การปฏิบัติธรรมที่เราคิดตั้งแต่แรกว่า คงไม่เปลี่ยนแปลงตัวเรามากมายนั้น เป็นการเข้าใจของเราเพียงผู้เดียว มีบางคนที่ไปไม่ถึงไหนเลย ผ่านมาถึง 4 วัน ยังไม่ผ่านการรู้สึกตัว ยังหนาว ยังเจ็บ ยังปวด ยังง่วง หลวงพ่อท่านอธิบายตรงนี้ว่า มันขึ้นอยู่กับการปล่อยวาง หากไม่สามารถปล่อยวางได้ สมาธิ ปัญญาก็จะไม่เกิด การปล่อยวางในที่นี้หมายถึงปล่อยวางทางด้านจิตใจ คนเราส่วนใหญ่จะยึดติดความคิดตัวเอง การหยุดไม่ให้คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ย่อมทำได้ยาก หรือทำไม่ได้เลย แต่หากเรารู้จักการควบคุมความคิด ให้รู้จักตามอารมณ์ความรู้สึกให้ทัน เราเองเข้าใจว่า เราสามารถควบคุมตรงนี้ได้ แต่เมื่อมาคิดให้ลึก ๆ แล้ว เรายังห่างไกลมากนัก แค่เรานึกถึงเรื่องนี้ เรายังไม่ทราบเลยว่า อารมณ์ที่เราเกิดการยินดีนั้นมันเกิดขึ้นในใจแล้ว ซึ่งจริง ๆ ไม่ถูกต้องเพราะ การยินดีเป็นอารมณ์ที่เราควรตามมันทัน แต่นี่เพียงเราคิดมันยินดีแล้ว ตามมันไม่ทันซักที หากเป็นบุคคลอื่น ที่เขาสามารถปฏิบัติได้ถึงจุดหนึ่งแล้ว จะตามอารมณ์เหล่านี้ทันเสมอ ก็ให้อยู่ในระดับกลาง ๆ อย่างที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่า เย็นไม่คิด ร้อนไม่คิด สุข ทุกข์ ล้วนไม่คิด เพราะถ้าคิดแล้วอารมณ์ต่าง ๆ ย่อมตามมาเสมอ ผ่านเข้าวันที่ 5 ของการปฏิบัติธรมแล้วนะคะ เรามาถึงจุดหนึ่งที่เราเรียกเองว่า ความสุข ในที่นี้เราใคร่เรียนให้ทราบว่า เป็นความสุขทางใจ ที่ไม่สามารถเกิดกับคนได้ทุกคน แม้คนคนนั้นจะมีแก้วแหวนเงินทองมากมาย ใช้อย่างไรก็ไม่หมด แม้แต่คนที่คิดว่าตัวเองมีพร้อมแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่สามารถจะมีสุขชนิดนี้ได้ ด้วยความสุขที่เกิดขึ้นกับใจเราแบบนี้ เราถามหลวงพ่อท่านตอบว่าเป็นปิติ คนส่วนใหญ่มาติดอยู่ตรงนี้ ติดปิติ จนไม่สามารถก้าวข้ามไปถึงไหน ปิติที่เกิดจากการปฏิบัตินั้น ตามความรู้สึกของเราแล้ว ใคร่ขออธิบายไว้ดังนี้นะคะ เวลาที่เราก้าวเดิน มันเบามาก เหมือนลอย ซึ่งจริง ๆ แล้วเราก็เดินตามปกติ เพียงแต่เรารู้สึกตัวทุกครั้งที่ก้าวเดิน ทราบว่าจะวางเท้าอย่างไร แกว่งมือแบบไหน เป็นการทำด้วยความรู้สึกตัวจริง ๆ การพูด เสียงพูดที่เปล่งออกมา จะมาจากส่วนลึกภายในร่างกาย จะเบา นุ่ม กริยาท่าทางต่าง ๆ จะเป็นไปแบบรู้สึกตัว ใคร่ขอยกตัวอย่างไว้ดังนี้นะคะ เช่นการขึ้นลงบรรไดบ้าน เราเคยวิ่งขึ้นลงบรรไดบ้านวันหนึ่งหลายรอบ หากเรารู้สึกตัวถึงการขึ้นบรรไดบ้านจริง ๆ เราจะทราบทุกอย่างเกี่ยวกับบรรไดบ้านของเรา ลองถามตัวเองดูซิว่า บรรไดบ้านที่ท่านขึ้นลงประจำ มีกี่ขั้น ตรงไหนที่มีตำหนิบ้าง ก็ท่านวิ่งขึ้นวิ่งลงทุกวันไม่ใช่หรอ น้อยคนนักที่ตอบได้ว่าบรรไดบ้านมีกี่ขั้น เพราะที่ท่านวิ่งขึ้นวิ่งลงทุกวันน่ะ เป็นการทำเพราะความเคยชิน ไม่ใช่การรู้สึกตัว ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ จะแตกต่างกันมาก(ไว้มีโอกาสจะอธิบายตรงนี้ให้ทราบนะคะ) เราลืมคนที่ทำให้เราเจ็บปวดแทบไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะเรายึดติด ว่า เค้าต้องเป้นคนดี เป็นคนแบบที่เราต้องการ เรายึดติดตรงนี้มาก จนเราไม่สามารถจะเติมสิ่งบกพร่องต่าง ๆ ของเค้าลงไปได้ พอจะเติมลงไป เราปิดกั้นตัวเองตลอด ไม่ยอมรับความคิดใหม่ ๆ เข้ามาสู่ตัวเอง หากเมื่อเราทำใจให้ว่างได้ สิ่งต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาในความคิด ล้วนถูกกลั่นกรอง จากความรู้ที่เราได้จากการปฏิบัติธรรม สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรที่เราสมควรเก็บ หรือถ่ายโอนออกไปจากหน่วยความจำของเรา เหมือนกับหลุดไปสู่อีกโลกหนึ่งที่เราไม่เคยสัมผัส นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นของการได้มาซึ่งปัญญา ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม ซึ่งหากเราสามารถฝึกถึงขั้นสูง ๆ แล้ว หน่วยความจำที่ดีจริง ๆ จะต้องว่างเปล่า ปราศจากความรู้สึกทุกอย่าง รับอารมณ์อะไรเข้ามาก็สามารถผองถ่ายออกจากตัวเองได้ในเวลารวดเร็ว ทุกข์หรือ ก็ทราบว่าทุกข์เป็นแบบนี้ก็อย่าไปทุกข์ปล่อยมันไป สุขหรือ ก็ทราบว่าสุขเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องสุขปล่อยมันไป ไม่ว่า ความรู้สึกจะมาในลักษณะไหน เราสามารถจัดการ(ในทางธรรมเรียกว่า ตามอารมณ์ต่าง ๆ ได้ทัน)ได้ทุกอย่าง เรายังไม่ถึงจุดนั้นหรอกนะคะ เพราะเรามาถึงปิติ เราก็ไม่ผ่านไปสู่สิ่งที่ดีกว่าปิตินั้นได้ การปฏิบัติธรรมจริง ๆ แล้วตามตำราที่หลวงพ่อต่าง ๆ ท่านสอนไว้ นั้น เป็นการหาสิ่งที่เป็นเหตุของการเกิดทุกข์ทั้งหมด หาเพื่อดับที่สาเหตุนั้น ๆ จริง ๆแล้วตามความรู้สึกของเรา ที่เข้ารับการปฏิบัติธรรม เราคิดว่า การปฏิบัติธรรมจริง ๆ เป็นการทำความสะอาดจิตใจ ของคนคนนั้น เพื่อรองรับสาเหตุของการเกิดทุกข์ หรือเกิดสุขต่าง ๆ หากจิตใจเราสะอาดแล้ว ไม่ว่าทุกข์ หรือสุข เราล้วนรับได้เสมอ จริงป่าวคะ คราวหน้าเราจะพูดถึงรายละเอียดของ ปิติ การติดปิติ อาการของปิติ การหลุดพ้นจากปิติ(ตรงนี้เราอธิบายตามที่หลวงพ่อท่านสอนเรา เพราะเราเองจนป่านนี้เรายังไม่สามารถหลุดพ้นจากปิติได้ซักที)
6 พฤษภาคม 2547 16:02 น. - comment id 73924
มาอนุโมทนาบุญจ้ะ แล้วจะตามอ่านๆทุกๆกระทู้ของคุณนะจ๊ะ
6 พฤษภาคม 2547 16:09 น. - comment id 73925
ขอบพระคุณเพื่อนใหม่นะคะ มัทเองจริง ๆ แล้วในปัจจุบัน ก็ไม่ได้เคร่งการปฏิบัติมากมาย เพราะบางส่วนถูกสิ่งแวดล้อมกลืนกินค่ะ เพียงเต่พอจะมีสติเตือนตัวเองบ้างค่ะ ขอบพระคุณอีกครั้งสำหรับน้ำใจ ที่โปรยปรายมาจากคุณวสุนทราค่ะ ด้วยใจ
6 พฤษภาคม 2547 21:31 น. - comment id 73932
พี่สาว..คนนี้ ..ของเรนน่ารักจัง.. เรน..จะตามอ่าน.. ทุกงานเขียน ..นะคะ.. พี่มัท ..เขียนเรื่อง ..ได้น่าอ่านมากเลยคะ.. ..ชื่นชม..พี่สาวคนนี้จัง...
7 พฤษภาคม 2547 05:58 น. - comment id 73935
มาถึงเรื่องบันไดบ้าน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าบันไดบ้านตนมีกี่ขั้น ทั้งที่เดินขึ้นลงประจำอยู่แทบทุกวัน ไม่นึกว่าปิติจะมีอะไรสลับซับซ้อนไปมาเช่นนี้ ผมคิดว่าเมื่อเกิดความสุขใจเกิดขึ้นแล้วแล้วคงมีสุขไปทุกอย่าง อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นด้วยครับ
7 พฤษภาคม 2547 08:06 น. - comment id 73938
เขียนอีกนะคะ เข้ามาอ่านแล้วชื่นใจ สุขใจดีจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักกัลยาณมิตรอีกคนจ้ะ