ความจริง การรอ และน้ำตาแม่
jackzerz
บางครั้งการยอมรับความจริงก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวด
แต่นั่นก็คือลักษณะของความเป็นจริง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เรามีแต่ต้องเผชิญมัน แก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ไป
และก็ทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
มีบ้างบางครั้งเราอาจจะแก้ปัญหาโดยการวิ่งหนีความจริง ปิดใจไม่ยอมรับมัน
จริงอยู่เราอาจหลีกหนีความจริงได้เพียงชั่วคราว อาจหนีได้เพียงตอนนี้ วันนี้
หรือพรุ่งนี้ แต่รับรองไม่มีใครสามารถหนีความจริงได้โดยตลอดเด็ดขาด
แม้แต่คนที่ใช้คาถาที่ขลังที่สุดของอาจารย์โกย ก็ไม่สามารถหลบความจริงได้พ้น
มีคนเคยบอกกับผมว่า
ในชีวิตหนึ่งของเราอาจจะประสบกับความผิดหวังมากกว่าความสมหวัง
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเพราะใช่ว่าทุกคนจะดีพร้อมเสมอไป
ที่สำคัญคือไม่ว่าเราจะผิดหวังมาสักกี่ครั้ง ล้มลงไปสักกี่ครา
เราต้องสามารถลุกขึ้นยืนให้ได้ด้วยตัวเองทุกครั้ง
ไม่มีใครสามารถจะช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง ในพุทธสุภาษิตก็มีบอกไว้ว่า
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
สำหรับตัวผมเองแล้ว ถือว่ายังโชคดีที่ประสบกับความผิดหวังมาไม่มากนัก
สาเหตุที่สำคัญอาจเป็นเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าอีกหลายๆ คน
แต่เมื่อปลายปีก่อนผมกลับต้องผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเสียใจอย่างมากเป็นครั้งแรกในชีวิต
ในด้านของความรักแล้ว อาจบอกได้ว่าผมเป็นผู้แพ้ เป็นคนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
True Love is like ghost, everybody talks about it, but few actually have
seen it.
ผมเคยตั้งคำถามให้ตัวเองหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งไม่แน่ว่าในชีวิตจะได้คำตอบ
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไป
หวังว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น :):):)ที่ผ่านมาผมให้ความสำคัญกับคนๆ
เดียวมากเกินไป เลยทำให้ผมไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้างเท่าที่ควร
โดยเฉพาะกับคนที่รู้จักผมมาตลอดชีวิต
ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะจะนึกถึงคนเหล่านั้นก่อนเสมอ
ในวันนั้นผมนั่งรอเธอที่ lobby ของโรงแรมตั้งแต่ หกโมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน
แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเธอจะกลับมา ทั้งๆ
ที่ผมก็บอกกับเธอทางโทรศัพท์แล้วว่าจะมารอพบ
ผมนั่งรอด้วยความกระวนกระวายและคอยมองดูนาฬิกาทุกๆ 5 นาที เวลา 5
นาทีในตอนนั้นเหมือนกับ 5 ชั่วโมงมากกว่า
หากมีสิ่งที่ทำให้คุณไม่สามารถตัดสินใจได้ ทำให้คุณกระวนกระวายใจมากที่สุด
สิ่งนั้นคือการ รอ เพราะการรอทำให้คุณรู้สึกว่า คุณจะหยุดก็ใช่ที่
ไม่หยุดก็ใช่ที่ ในใจของคุณคิดอยากจะรู้ผลลัพธ์ที่จะเกิด
ไม่ว่าจะในทางร้ายก็ดี ในทางดีก็ดี คุณอยากจะรู้ผลลัพธ์โดยเร็ว
แต่ที่ผมทำได้ในขณะนั้นคือรอเธอ รอเธอเป็นเวลา 6 ชั่วโมงเต็ม หากนับเวลา 2
ปีที่เราไม่ได้พบหน้ากัน ผมรอเธอมาเป็นเวลากว่า 17,520 ชั่วโมงแล้ว
ในชีวิตของเราจะสามารถรอได้เป็นเวลา 17,520 ชั่วโมงสักกี่ครั้ง
ในคืนนั้นผมรอเธอจนถึงเที่ยงคืน ในใจไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น
คิดแต่ว่าเพียงอยากได้พูดคุยกับเธอสักครั้ง เห็นหน้าเธออีกสักครั้งเท่านั้น
ทุกครั้งที่ลิฟท์มาหยุดลงที่ชั้น 12
ผมหวังว่าคนที่เดินออกมาจากลิฟท์ทุกครั้งจะเป็นเธอ
ผมยังจำได้ในวันนั้นมีลิฟท์ขึ้นมาชั้น 12 เป็นจำนวน 28 ครั้ง ลิฟท์ลงจากชั้น
12 เป็นจำนวน 16 ครั้ง
12.05 a.m. คนที่ผมเห็นเดินออกมาจากลิฟท์ในครั้งนั้นก็ยังไม่ใช่เธออยู่ดี
แต่เป็นผู้หญิงสองคน คนนึงเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ท่าทางใจดี เวลาที่เธอยิ้ม
หากสังเกตุดีๆ คุณจะเห็นรอยยิ้มจากดวงตาของเธอก่อน
แต่ที่ให้ความรู้สึกที่ดีต่อผู้คน คือรอยยิ้มที่จริงใจของเธอ
รอยยิ้มของผมก็ได้มาจากเธอนี่เอง เพราะเธอคนนี้คือแม่ของผม แม้ว่าเวลายิ้ม
รอยยิ้มของผมอาจไม่น่าดูเท่าเธอ
แต่ความจริงใจที่แสดงออกทางรอยยิ้มเป็นสิ่งผมไม่ได้เสแสร้งเด็ดขาด
ผู้หญิงอีกคนสูงกว่าเธอประมาณหนึ่งช่วงศรีษระ ผมยาวตาโต
ลักษณะตรงกับผู้ชายทุกคนชื่นชอบ เธอคนนี้ก็คือน้องสาวของผม
เธอเดินคล้องแขนแม่ของเธอออกจากลิฟท์
ท่าทางลุกลี้ลุกลนเหมือนกับทำของสำคัญอะไรสักอย่างหายไป
ขณะที่ผมเห็นเธอสองคนผมก็รู้สึกแปลกใจเพราะผมไม่ได้บอกคนทางบ้านว่าจะไปหาใครที่ไหน
แต่อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกดีใจ
รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างประหลาดที่ได้พบกับแม่และน้องสาวในเวลาที่ผมรู้สึกท้อแท้ที่สุด
รู้สึกเสียใจที่สุด
เจอเค้ารึยังลูก แล้วมารอตั้งแต่เมื่อไหร่
ทำไมไม่โทรไปบอกแม่บ้างปล่อยให้แม่เป็นห่วง
ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามไหนก่อนดี และไม่รู้ว่าจะตอบดีรึเปล่า
ความรู้สึกของผมตอนนั้นแย่จริงๆ ไม่อยากจะคิด ไม่อยากจะตอบคำถามใคร
ไม่อยากจะขยับไปไหนทั้งสิ้น
แม่ของผมเดินข้ามานั่งบนโซฟาทางด้านขวามือ
ส่วนน้องสาวของผมก็เดินไปที่ห้องของเธอคนนั้นเพื่อเช็คดูว่าเธอกลับมารึยัง
หลังจากนั้นเธอก็เดินมานั่งที่โซฟาข้างซ้ายมือของผมพร้อมกับพูดว่า
เค้ายังไม่กลับมาเลยพี่หนุ่มจะรอต่อไปมั๊ย
ผมเพียงแค่พยักหน้าอย่างเลื่อนลอยเป็นคำตอบ
ผมก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปอีกนานเท่าไหร่
และไม่รู้ว่าแม่กุมมือของผมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ศรีษระของน้องสาวโน้มลงมาพิงไหล่ของผมตั้งแต่เมื่อไหร่
ในตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าการนั่งของเรา 3 คนจะมีลักษณะเป็นอย่างไร
แต่หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ
คงเป็นแม่ของผมท่านเป็นเสาหลักเสาใหญ่ที่คอยค้ำเสาที่เล็กกว่าอีกสองต้นที่โน้มเอียงลงมา
ในที่สุดก็เป็นผมที่ทำลายความเงียบ ผมบอกกับเธอทั้งสองคนว่า
แม่เรากลับกันเถอะ คืนนี้เค้าคงไม่กลับมาแล้ว
ไม่เป็นไรหรอกลูก ไหนๆ ก็รอมาตั้งนานแล้ว รอต่อไปอีกสักหน่อยจะเป็นไร
ไม่แน่เค้าอาจกำลังกลับมา
จากนั้นทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมร้องไห้แล้ว
ตลอดเวลาที่ผมเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายเข้มแข็ง กลับต้องหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว
เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพื่อผู้หญิง ความเหงา ความคิดถึง ความผิดหวัง
การรอคอยตลอดเวลา 4 ปี
คล้ายกับได้ปลดปล่อยออกมาพร้อมกับการหลั่งน้ำตาในครั้งนี้
ผมพูดกับเธอทั้งสองพร้อมน้ำตาว่า แม่เรากลับกันเถอะ กลับบ้านของเรากันเถอะ
เค้าไม่เหมือนเดิมแล้ว เค้าไม่ได้รักหนุ่มอีกแล้ว
แม่หนุ่มเจ็บเหลือเกิน หนุ่มเจ็บมากจริงๆ
แม่รู้จ๊ะ แม่รู้
ตอนนั้นผมคล้ายกับรู้สึกว่าแม่ผมท่านกุมมือของผมแน่นกว่าเดิม
เหมือนดั่งหวาดกลัวว่าผมจะหนีจากท่านไป
น้องสาวของผมเหมือนกับว่าอยากจะพูดอะไรกับผมแต่ก็ไม่ได้พูด
หลังจากนั้นเราทั้งสามคนแม่ลูกไม่ได้พูดอะไรกันอีกสักพักใหญ่
แต่ในตอนนั้นผู้รู้สึกว่าแขนเสื้อข้างซ้ายของผมเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของน้องสาว
ผมยังได้ยินเสียงเธอสะอื้นเบาๆ
เธอคล้ายกับพยายามจะบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้เพราะกลัวผมเสียใจมากไปกว่าเดิม
ส่วนแม่ของผมท่านยังกุมมือของผมอยู่
แต่มือของท่านก็เปียกไปด้วยน้ำตาของท่านเช่นกันที่เห็นลูกชายของท่านเสียใจมากมายถึงเพียงนั้น
ท้อแท้และผิดหวังถึงเพียงนั้น
ในตอนนั้นผมอยากจะออกไปจาก lobby แห่งนั้นโดยเร็วที่สุด ผมรู้สึกโกรธตัวเอง
สมเพชตัวเอง ที่ทำให้แม่ร้องไห้
ความเสียใจที่เห็นน้ำตาแม่ในวินาทีนั้นยังมีมากยิ่งกว่าความรู้สึกที่สูญเสียคนรักไปหลายเท่านัก
ผมพยายามดึงตัวเองขึ้นจากโซฟา ในขณะที่ลุกขึ้นมานั้นผมอาจจะดึงตัวเองจาก
โซ่พันธนาการ ที่มองไม่เห็น เป็นโซ่ที่ผมคล้องตัวเองไว้กับคนๆ
เดียวเป็นเวลากว่า 8 ปี ผมพาแม่และน้องออกไปจากโรงแรมแห่งนั้น
ผมพยายามเตือนสติตัวเองว่า ผมจะต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
ต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีเธอคนนั้นให้ได้
และนับแต่นี้ไปผมจะไม่ทำให้คนรอบข้าง คนที่ผมมองข้ามความสำคัญของพวกเค้าไป
ไม่ทำให้พวกเค้าเสียใจอีก
คนเราไม่ว่าจะเสียใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง หรือคิดไม่ตกนานแค่ไหน
ต้องมีเวลาที่ทำใจได้ ต้องมีเวลาหนึ่งที่ทำให้เรา พลันได้คิด
ช่วงเวลาที่ทำให้ผม พลันได้คิด ก็คือตอนที่ผมเห็นน้ำตาแม่นั่นเอง
ผมต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี จึงสามารถทำใจให้สงบลงได้
สามารถปลดปล่อยตัวเองจากโซ่พันธนาการเส้นนั้นได้จริงๆ
"I dropped a tear in the ocean... when they find it I"ll stop loving you..."