เสียง กริ่ง ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอก การสิ้นสุดของการเรียนในวันนี้ เด็ก ๆชั้นประถม ของโรงเรียน สหวิทยา พากันกรูออกมาจากห้องเรียน เสียงเจี๊ยวจ๊าวจ๊อกแจ๊กจอแจดังระงม หน้าโรงเรียนมีแม่ค้าแผงลอยนำขนมและของกินต่าง ๆมาวางขาย ไม่ว่าจะเป็น ไอศครีม น้ำแข็งใส ก๊วยเตี๋ยวผัด ก๊วยเตี๋ยวกวางตุ้ง สาระพัด เด็กนักเรียนจับกลุ่มยืนซื้อขนมขบเคี้ยวก่อนกลับบ้าน รถรับส่งนักเรียน ต่างพากันจอดอยู่เต็มบริเวณลานกีฬาข้างโรงเรียน กวิน เด็กชายวัยแปดขวบ ขึ้นนั่งในรถรับส่งนักเรียนคันสีแดง พร้อมกับยื่นมือน้อย ๆมาฉุด เวคิน และทินกร น้องชายคนรอง และน้องชายคนเล็ก เด็กน้อยทั้งสามคนกลับมีใบหน้าประพิมประพายคล้ายกันยิ่ง หากแต่ กวินผิวขาวผ่อง เวคิน ผิวคล้ำนิดๆแต่สวย ส่วนทินกร ผิวเหลืองนวลขมิ้น ใครๆที่พบเห็นเด็กทั้งสามก็อดไม่ได้ที่จะนึกรักนึกเอ็นดู กวินหยิบขนมในกระเป๋านักเรียน แบ่งให้น้อง ๆและเด็ก ๆที่นั่งข้าง ๆอย่างใจดี ขณะที่รถได้แล่นออกไปช้า ๆ เด็ก ๆต่างคุยกันโขมงโฉงเฉงอย่างสนุกสนาน ขณะที่คุยกันเพลิน ๆอยู่นั้น ก็มีเสียงเด็กผู้หญิงกรีดร้องอย่างตกใจ พร้อมกับเสียง โครม ดังสนั่นหวั่นไหว กวิน เวคิน และทินกร รู้สึกว่าร่างของพวกเขากระตุกไปข้างหน้าอย่างแรง จนขนมในมือร่วงหล่น พร้อมกับความรู้สึกที่ร่างถูกแรงอัดมหาศาลมากดทับจนหายใจไม่ออก ภาพเบื้องหน้าพร่ามันและค่อยๆเลอะเลือน หากสิ่งที่ปรากฏขึ้นแทนคือแสงสีขาว สว่างไสว เจิดจ้า จนทั้งสามต้องหลับตาลง เวลาคล้ายผ่านไปนานยิ่งในความรู้สึก ทั้งสามพยายามขยับตัวและลืมตา แต่ทำไมได้ ดูเหมือนร่างกายไม่รับฟังคำสั่งใดๆทั้งสิ้น ความกดดันในตอนแรกค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆจนร่างกายรู้สึกเบาโหวงเหวง ทั้งสามลองขยับตัวและลืมตาขึ้นช้า ๆ ความมืดสนิทปรากฏเป็นอันดับแรก ต่อเมื่อสายตาได้ปรับสภาพจึงเห็นภาพที่ปรากฏอยู่ในคลองจักษุชัดเจน ถ้ำ ทั้งสามอุทานในใจ หากแต่ยังคงมองเพดานถ้ำที่มีหินย้อยสีขาวสล้างเรียงรายอย่างสวยงาม ตื่นแล้วรึลูก เสียงสดใส หากแฝงแววเมตตาดังขึ้น ทั้งสามตกใจ ลุกนั่ง ความงุนงงปรากฏในจิตใจ พระภิกษุชรา สวมจีวรสวย นั่งอยู่บนแท่นหิน ไม่ห่างจากพวกเขาเท่าใดนัก กวิน เวคิน ทินกร รู้สึกคลับคล้ายคลับคราว่า เคยเห็นพระภิกษุรูปนี้ที่ไหนมาก่อน คล้าย..คุ้นเคย.ความรู้สึกอบอุ่นอาบไปทั่วอณูของร่างกายอย่างประหลาด เด็กน้อยทั้งสาม ก้มลงกราบพระภิกษุชราอย่างไม่ขัดเขิน เพราะทางบ้านได้อบรม สั่งสอนให้เด็กทั้งสามเป็นพุทธศาสนิกชนที่งามพร้อม พระภิกษุชรายังคงแย้มยิ้มอย่างเมตตา ประหลาดใจหรือลูก ปู่มาเนื่องเพราะสัญญา ที่รอดมาได้พระท่านช่วย ลูกทั้งสามหลับเสียเถิด ปู่จะพาไปดูสัญญาเดิม กวิน เวคิน ทินกร ไม่เข้าใจความหมายที่ภิกษุชรารูปนี้พูดแม้แต่น้อย หากแต่ความง่วงงุนพลันจู่โจมกระทันหัน หนังตาเริ่มหนักอึ้ง พร้อมกับภาพพระภิกษุชราเริ่มพล่า.เลอะเลือนจนหายไปในที่สุด **************************************************************************** ทิวเขาพนมดงรักทอดตระหง่านง้ำเป็นแนวยาว แบ่งแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขงออกจากกัน สายน้ำโขงทอดตัวคดโค้งไปมา หมอกยามอรุณประหนึ่งม่านบางเบากางกั้นระหว่างท้องฟ้ากับพื้นน้ำ ป่าแถบนี้ยังเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้น้อยใหญ่พากันชูช่อแผ่กิ่งก้านสาขาเพื่อรับสัมผัสอันนุ่มนวลยามเช้าจากแสงอาทิตย์ เสียงดนตรีจากป่าได้เริ่มบรรเลงอีกครั้งเพื่อรับเช้าวันใหม่ จั๊กจั่นตัวน้อยแข่งขันกันขยับปีก เสียงดังสนั่นลั่นป่า เก้ง กวาง พญาช้าง ส่งเสียงร้องก้องเป็นระยะๆ ณ ที่แห่งนี้ มี กุฏิน้อยหลังหนึ่ง ปลูกชานเตี้ยๆยื่นออกมาพอให้คนนั่งได้ สามสี่คน เหนือกุฏิเป็นต้นไม้ขนาดมหึมาแผ่กิ่งครอบคลุมพื้นที่รอบกุฏิออกไปหลายสิบวาอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ไกลเท่าใดนัก ปรากฎพระภิกษุชรา สวมจีวรสีกรักเก่าคร่ำคร่า สะพายบาตรเก่าๆ เดินมาอย่างช้าๆ มาตรว่าพระภิกษุชราจะดูสูงวัยกว่าแปดสิบปี แต่ฝีเท้ากลับมั่นคง กระฉับกระเฉง ดวงตาท่านใสแจ๋วบริสุทธิ์แฝงความเมตตาปราณีอย่างเปี่ยมล้น เห็นท่านก้าวเท้าช้า ๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงหน้ากุฏิน้อยแล้ว พระภิกษุชรานั่งลงบนชานพร้อมกับวางบาตรไว้ข้างๆ รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าที่เมตตาการุณนี้ ท่านคล้ายกำลังรอสิ่งใด และก็คล้ายกำลังมีเรื่องราวสนุกสนานใดเกิดขึ้น ชั่วครู่เสียงฝีเท้าสับสนกับเสียงเอะอะตึงตังดังขึ้นพร้อมกับร่างน้อยๆสามร่างกระโดดพลุ้งขึ้นมายังกุฏิทันที เป็นเด็กชายน่าตาน่าเอ็นดู สามคน ทั้งสามแต่งกายเหมือนกันคือนุ่งโจงกระเบนสีม่วงสวย สวมเสื้อคอกลมสีขาว บนศีรษะน้อยๆ เกล้าผมเป็นมวยเล็ก ๆ ดูน่ารักน่าชังยิ่ง เด็กชายคนแรกดูจะเป็นพี่ใหญ่สุด อายุแปดขวบมีนามว่า กวิน ผิวพรรณขาวผ่อง สดสวย ถัดมาเป็นเด็กชายอายุเจ็ดขวบมีนามว่า เวคิน ผิวคล้ำนิดๆ ที่โดดเด่นมากคือดวงตากลมโตแฝงแววเจ้าปัญญาและดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ส่วนเจ้าตัวเล็กอายุหกขวบมีนามว่า ทินกร ผิวออกเหลืองขมิ้นสวย ตาใสๆแฝงแววซุกซนดื้อรั้น หากว่าอาการของทั้งสามที่ปรากฏต่อหน้าพระภิกษุชรา คือการหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะเป็นคนช่างพูดที่สุด ส่งเสียงแหลมเล็กสดใสขึ้น "หลวงปู่เจ้าขา หลานกับท่านพี่เกือบถูกเสือกินแล้วเจ้าค่ะ " กวินรีบเสริมทัพทันที " จริงนะเจ้าคะ หลวงปู่เสืออาร๊ายตัวหย๊ายหยาย พวกหลานๆถูกมันไล่กวดวิ่งหนีเกือบไม่ทันเลยเจ้าค่ะ " พระภิกษุชราหัวเราะหึๆ ชอบใจก่อนหันไปมองเวคินเป็นเชิงถามว่า " เอ็งไม่มีอะไรจะรายงานข้ารึ " เวคินยิ้มอย่างรู้ทัน ราวกับจะบอกกับหลวงปู่ว่า " หลวงปู่นะหลวงปู่รู้แล้วยังจะมาถามอีก" "บ๊ะ เจ้านี่มันฉลาดเป็นกรด มันตามข้าทันอยู่เรื่อย " กวินและทินกรมองหน้าหลวงปู่สลับกับเวคิน ไม่เข้าใจว่าสองคนนี่กำลังคุยอะไรกันอยู่ ก็หลวงปู่พูดเองเออเอง ท่านพี่เวคินก็มะเห็นพูดสักหน่อย หากแต่ทั้งสองก็ชินอยู่หรอก เพราะหลวงปู่มักรู้เสมอว่า เวลานี้คิดอะไร ทำอะไร ไม่ต้องบอก รู้หมด " ข้าน่าจะบอกให้เสือคาบพวกเอ็งไปกินซะเลย " เจ้าตัวเล็กรีบพูดประจบ "หลวงปู่ไม่รักพวกหลานๆแล้วหรือเจ้าคะ" " หน๊อย ทำเป็นปากดี ปากหวานเจ้านี่ โทษฐานที่ไม่ฟังคำสั่งปู่ โดยเฉพาะเจ้าทินกร ตัวร้ายนัก เจ้ากี้เจ้าการวางแผน ซนหยั่งกะลิง บอกว่าไม่ให้ตามปู่ออกไปก็ยังแอบตามไปอีก คราวหน้าถ้าเอ็งแอบตามข้า จะให้ช้างไล่พวกเอ็งทีเดียว" "ก็หลานอยากรู้นี่เจ้าคะ ว่าหลวงปู่บิณฑบาตรยังไง แถวนี้ไม่เห็นมีคนสักกะหน่อย" เจ้าตัวเล็กตอบเสียงใส " โทษของพวกเอ็งยังไม่หมด.....เป็นไงกุฏิข้า เข้าไปค้นแล้วได้อะไรบ้างห๋า..." ทั้งสามมองฟ้ามองดินมองนู้นมองนี่หลายที "แห๋ม หลวงปู่นี่หูยาว ตายาว เสียจริ๊ง" "ยังจะมานินทาข้าอีก ถ้าเอ็งไม่บอก ข้าก็จะไม่สอนพวกเอ็ง " คราวนี้ทั้งสามหูผึ่งรีบตอบ "บอกแล้วเจ้าคะ" หลวงปู่หัวเราะเอิ๊กอาก "เออๆ......พูดทีละคนซิวะ ไม่ต้องรีบดอก ข้ารู้พวกเอ็งคงเนื้อเต้น" กวินพี่ใหญ่สุดตอบว่า "หลานเจอวิธีฝึกวาโยกสิณเจ้าค่ะ" เวคินตอบว่า "หลานเจอวิธีฝึกอาโปกสิณเจ้าค่ะ" เจ้าตัวเล็กรีบเสริม "หลานเจอวิธีฝึกเตโชกสิณเจ้าค่ะ" " เออ....บ่ายนี้ไปหาข้าที่ถ้ำ แล้วข้าจะสอนวิธีใช้ พวกเอ็งนี่นะวิสัยเก่าติดมาแก้ยังไงก็ไม่หายชอบนักฤทธิ์เดช ปู่ของเอ็งเนี่ยตัวดี ชอบเอาลูกๆหลานๆ เป็นโขยงๆมาฝากข้า ถ้าไม่เพราะปู่เอ็งฝากข้าไว้ ข้าก็ไม่สอนโว้ย คงหิวแล้วซิ" หลวงปู่เปิดฝาบาตรข้างในเป็นข้าวสีเหลืองสวยมีกลิ่นหอมอ่อนๆกับดอกไม้แปลกๆอีกหลายดอก ตั้งแต่จำความได้ทั้งสามก็กินข้าวอย่างงี้แม้ว่าจะกินมื้อเดียวแต่แปลกที่อิ่มตลอดทั้งวันนอกจากนี้เห็นข้าวมีครึ่งบาตรก็เถอะ ต่อให้กินจุแค่ไหนก็พอดีทุกที และที่ทั้งสามประหลาดใจคือเวลาหลวงปู่ตักข้าวให้ทีไร จานเอย ช้อนเอย มันโผล่มาจากไหนไม่รู้ พอกินเสร็จ มันก็หายไปเลย แต่ก่อนเจ้าตัวเล็กเซ้าซี้หลวงปู่ให้สอนทำมั้ง หลวงปู่ได้แต่หัวเราะชอบใจบอกว่า "เอ็งยังเด็กยังไม่ถึงเวลา ถ้าโตอีกหน่อยแล้วข้าจะสอน" ทุกครั้งก่อนกินข้าวหลวงปู่จะสั่งนักสั่งหนา ว่า "อย่ากินเพราะอยาก อย่ากินเพราะรสอร่อย ให้คิดว่า กินเพื่อทรงร่างกายให้มันอยู่ได้ ที่กินทุกวันมันก็กินสิ่งสกปรกทั้งนั้น ข้าวปลูกมาจากดิน ใช้สิ่งปฏิกูลเป็นปุ๋ย มันก็สกปรก ก็ต้องเอาของสกปรกมาหล่อเลี้ยงสิ่งสกปรก คือร่างกาย เอ้า คิดอย่างที่ปู่สอนก่อน ตอนนี้เอ็งยังไม่เข้าใจอีกหน่อยจะเข้าใจเอง" ตั้งแต่นั้นมาทั้งสามก็ต้องคิดอย่างนี้ทุกครั้งก่อนกินข้าว พระภิกษุชราฉันข้าวคำสองคำก็อิ่ม ท่านปิดฝาบาตรชั่วครู่ ก่อนเปิดฝาบาตรอีกครั้ง จากเดิมที่ในบาตรเป็นข้าวกลับกลายเป็นน้ำใสสะอาด มีดอกมะลิสองสามดอก และขันเงินน้อย ๆ ลอยอยู่ ท่านฉันน้ำไปขันหนึ่งก่อนลุกช้า ๆ และเดินเข้าไปในกุฏิ เด็กทั้งสาม เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว จึงนั่งรอหลวงปู่เงียบ ๆ เวลาผ่านไปช้า ๆ แต่ก็นานมากสำหรับเด็กจอมซนเช่นทั้งสาม ทินกรค่อย ๆเขยิบไปใกล้กับกวิน แล้วซุบซิบเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ "วันนี้หลวงปู่มาแปลกนะท่านพี่ ทุกทีหลังฉันเสร็จก็จะเข้าป่า วันนี้ไห๋งเข้ากุฏิเงียบเลย" "พี่ก็ว่าอย่างงั้น" กวินเหลือบไปเห็นเวคินนั่งสัปหงกอยู่ จึงใช้มือน้อยหยิกขาอ่อนของเขา เวคินสะดุ้งโหยง แยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ไม่ส่งเสียง หน้าน้อย ๆ หงิกงอ ทินกรและกวินหัวเราะคิกคัก แต่นึกได้ว่าหลวงปู่อยู่ในกุฏิจึงรีบยกมือปิดปากไว้ เวคินกึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม มองทั้งสองประมาณว่า "ฝากไว้ก่อนเถอะแล้วจะเอาคืน" พร้อมกับลุกขึ้นช้า ๆ "โกรธหรือท่านพี่เวคิน" ทินกรส่งเสียงอ่อย เพราะบางทีเขาก็เดาความรู้สึกของเวคินไม่ออก "เปล่า พี่จะไปดูสมุนไพรที่ตากไว้ เมื่อคืนน้ำค้างลงจัด คงชื้น" " แล้วพี่ไม่รอหลวงปู่หรือ" "ไม่รอแล้ว ขี้เกียจรอเปล่า หลวงปู่ไปตั้งนานแล้ว" " อะไร๊" ทั้งสองทำตาโต แบบไม่เชื่อ เวคินยิ้มอย่างภาคภูมิว่า " ไม่เชื่อก็เข้าไปดูซิ" ทั้งสองรีบตะลีตะลานเปิดประตูกุฏิ ข้างในนอกจากอาสนะเก่า ๆ สามใบและข้าวของที่หลวงปู่เก็บไว้ในหีบไม้เล็ก ๆ ไหนเลนมีร่างของหลวงปู่ ทั้งสองหันขวับมายังเวคินราวนัดแนะ "ท่านพี่รู้ได้ยังไง ว่าหลวงปู่ไปแล้ว" "มีอยู่คราวหนึ่ง พี่เห็นหลวงปู่เข้าไปในกุฏินานสองนานไม่ออกมาซะที พี่ก็เลยเข้าไปดู หลวงปู่หายไปไหนไม่รู้แล้ว เดาว่าท่านคงล้อเล่นพวกเรา " ทินกรทำหน้าตาขึงขัง ยกมือเท้าสะเอว กล่าวว่า " วันหลังต้องขอให้หลวงปู่สอนวิชานี้บ้าง เวลาเจอเสือจะได้ หนีทัน " กวินและเวคิน ผงกศีรษะเห็นพ้องกับความคิดเห็นของน้องคนเล็ก + + + + + + + + + + ++ + + ++ + ++ + ++ + ++ + + + + หลังกุฎิ เป็นลานเล็ก ๆ ซึ่งมีกระจาดสมุนไพรตากอยู่แห้งอยู่หลายจิบกระจาด เด็กทั้งสามช่วยกันตากสมุนไพร เพราะหลวงปู่บอกว่า ต้องเอาไปรักษาคน แต่ทั้งสามก็ไม่เคยเห็นหลวงปู่รักษาใครมาก่อน ในบรรดาจอมซนทั้งสาม กวินเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านสรรพคุณของสมุนไพรที่สุด เขาชมชอบรักษาสัตว์น้อยใหญ่ในป่า หลวงปู่เคยหัวเราะและพูดว่า "ยกให้เข้ากวินมันคนหนึ่ง ปู่มันเป็นหมอใหญ่เก่งด้วยโว้ย เลยได้เชื้อมา คนที่จะตายมิตายแหล่ ปู่มันให้กินยาเม็ดเดียว รู้เลยว่าเป็นโรคอะไร ต้องใช้ยาอะไร" สำหรับเวคินและทินกร ก็พอรู้บ้าง แต่ไม่สนใจมากนัก เช่น ถ้าปวดเจ็บเท้ามาก ๆ เหมือนเป็นกระดูกงอก ก็ให้แช่เท้ากับยาที่มีส่วนผสมของ ยี่หร่า รากไม้จันทร์ เกลือตัวผู้และขมิ้นขาว น้ำหนักอย่างละสองบาท หรือถ้าเป็นตุ่มพิษ มีน้ำเหลืองออกบวดแสบปวดร้อน ชนิดที่พอกฟ้าทะลายโจรแล้วใบฟ้าทะลายโจรยังแห้งกรอบ เพราะความร้อนจากตุ่มพิษมีมาก ให้กินว่านพี้ 5 ยอด เอาไปตากให้มันเฉา ยุบ แล้วม้วนเป็นลูกเล็ก ๆ กินกับน้ำ อาการก็จะบรรเทาลง ซึ่งมีมากมายจนทั้งสองไม่อยากจะจำ ขณะที่ทั้งสามกำลังผลิกด้านสมุนไพรอยู่นั้น พลันมีเสียงดนตรีกระหึ่ม พร้อมกับเสียงบรรเลงเพลงที่เพราะเสนาะดุจดุริยางค์ทิพย์ ทันใดนั้นบนอากาศปรากฎเหตุประหลาดมหัศจรรย์คือ มีคนตัวโปร่งใสเป็นแก้ว ลอยลงมาอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ทั้งสามเหม่อมองคนตัวโปร่งใสอย่างตะลึง เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน รอบคนตัวโปร่ง มีประกายแพรวพราวสวยงามมาก มองแล้วดูงามจับใจ บนคอคนตัวใสมีประคำสีเพชรอมเมฆ ส่องประการสวย ดวงตาทั้งคู่สดใสไม่กระพริบ คนตัวใสยิ้มน้อย ๆ ไม่เห็นขยับปากพูดแม้แต่ประการใด แต่มีเสียงดังมาจากอนูของอากาศว่า "ต่อไปถ้าพ่อมาหา ให้ลูกเรียกว่า ท่านพ่อนะ สั้นดี" คนตัวใสพูดจบก็หายไป พร้อมกับเสียงดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะนั้นจางหายไปเช่นกัน เวคินพูดขึ้น "พวกเราฝันไปหรือเปล่าเนี่ย" กวินและทินกรไม่ได้ตอบคำถามของเขา หากแต่มองตากันก็ทราบว่า ต้องไปหาหลวงปู่จึงจะรู้คำตอบ ทั้งสามพลิกยาให้ครบทุกกระจาด จากนั้นพากันวิ่งไปทางทิศเหนือ จากตรงนี้จะมองเห็นเขาเตี้ย ๆ ลูกหนึ่งคล้ายใกล้ คล้ายไกล ตั้งอยู่ จุดหมายของทั้งสามคือ ถ้ำบนภูเขานั่นเอง ..........จบตอนที่ 1 ...................
6 พฤษภาคม 2547 16:33 น. - comment id 73927
มัทเคยอ่านนิยายเรื่อง ญาณ นะคะ การดำเนินเรื่องคล้าย ๆ กัน ใคร่เรียนถามคุณวสุนทราด้วยค่ะ ว่า ระหว่าง ญาณ กับ อภิญญา อันไหนเกิดก่อน เกิดหลัง มัทสนใจอ่านเรื่องทำนองนี้มากค่ะ อ่านสนุก มองเห็นเป็นบางอย่าง จะติดตามอ่านนะคะ
6 พฤษภาคม 2547 16:47 น. - comment id 73929
ใคร่ขอเปลี่ยนคำจาก ญาณ เป็น ฌาญ นะคะ
7 พฤษภาคม 2547 15:51 น. - comment id 73946
อือ อ่านแล้ว นึกถึงหลวงปู่พระครูโลกเทพอุดรนะคะ