ฤทธิ์อภิญญา.....ตอนที่ 6

วสุนทรา

หม่อมฉันเห็นเด็กน้อยทั้งสาม น่ารักยิ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นบุตรแห่งพระองค์ 
เอาล่ะ ท่านไปได้แล้ว คราวต่อไปถ้าลูก ๆของเรามาก็ให้เขาเล่นที่นี่ได้ บอกแก่สหายของท่านด้วย ช่วยดูแลรักษาเขาทั้งสาม อย่าได้มีอันตราย 
หม่อมฉันกราบทูลลาพระเจ้าข้า 
เมื่อพญาครุฑราชจากไปแล้ว เด็กน้อยสามก็ก้มกราบแทบเท้าของคนตัวใสด้วยความเคารพนอบน้อม 
ลูกทั้งสามขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านพ่อเจ้าค่ะ 
คนตัวใสคล้ายล่วงรู้ความในใจของเด็กทั้งสาม 
ลูกคงสงสัยซินะ ว่าพ่อเป็นใคร พ่อจะบอกให้ ขึ้นชื่อว่าป่าหิมพานต์ทั้งหมดนี้มีพ่อเป็นใหญ่ สิ่งมีชีวิตในนี้ไม่ว่า นาคะ คนธรรพ์ พญาครุฑ และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นบริวารของพ่อ 
เสือ สิงห์ เก้ง กวาง ในป่าแห่งนี้ เสมือนหนึ่งเป็นมิตรสหาย สถานที่แห่งนี้มีทรายเป็นทองคำ เสือ กวางเป็นเพื่อนกัน ว่าง ๆพ่อจะพาไปดู 
เสือที่ลูกเจอเมื่อครู่นี้เป็นเสือปลอมนะลูก จริง ๆแล้ว ตัวเขาสูงมาก สูงเสียดฟ้า คิ้วขาวยาวหลายวา วันหลังที่ลูกมาเล่นที่นี่บ่อย ๆ ก็จะเจอ เขาซุกซน ชมชอบล้อเล่นกับเด็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กซุกซนเช่นลูก 
อยากไปเที่ยวบ้านพ่อรึ เวคิน 
เวคินยิ้มอย่างกระดาก เขาเพียงแค่คิดเท่านั้น 
งั้นพ่อจะพาไปแต่ลูกทั้งสามต้องหลับตาก่อน ถ้าพ่อบอกให้ลืมตาค่อยลืมตา 
ทั้งสามหลับตาลง ทุกอย่างมืดสนิท หากเพียงหนึ่งในเสี้ยววินาที ก็ได้ยินเสียงคนตัวใสดังข้างหู 
ลืมตาได้แล้วลูก 
เมื่อเด็กน้อยทั้งสามลืมตา ก็ถูกภาพเบื้องหน้าสะกดจนตะลึงลาน 
ปรากฎแก่คลองจักษุ ได้แก่ สวนดอกไม้แก้วแพรวพราวระยิบระยับ ส่งกลิ่นหอมรวยระริน ถัดจากสวนเป็นสระน้ำใสสะอาด ดอกบัวแก้วกลางสระสะท้อนประกายเจ็ดสีสวยงามจับตา 
ณ พื้นที่พวกเขายืนอยู่ หาใช่พื้นพิภพ หากแต่เป็นพื้นแก้วเจ็ดสีทอดไปยังมณฑปปราสาทที่ใหญ่โตมโหราฬ กึ่งกลางมณฑปมียอดหลายยอดเรียงลดหลั่นกันไปตามลำดับจากน้อยไปใหญ่ แต่ละยอดนอกจากมีประกายสีรุ้งแวววับ ยังมีประการสีทองคล้ายทองคำเปล่งรัศมีออกมาอย่างหน้าประหลาด แปลกที่ประกายเหล่านั้นแม้สว่างจ้าหากไม่แสบตา 
เข้าไปในบ้านพ่อก่อน แล้วพ่อจะตอบคำถามที่ลูกสงสัย 
สิ้นเสียงคนตัวใส ทั้งสามก็มาอยู่ในมณฑปปราสาทนี้แล้ว กึ่งกลางมีแท่นแก้ว ที่คนตัวใสนั่งอยู่ ภายในมีเสาขนาดใหญ่ ที่ประดับด้วยแก้วส่งประกายยิ่งกว่าเพชร ลายกนกงดงามอ่อนช้อยปราณีต จนยากจะพรรณาออกมาได้ 
ทั้งสามนั่งอยู่ต่อหน้าคนตัวใส หากแต่รู้สึกท่านพ่อตัวหย๊ายหยาย 
เจ้าทินกรจอมเจรจาก็พูดขึ้น 
ปราสาทของท่านพ่อส๊วยสวย ลูกเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น 
บ้านพ่อไม่ได้เรียกว่า ปราสาทดอกลูก ที่นี่เขาเรียกกันว่า วิมานแก้วมณีรัตนเจ็ดประการ อย่างที่ลูกเห็นมีประการออกมาจากวิมานพ่ออยู่เจ็ดสี ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่โลกของลูกมี อยู่ไกลจากโลกของลูกมาก หากมองจากที่นี่พ่อเปรียบนะ โลกของลูกมีขนาดเท่าลูกมะนาว 
 ที่แห่งนี้ล้วนเกิดด้วยอำนาจแห่งผลบุญยามพ่อเป็นมนุษย์ และคงสภาวะอยู่ด้วยความเป็นทิพย์ แต่ว่า ลูกรัก สถานที่แห่งนี้หาใช่สิ่งที่พึงปรารถนา เพราะ ไม่ใช่สิ่งถาวรเที่ยงแท้ ยามใดที่พ่อหมดอายุขัยปีทิพย์ เมื่อนั้นสถานที่แห่งนี้ก็จะอันตราธานหายไป 
สิ่งที่ลูกเห็นอยู่นี้ สามารถเกล่วเป็นภาษาของลูกได้อย่างไรจึงจะเห็นภาพพจน์เจ้าค่ะ เวคินถามอย่างฉลาด 
 สิ่งนี้เรียกว่า รูปในนาม สภาวะรูปในนามได้แก่กายของพ่อที่ลูกเห็น กายสัตว์นรก กายอบายภูมิ ยกเว้น สัตว์เดรัจฉานที่จัดอยู่ในอบายภูมิภูมิ 4 อันมี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มีแต่เพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้นที่มีธาตุขันธ์เฉกเช่นเดียวกับลูก 
แต่สภาวะกายของพ่อเป็นของจริง เป็นตัวตนแท้ที่เรียกว่า จิต หรืออทิสทิสมานากาย คือมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ที่ลูกยังเห็นรูปร่างของพ่อเพราะพ่อสามารถบังคับให้กายพ่อหยาบขึ้นลูกจึงเห็น แต่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น 
หากแต่เมื่อใดที่พ่อกำหนดให้ละเอียดที่สุด ลูกแทบจะมองไม่เห็นพ่อเลย นั่นไม่ได้หมายความว่า จิตพ่อสูญนะลูก ยังคงมีอยู่แต่ว่ามันละเอียด เพราะเกิดจากอณูพิเศษมารวมกัน ไม่มีผู้ใดสร้าง เกิดขึ้นมาเอง 
วิมานของท่านพ่อหญ๊ายหญาย ท่านพ่ออยู่คนเดียวหรือเจ้าค่ะ กวินถามบ้าง 
ไม่หรอกลูก พ่อมีบริวารมากมาย แต่พ่อไม่ได้ให้เขาปรากฏกายให้ลูกเห็น 
อย่างนี้วิมานของท่านพ่อจะมีที่พอหรือเจ้าค่ะ 
คนตัวใสยิ้มน้อยๆ หากแต่ประทับจิตประทับใจ 
ไม่ใช่อย่างที่ลูกคิดกวิน วิมานของพ่อย่อ ขยายได้ ตามใจปรารถนา คำว่าคับแคบจักไม่ปรากฏในที่แห่งนี้ 
งั้นท่านพ่อก็ต้องดูแลเลี้ยงดูอาหารการกินพวกเขามากโขซีเจ้าค่ะ ทินกรถามมั่ง 
พ่อบอกลูกแล้วว่า ที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับโลกของลูก สภาวะทุกอย่างในที่แห่งนี้แตกต่างจากโลกของลูกโดยสิ้นเชิง พ่อไม่ต้องกิน ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องถ่าย เพราะร่างพ่อเป็นกายละเอียด ร่างกายของคนในโลกลูกนั้นเป็นกายหยาบ ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ซึ่ง กายของพ่อไม่มี 
ลูกสงสัยอย่างหนึ่งว่า ทำไมเวลาท่านพ่อคุยกับลูกท่านพ่อไม่ขยับเขยื้อนปาก แต่ลูกรู้ทุกอย่างเข้าใจทุกอย่างที่พ่อพูด คล้ายกับเสียงนั้นดังข้างหู หรือผุดขึ้นมาเอง เวคินถามขึ้น 
ท่านที่อาศัยในที่นี้ย่อมไม่ได้ใช่ภาษาที่โลกลูกพูดกัน เรียกง่าย ๆคือ ใช้ภาษาจิต จิตคิดอะไรก็รู้ และโต้ตอบกันทันทีด้วยจิตที่เป็นทิพย์ 
เมื่อกี้ที่พ่อบอกว่า จิต หรืออทิสมานกาย นั้นมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หลวงปู่ก็เคยบอกกับลูกอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเวลาพ่อไปยังโลกของลูกก็ไม่มีใครเห็นกายของพ่อสิเจ้าค่ะ ทินกรน้องน้อยเจรจาบ้าง 
ไม่เสมอไปหรอกลูก คนที่มีจิตคลุกเคล้าไปด้วยกิเลสตัณหา ไม่มีศีลไม่มีธรรม ย่อมมองไม่เห็นกายของพ่อ แต่คนที่เขาฝึกอย่างลูก คนที่มีวิชชาสาม มีอภิญญา 5 อภิญญา 6 หรือ ท่านที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณ ผู้มีญาณทัศนะ ย่อมมองเห็นกายของพ่อ สามารถคุยกับพ่อและสามารถเห็นสภาวะแห่งความเป็นทิพย์นี้ได้ 
แต่ท่านที่ไม่มีความสามารถในด้าน ญาณทัศนะ หากแต่เป็นบุคคลผู้ประพฤติดีงาม เป็นกัลยาชน เป้นผู้เคารพในพระรัตนตรัยเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ประโสดาบันไปจนถึงพระอรหัตผล ในสายแห่งสุขวิปัสสโก ย่อมมองไม่เห็นพ่อ แต่ขณะใดก็ถามที่เขานึกถึงพ่อ หรือนึกถึง เทพ พรหม องค์สักกะเทวราช หรือ แม้แต่พระอรหันต์ที่ท่านนิพพานไปแล้วนั้น พ่อหรือท่านต่าง ๆ ย่อมจะมาหาลูก อยู่ข้าง ๆ กายเขา แต่เขามองไม่เห็น แต่ก็มีกรณีพิเศษลูกรัก หากเรามีกิจที่จะต้องสงเคราะห์เขาพ่อก็สามารถปรากฏกายให้เขาเห็นได้ 
แต่ว่าถ้าบุคคลใดเกิดความกลัวขึ้น พ่อรู้วาระจิตเขาทุกอย่าง ย่อมไม่ปรากฏกายให้เขาเห็นลูก 
แล้วลูกต้องทำอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ จึงจะมีวิมานสวย ๆ แบบท่านพ่อ กวินถามด้วยความอยากรู้ 
เรื่องเหล่านี้เป็นของไม่ยากลูกรัก คนทุกคนในโลกของลูกสามารถที่จะมีวิมานสวย ๆอย่างพ่อ ถ้าเขาตั้งใจทำความดี รักษาศีล มีกรรมบท 10 ครบถ้วย มีหิริและโอตตัปปะ ความละอายและเกรงกลัวผลของความชั่ว ถ้าเขาทุกคนทำได้อย่างนี้นะลูกรัก เขาจะมีวิมานสวย อย่างพ่อ 
และถ้าเขาต้องการมีวิมานที่สวยกว่าพ่อหลายร้อยเท่า พวกเขาจะต้องมีพรหมวิหาร 4 ประจำใจ มีอภัยทาน และทรงฌานสมาธิ ใคร่ครวญในวิปัสสนาญาณ อย่าง ๆที่ลูก ๆทำอยู่นี้ 
หากว่า คนใดก็ตาม ที่เบื่อหน่ายต่อการเกิด ต้องการพ้นทุกข์ สิ้นเชิงจากวัฏฏสงสาร ก็ต้องทำในด้านของบารมี 10 และสังโยชน์ 10 ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เมาโลก ก็จะพ้นทุกข์อย่างถาวร 
เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ลูกกลับไปก่อนที่โลกของลูกจะเช้าแล้ว ถ้าไม่ได้พักผ่อนกายขันธ์ของลูกจะเพลีย หลวงปู่ท่านรอลูกอยู่นะ 
เด็กน้อยทั้งสามก้มลงกราบคนตัวใส พอกราเสร็จก็พบว่ามาอยู่หน้ากุฏิแล้ว และเป็นเวลาใกล้เช้าพอดีอย่างที่คนตัวใสพูด 
หลวงปู่นั่งรออยู่บนชานของกฏิ พร้อมกับหัวเราะหึ ๆๆ 
เป็นไงว่ะ อาจารย์เอ็งพาไปทัวร์ หนุกไหม.พวกเองเข้าฌานหลับสักงีบจะได้สดชื่น แล้วไปหาข้าบนถ้ำนะ วันนี้ยังไม่สอนต่อ จะพาไปทัวร์.มีคนเขาบนอยากพบพวกเอ็ง 
หลวงปู่พูดจบก็เดินลงจากกุฏิ ทั้งสามกราบหลวงปู่งาม ๆ แล้วท่านก็เดินช้า ๆเข้าไปในป่าตามเดิม 
(จบตอนที่ 6 )				
comments powered by Disqus
  • พุด..พัดช้า

    11 พฤษภาคม 2547 22:41 น. - comment id 74099

    สุดยอดเยี่ยมในยุทธจักร
    นักธรรมแล้วค่ะ
    พุดจะพริ้นท์อ่านรวบยอดนะคะ
    รักและคิดถึงมากกกกกกกกกก
  • วสุนทรา

    12 พฤษภาคม 2547 12:15 น. - comment id 74112

    ขอบคุณจ้าพุด คิดถึงพุดเช่นกันจ้ะ  รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
    
    ...เออ..พุดเดี๋ยวนี้กลายเป็น พัดช้า ไปแล้วเหรอคะ..อิอิ   เย้าเล่นๆๆๆ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน