แน่ทีเดียวขณะนั้นผมคิดเพียงว่า หากพ่อมีเวลาพาผมไปเที่ยวที่สวนสนุก บ้างคงดี จะมีสักนาทีมั้ยที่ผมจะแนบใบหูของผมกลางอกพ่อ มีมั้ยที่จะรู้สึกปลอดภัยเหมือนอย่างความรู้สึก ที่เพื่อน ... เพื่อนคนเดียวของผมเล่าให้ฟัง ในวิมานแห่งความฝันคงมีเพียงเสียงหัวใจที่เรียกร้องให้พ่อหันมา วาจาจากปากนั้นมิได้เคยเอื้อนเอ่ยออกมาแม้สักครั้ง ที่สวนสนุกที่โรงเรียนมันเป็นเสี้ยวหนึ่งของความฝันของผม จริงมันยิ่งใหญ่มากหากแต่ไม่มีพ่อเคียงกาย ภาพงดงามของพ่อที่เข้ามากอดผมดูเลือนหายไปจากใจทีละน้อย เป็นคนอื่นที่เขามีพ่อมารับ แต่กลับเป็นผมที่อยู่กับความว่างเปล่า ชีวิตครึ่งแรกของผมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ พ่อเติบโตทางธุรกิจอย่างรวจเร็วในตลาดหลักทรัพย์ จากที่เป็นคนรวยคนดังอยู่แล้ว ก็กลายมาเป็นมหาเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน จากความสำเร็จนั้นทำให้สัมพันธภาพระหว่างผมกับพ่อห่างออกไปอีกเท่าตัว จากที่ท่านเคยอยู่บ้าน ท่านก็ย้ายไปอยู่โรงแรมระดับห้าดาว นานนักจะกลับมา ในขณะนั้นผมเองก็มิได้เจ็บช้ำกับเรื่องของพ่อนัก เพราะได้โตขึ้นมาก ถ้าจะพูดถึงพ่อ พ่อก็เป็นความภาคภูมิใจของอาก๋ง ซึ่งตอนนั้นเองท่านกำลังจะเสีย เนื่องจากโรคถุงลมโป่งพอง ผมได้เห็นหน้าพ่อก็ตอนนั้นเอง พ่อดูเปลี่ยนไปมาก ดูมีอายุมากขึ้นเนื่องจาทำงานหนักกระมัง ผมมองพ่อราวคนแปลกหน้า แม้ตอนเด็กจะดูคุ้นเคย "มองไรตี๋มากอดป๊าหน่อย" พ่อเรียกผมไปกอด ผมเคยแต่ฝันแต่ตอนนี้มันเป็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า ผมวิ้งเขากอดพ่ออย่างไม่สงสัย แล้วไว้วางใจกันคำพูดของพ่อ พ่ออยู่กับอาก๋งตามลำพัง ไม่นาน คุณหมอที่แต่งตัวดูสะอาดสะอ้าน เดินเข้ามาพลางพูดประโยคที่คุ้นเคยกันดี "ผมเสียใจด้วยนะครับเราพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว" มันเป็นคำพูดที่กระชากความรู้สึดของคนฟัง จนพวกเราไม่สามารถทนฟัง รวมทั้งผม ที่เสียใจและดีใจเพียวชั่วข้ามนาทีนั้นเอง งานศพอาก๋งเป็นแบบเรียบง่าย มีเพียงญาติที่เข้ามเยี่ยม นับแต่นี้ต่อไปต้องกัดฟันสู้เพราะครอบครัวเราที่ผ่านมามีอาก๋งเป็นคนตัดสินใจ ในหน้าที่การงานของทางบ้านทั้งหมด ชีวิตคนร่วงใบราวใบไม้ผลัดใบ ผมย้ายมาอยู่กับพ่อแถวสุขุมวิทขณะนั้น ยังไม่สู้เจริญนักพ่อหยุดทำงานธุรกิจ แม้เราใกล้ชิดกัน และไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกันเหมือนเพื่อนต่างวัย แต่ไม่อาจปิดความเศร้าหมองภายในดวงตาของพ่อได้ แม้พ่อจะพยายามมีความสุขมากเพียงไรก็ตาม ดูหมเอนการจากไปของอาก๋งคงพรากหัวใจพ่อไปด้วย พ่อคงเข้าใจเรากระมังที่เราไม่เคยอยู่กับพ่อเลย พ่อคงรับรู้ความรู้สึกของเราได้ พ่อดูเสหมือนคนธรรดา ฐานะพ่อตกลงมาราวกับฝัน กลายเป็นเพียงมังกรเขี้ยวหัก ที่เคยวาดลวดลายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อครั้งรุ่งเรือง หมายศาลตราครุฑถูกนำมาติดที่บ้านแผ่นแล้วแผ่นเล่า พ่อกอดผมพลางร้องไห้ แท้จริงนับจากวันนั้น พ่อเลี้ยงผมมาตลอด เรามีปากเสัยงกันเสมอ หากแต่ลึกลงไปในใจพ่อคงอยากจะบอกว่าพ่อไม่เคยเลี้ยงใคร เป็นเพียงพ่อที่จะทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ตรงนี้ งานไม่สามารถพรากเราได้อีกต่อไป ผมเข้าใจความหมายนี้จากสายตาที่บอบช้ำของพ่อคนเดิน ที่เป็นทั้งพ่อและแม่ ท่านเป็นสิ่งมีค่าเพียงหนึ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่ พ่อเป็นเพื่อนแท้เหนือเพื่อนที่ผมมีผมโตขึ้นมาก และผมไม่ท้อใจเพราะความลำบากเลย ความชื่นใจยอมนึกถึงพ่อเป็นแรง เป็นน้ำที่เสริมำลังให้ต้นไม้อย่างผมยืนต้นอยู่ได้ กลางปัญหาอุปสัก พ่อเปรียบเสหมือนคูรที่สอนประสบการณ์ร้อนหนาวให้ผม จิตผมเข้มแข็งด้วยคำปลอบประโลมของพ่อ นับเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก มิได้รู้มาก่อนว่ามันจะจบลงในไม่ช้า พ่อสูบบุหรี่จัดเสมอในครานั้นเลย พ่อเป็นมะเร็งที่ปอด นับเวลาถอยหลังพ่ออีกเพียวหกปี ขณะที่บ้านเราถูกยึดก็คงเป็นหมายศาลมากมายที่เคยเห็น และพ่อของผมไม่มีทางสู้เนื่องจากป่วยและฐานะตกต่ำลงมาก ศาลตัดสินขับไล่ครอบครัวของผมออกจากบ้านที่สุขุมวิททันที เราไม่มีที่นอนแล้วที่เก็บของในบ้านมันถูกลำเลียงออกมาวางที่ริมถนน พ่อกับผมตระเวนทั้งคือเพียงเพื่อหาโรงแรมม่านรูดนอนพักสักคืน.....( ตอนนี้หมดชั่วโมงพรุ้งนี้มากต่อเรื่องของผมกัน )
8 มีนาคม 2547 08:48 น. - comment id 71549
น่าติดตามมากค่ะ
8 มีนาคม 2547 17:35 น. - comment id 71556
มาเยี่ยมข้าน้อย ... นี่ปลื่มใจยิ่งนัก ขอบคุณที่เป็นกำลังใจ จะทำออกมาให้ดีที่สุด ข้าน้อยขอคารวะ คืนนี้เขียนต่อ
11 มีนาคม 2547 23:04 น. - comment id 71640
ดำเนินเรื่องความสัมพันธ์ทางครอบครัวได้ประทับใจดีครับ
25 สิงหาคม 2548 14:57 น. - comment id 86270
เฮ้อ พ่อก็เป็นครอบครัวคนเดียวที่เฮียมี กิฟท์รู้ว่าเฮียรักพ่อมาก และก็รุ้ว่าพ่อของเฮียก็รักเฮียมากเหมือนกัน แต่วันนี้ มีอะไรเกิดขึ้นก็ยังคงมาระบายกับกิฟท์ได้ บางครั้งเฮียก็ไม่ต้องการอะไร ขอเพียงแค่ ซักคน ที่นั่งฟังปัญหาทั้งหมด โดยไม่ แม้แต่จะเอ่ยปากพูดอะไรซักคำเลยก็พอ กิฟท์เป็นห่วงเฮียนะ และยังรักเฮียเสมอ ตลอดไป...