เย็นวันที่ 3 ใคร่ขอเล่าเรื่องเราวที่เกิดขึ้นตอนเย็นวันที่ 3 หลังจากที่ทำวัตรเสร็จแล้วให้ฟังดังนี้นะคะ ในช่วงที่เรานั่งวิปัสนาอยู่นั้น มีสิ่งเกิดขึ้น และเป็นที่น่าสงสัยกับเรามาก คือ ในขณะที่นั่ง เหมือนมีเสียงกริ่งดังรัว อยู่ในสมอง ดังอยู่แบบนั้น ไม่หายซักที แม้เราจะตั้งใจฟัง หมายถึงหยุดเคลื่อนไหว แล้วนั่งนิ่ง ๆ เพื่อสังเกตุดูว่า เป็นเสียงที่เกิดมาจากไหน เราก็ยังได้ยิน เราเป็นกังวลมาก ทนไม่ได้ เดินดุ่มๆ ไปหาหลวงพ่อ แต่ในช่วงเวลานั้น เป็นเวลาที่ท่านเก็บอารมณ์ ไม่สามารถรบกวนได้ จึงต้องเดินกลับมา แล้วลงมือปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ จริง ๆ แล้วตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านกำชับว่า ให้ทุกคนนอนให้ตรงเวลา แต่คืนนั้นกว่าเราจะเข้านอนได้ ก็ปาเข้าไปตั้งสี่ทุ่มกว่า ๆ แม้เราจะเปลี่ยนท่านั่งมาเป็นเดินจงกลม อาการดังกล่าวก็ไม่หายไป เช้าวันที่ 4 หลังจากที่เราทำวัตรเช้าเสร็จ เราเล่าอาการที่เกิดขึ้นกับเราให้หลวงพ่อท่านฟัง ท่านบอกเราแต่เพียงว่า ไม่ให้เราสนใจ ไม่ให้เรากำหนดจิตใจไว้ตรงเสียงนั้น ให้ทำจิตใจให้ว่าง เพื่อรอรับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเวียนมาเกิดกับจิตใจเรา โยมไม่ต้องเอาจิตไปจดจ่อกับอาการนั้นน่ะ ให้ทำเหมือนกับทราบแต่ไม่ทราบ เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ในเมื่อท่านบอกแบบนั้นเราจะลองปฏิบัติตามดู เราเริ่มต้นการปฏิบัติของเช้าวันที่ 4 ด้วยการเดิน ในขณะที่เดิน ความคิดเราจะคิดไปด้วยเรื่องต่าง ๆ นา ๆ หากเราไม่สามารถทำสมาธิขึ้นมาได้ เราจะตามความคิดไม่ทัน แม้เราจะคิดไปถึงไหน เราต้องดึงความคิดมาอยู่กับตัวเราให้ได้ ให้รู้สึกตัวว่าขณะนี้เราทำอะไรอยู่ ตลอดสามชั่วโมงที่เราใช้ในการเดิน เสียงที่เราเคยได้ยินกลับไม่ได้ยิน หากแต่ในบางครั้งจะเกิดอาการอย่างอื่นขึ้นมาแทน แต่อาการต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะหายไปในเวลาไม่นานนัก เรารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา เรารู้สึกตัวในการเปลี่ยนแปลง การเดินเราเดินเบาขึ้น การพูดเราพูดเสียงเบาลง การรับประทานอาหารก็นิ่ง เสียงกระทบของช้อนกับชามไม่มีให้ได้ยิน ไม่รู้สึกหิว แม้จะทานข้าวเพียงวันละ 1 มื้อ มันเหมือนเรามีพลังงานอะไรอยู่ในตัวเรา แต่เราไม่ทราบ มันสุข เย็น อยู่ในใจลึก ๆ เพียงสี่วันที่เราเข้าปฏิบัติ เราก้าวมาถึงตรงนี้ นับว่าไม่เลว
เพียงได้เห็น ความว่าง ชั่วขณะ เพียงรู้ละ ที่ใจ ไม่เพ้อฝัน เพียงหยุดคิด ปรุงแต่ง ในปัจจุบัน เพียงแค่นั้น คือรางวัล แห่งดวงใจ เพียงจิตว่าง ความวุ่น พลันสงบ เพียงจิตพบ ยอ่มเป็นสุข อันยิ่งใหญ่ เพียงจิตว่าง ทุกข์พลอยว่าง ลงทันใด เพียงทุกข์ใจ ขอจงว่าง อย่างถาวร จึงขอส่ง ความว่าง เป็นความสุข จิตสู่จิต ว่างสูว่าง จงถ่ายถอน ผูกจงแก้ วุ่นจงวาง เป็นอาภรณ์ หมดนิวรณ์ จิตว่างได้ ไร้ทุกข์เอย มัทเก็บมาจากวัดป่าช้าที่เข้าปฏิบัติธรรมค่ะ ไม่ได้แต่งเอง แต่เห็นจริงตามนี้นะคะ
29 เมษายน 2547 18:19 น. - comment id 73741
ค่ะพี่มัท...น้องแอมจะติดตามน๊าค๊า
30 เมษายน 2547 05:52 น. - comment id 73761
ทานวันละมื้อ พี่น่าจะไปทดลองดู เผื่อจะได้ลดหุ่นลงซะบ้าง ความตั้งใจจริงส่งผลให้ทำอะไรสำเร็จได้ง่ายครับ แต่ละวันเรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน สำคัญว่าใครใช้ ไปในทางที่มีค่าแค่ไหน ตามอ่านจนจบครับ
30 เมษายน 2547 13:36 น. - comment id 73772
ถ้าถึงภาคห้า .. ฉานว่าเธอบวชเลยดีกว่า ***วิจิตรล้อเล่นครับ .. แต่จะเป็นจริงก็ไม่ว่า หิๆ
1 พฤษภาคม 2547 17:11 น. - comment id 73802
บวช ไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ หรือเครื่องแบบ เพียงเท่านั้น อยู่ที่คุณ มีการศึกษา มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ต่อสิ่งต่าง ๆ หรือไม่ โดยเฉพาะกับจิตของคุณ ที่รุ่มร้อนสัดส่ายอยู่นั่นเมื่อโดนอะไรต่างๆระเอา ระเอา ผมเห็นภาพตามที่คุณมัทเขียน ผมเคยปฏิบัติคล้ายนี้ด้วย จึงอนุโมทนาไว้ ณ ที่นี้อีก
2 พฤษภาคม 2547 09:12 น. - comment id 73821
..พี่มัทเขียน..ได้ดีมากเลยนะคะ.. ..เรนคง ต้อง ขอไปอ่านงาน ..บทแรก..ของพี่มัท.. ก็ ..เวลา ..ดึงเรน ..ไปจากทุกคน.. ..ไม่เคย ตรง..สักกะที ..อะดิคะ..
5 พฤษภาคม 2547 22:36 น. - comment id 73906
อยู่ที่ใจและใจ ที่ดี