นี่ค่ะหนูมีของมาฝาก"
ฉันคว้ากระเป๋าและเปิดออกมาเอาถ้วยพระราชทานยกขึ้นมาให้ย่าดู ย่าถึงกับวางไม้เรียวแล้วก็ยิ้มจนร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ ย่ากอดฉันและให้ฉันมานั่งใกล้ ๆ ย่ากอดฉันไว้แน่นทีเดียว ส่วนแม่กับพ่อถึงกับน้ำตาไหล ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงได้ร้องไห้ แต่ฉันรู้อย่างเดียวก็คือฉันไม่ถูกตีก็พอใจแล้วละ....
"เก่งมากลูก ย่าอยากให้เจ้ามีฝันแบบนี้ตลอดไป ฝันแล้วต้องทำให้ได้..."
คำพูดของย่ายังคงอยู่ในหัวใจของฉันตลอดมา... ชื่อเสียงของบ้านเราเริ่มดังขึ้น หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวหน้า 1 ทุกฉบับ ทำให้ชาวบ้านต่างก็มาซักถามและอยากเรียนยูโดมากขึ้น ขณะนี้ฉันมีความสุขเหลือเกิน คราวหน้าจะมีการแข่งอะไรนะ ฉันรู้สึกว่าเลือดและวิญญาณในตัวฉันเรียกร้องที่จะสู้เต็มทนแล้วละ
แววดาวจะไปได้ถึงดวงดาวหรือไม่ ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เหมี่ยวจะยังตามราวีเธอหรือเปล่า...โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ รับรองว่าเรื่องจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ทีเดียว...
อย่าลืมอ่านตอนต่อไปนะคะ ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ....
จากใจผู้แต่ง
อยากให้เพื่อน ๆ ช่วยติดตามผลงานและส่งแรงเชียรให้สาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้ด้วย แววดาวสู้ตาย....ตลอดเรื่อง สู้ สู้ สู้ ช่วยกันอ่านช่วยกันเชียนด้วยนะคะ ตอนนี้กำลังคิดภาค 2อยู่ค่ะ ชื่อเรื่องนิยามรักแห่งสายรุ้งเป็นภาคลูกของแววดาวนะคะ อย่าพลาดค่ะ...ขอขอบคุณที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดนะคะ