" อยู่ไหนว้าอยู่ไหน โครม! " " ณัฐ!ทำอะไรลูก " " ผมกำลังหาของอยู่คร้าบบ..บ... แม่ แม่เห็นกล่องกำมะหยี่สีแดงกล่องเล็กๆของผมมั้ย " ผมตะโกนถามแม่ที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว " หาดูดีๆซิลูก เดี๋ยวก็เจอ " โถ! คำตอบของแม่มันช่วยผมได้มากเลยครับ " ขอบคุณฮะแม่ " ผมตะโกนตอบกลับ ผมกำลังหาสิ่งๆนั้นอยู่ ของขวัญชิ้นพิเศษที่ผมเตรียมไว้ให้เธอสุดที่รักของผม มันมีค่าสำหรับผมมากครับ ผมเก็บมันไว้เป็นอย่างดีดีที่สุด ดีจนผมเองหามันไม่เจอ มันต้องอยู่ที่ไหนซักแห่งในรัง เอ้ย!ห้องๆนี้แหละ ผมใช้ความรีบเร่งในการหาอย่างสุดขีด " เร็วๆซีไอ้ณัฐ ขิมรอแกอยู่นะ " ผมคอยเร่งตัวเองอยู่ตลอด " เจอแล้ววว..ว.ว " ผมตะโกนลั่นบ้านด้วยความดีใจ มันตกอยู่ใต้กองผ้าในตู้เสื้อผ้าของผมนี่เอง โห่!หาตั้งนาน ผมค่อยๆเปิดกล่องกำมะหยี่สีแดงกล่องนั้นแล้วหยิบสิ่งๆหนึ่งออกมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ผมต้องรีบไปแล้ว ผมวิ่งลงบันไดด้วยอัตราความเร็ว 120 กม./ชม. แต่แล้วอิริยาบทของผมมันก็เปลี่ยนไป ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นกลิ้งแล้วครับ ผมกำลังกลิ้งลงบันได ตัวผมใกล้จาถึงพื้นแล้ว ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว แล้วตอนนี้มันถึงแล้วครับ ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมรีบลุกขึ้นแล้วสำรวจสารรูปของตัวเอง มีเลือดออกนิดๆ แผลก็นิดหน่อย ไม่เป็นไรครับ ไม่ถึงตายหรอก ผมมองดูนาฬิกาข้างฝาผนัง ผมช้าไป 15 นาทีแล้ว ผมต้องไปแล้วขิมรอผมอยู่ ผมวิ่งออกจากบ้านไปรอรถแท็กซี่ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาเลยซักคัน ผมรอไม่ไหวแล้ว " ไปมอร์ไซค์ก็ได้วะ! อย่าคิดว่าจะง้อ " ผมบ่นกับตัวเองแล้วโดดขึ้นมอร์ไซค์รับจ้างที่ผ่านมาพอดี " พี่ครับ ไปที่นั่นด่วนเลยครับ " ผมสวมหมวกกันน็อกแล้วบอกจุดหมายกับคนขับ " พี่ เร็วกว่านี้ได้มั้ยครับ " ผมเร่ง " โห่น้อง นี่พี่เร่งจนสุดแล้วนะ ให้เร็วกว่านี้น้องอยากไปสวรรค์หรอวะ " พี่คนขับตอบผมกลับ ผมเงียบเลยครับ " ก็คนมันรีบนี่หว่า งั้นจะเร่งทำทำไมวะ " ผมบ่นในใจ แต่มันก็จริงของพี่เค้านะ เร็วกว่านี้ได้ขึ้นสวรรค์แน่ ผมค้านความคิดของตัวเอง ผมเป็นคนใจร้อนครับ ทำอะไรต้องเร็วไว้ก่อน ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย คงเป็นเพราะผมตื่นเต้นมั้ง ตื่นเต้นที่จะได้ให้ของขวัญชิ้นนี้กับเธอด้วยตัวผมเอง " รอผมก่อนนะ ผมกำลังไป ">> 16 ปีที่แล้ว ทุกสิ่งมันเริ่มต้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2532 วันเปิดเทอมวันแรกของโรงเรียนแห่งหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่น่าเบื่อสุดๆครับ เพราะไม่ว่าผมจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่เด็กเด็กทั้งนั้น เปล่าครับผมไม่ใช่ครูหรือผู้ใหญ่ที่เกลียดเด็กที่ไหนหรอก ผมก็เป็นเด็กอนุบาลเหมือนๆกับพวกเค้าน่ะแหละ เพียงแต่ผมเบื่อที่ต้องมาทนฟังเสียงร้องไห้ของพวกเค้า ผมไม่เข้าใจจริงๆเลยครับ เพื่อนก็เยอะแท้ๆ แต่ดันมาร่วมใจร้องไห้ประสานเสียงกันซะนี่ ผมเริ่มจะทนไม่ได้กับเสียงร้องไห้ที่ดังกระหึ่มไปทั้งโรงเรียน ผมจึงจึงร้องไห้ไปกับพวกเขา แฮะๆ แต่ไอ้การร้องไห้ของผมเนี่ยมันไม่มีน้ำตานะครับ แหกปากร้องเฉยๆ ไม่รู้สิครับ เผอิญผมเป็นคนร้องไห้ยากยากจนอธิบายไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าทำไมผมต้องมาเสียน้ำตาให้กับเรื่องไร้สาระพวกนี้ด้วย แต่ผมก็ยังคงแหกปากต่อไป จนกระทั่ง ผมเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ มัดแกละสองข้างนั่งอยู่บนตักนางพยาบาล เธอกำลังร้องไห้ ผมหยุดแหกปากทันที ผมรีบวิ่งไปหาเธอโดยสัญชาตญาณ แต่แล้วมันก็มีอุปสรรคเกิดขึ้น มีหินก้อนหนึ่งขวางทางผม และแล้วความซุ่มซ่ามของผมก็บังเกิด ผมสะดุดมันล้ม แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเธอ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอและคุณพยาบาลเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาผมแทน " เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะหนู " คุณพยาบาลถามผมด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย ผมหันไปมองหน้าเด็กหญิงผมแกละคนนั้น ผมงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็เมื่อตะกี๊เธอยังร้องไห้อยู่เลย แต่ตอนนี้เธอกำลังหัวเราะ หัวเราะอะไรไม่รู้ คงหัวเราะผมมั้ง ก็หินตั้งก้อนเบ้อเร่อดันมองไม่เห็น " ไม่เป็นไรคั๊บ " ผมรีบลุกขึ้นทันทีและไม่รอช้าที่จะชวนเธอไปเล่นด้วยกัน " ไปเล่นกันเถอะ " " เค้าหรอ " เธอถามผมกลับด้วยสีหน้างงๆ ผมว่าตอนนี้ผมก็คุยอยู่กับเธอนะครับ แล้วเธอคิดว่าผมชวนใครล่ะ " คั๊บผม " ผมตอบเธอ เธอหันกลับไปมองหน้าคุณพยาบาลเหมือนกับว่าขอความเห็นใจ " ไปสิ จ๊ะ " คุณน้าพยาบาลตอบอนุญาตเหมือนจะรู้ว่าเธอต้องการอะไร เท่านั้นแหละครับเธอรีบคว้ามือผมแล้ววิ่งไปที่สนามเด็กเล่นทันที ผมยอมรับครับว่าผมตกใจมาก ก็เธอเล่นไม่บอกไม่กล่าวผมเลย ผมก็ไม่ทันตั้งตัวสิครับ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะมีพลังมากมายมหาศาลขนาดนี้ ตัวของผมแทบปลิวไปตามแรงดึงของเธอ ผมวิ่งตามเธอแทบล้มหัวคมำ ดูเธอตื่นเต้นและมีความสุขเหลือเกินครับ เหมือนเธอไม่เคยได้มีโอกาสได้เล่นอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ผมไม่สนใจหรอกครับตอนนี้ผมกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการดูเธอไต่บันไดลิง และแล้วก็จังๆเลยครับ วู้!!!สีแดง ขณะที่ผมกำลังใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่เธอ แต่แล้วก็มีมารพจญมาขวางความสุขของผม มีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งขึ้นไปไต่บันไดลิงกับเธอ ผมไม่อยากจะมองเลยครับ ก็เธอช่างเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักเหลือเกิน ผมก็หยิก อ้วนก็อ้วน ดำก็ดำ ตาก็หยี เอ่อ..ตาตี่ดีกว่าครับ เธอน่ารักไม่ได้ครึ่งของเด็กหญิงผมแกละของผมเลยครับ ผมเลยต้องจำใจเลิกภารกิจแอบครั้งนี้ ผมว่าผมชวนเธอไปเล่นอย่างอื่นดีกว่า ไปให้ไกลๆจากยัยอ้วนนี่ แต่ผมจะเรียกเธอยังไงดีล่ะ ผมยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย เอาอย่างนี้ละกันผมมีวิธีแล้ว ผมยืนคอยเธออยู่เฉยๆตรงนี้ รอให้เธอมองมาทางผมแล้วผมค่อยกวักมือเรียกเธอดีกว่า ง่ายดีมั้ยล่ะ โห!คิดได้งัยเนี่ยเก่งจัง เหอะๆ 3 ปีผ่านไป เธอไม่ยอมมองมาทางผมซะทีครับ เธอคงจะสนุกจนลืมผมไปแล้ว ไม่ ผมจะไม่รอต่อไปแล้วนะ ผมไปเรียกเธอใกล้ๆดีกว่า แต่ผมจาเรียกยังไงล่ะ ทำไมมันลำบากขนาดนี้ เอางี้!ไปดึง เอ้ย!กระตุกกระโปรงเธอละกัน มันเป็นการสะกิดให้รู้ตัวอีกวิธีหนึ่งนะครับ และแล้วก็ได้ผลครับ ได้มาพร้อมกับคำด่าด้วยแหละ พอดีผมกระตุกแรงไปนี๊ดเธอเกือบตกครับ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธผมหรอก เธอแค่ตกใจแล้วหลุดปากมาเฉยๆ ผมคิดว่างั้นนะ แต่ตอนเวลาเธอตกใจเธอดูน่ารักดีนะ ผมอยากรู้ชื่อเธอจัง ทำไงดีอะ โง่อีกและ!ก็ถามสิวะณัฐเอ้ยผมด่าตัวเองครับ ทำไมผมโง่ได้ขนาดนี้เนี่ย เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ออก " ชื่อไรหรอ " ผมเลิกโง่แล้วถามเธอ " ขิม " เธอตอบผมแบบไร้ความรู้สึกมากๆ เธอไม่สนใจผมเลยครับ เธอเอาแต่เล่น เล่นอย่างเดียวเลย ไม่เป็นไร ยังไงผมก็ได้รู้ชื่อเธอแล้ว ไปเล่นกับเธอดีกว่า และแล้วเธอก็พูดกับผม " แล้วตัวชื่อไรอะ " เธอถามผมกลับ " ผมชื่อณัฐคั๊บ " ผมแอบดีใจอยู่ลึกๆที่เธอยังอยากรู้จักชื่อผม ในวันนั้นขิมเป็นคนเดียวที่ผมคุยและเล่นด้วย นับจากวันนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันเรื่อยมา อันที่จริงผมไม่ได้อยากจะเป็นแค่เพื่อนหรอกนะครับ ผมอยากจะขอเธอแต่งงานด้วยซ้ำแต่ผมทำไม่ได้ เพราะผมเพิ่งจะอายุ 4 ขวบเอง อิอิ เราเริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ ผมจะเจอเธอและคุณน้าพยาบาลทุกวันที่โรงเรียน ยกเว้นวันที่เธอไม่มาเพราะอะไรไม่รู้ ทุกเดือนเลยครับ ในแต่ละเดือนต้องมีซักวันที่เธอไม่มา แต่ผมก็ไม่สนใจ ตอนแรกผมก็นึกว่าคุณพยาบาลคือแม่ของขิมเค้า แต่ไม่ใช่ครับ คุณพยาบาลเค้าเป็นพยาบาลประจำตัวของขิม ขิมเค้าเป็นลูกคุณหนูครับ ร่างกายของเธอไม่ค่อยจะแข็งแรง เธอเป็นโรคอะไรซักอย่างที่ผมไม่รู้จัก ผมเคยถามเธอว่าเธอเป็นอะไร เธอก็บอกผมว่าเธอเป็นโรค " รู " ชื่อมันตลกดีนะครับ เธอมักจะเป็นลมอยู่บ่อยๆ จึงต้องมีพยาบาลมาคอยดูแล ขิมเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากครับ เธอจะตัวเล็กๆและชอบมัดผมแกละ เพราะความที่ขิมเค้าตัวเล็กกว่าผม ผมจึงชอบเรียกเธอว่า " น้องแกละ " อันที่จริงขิมเค้าเป็นรุ่นพี่ผมตั้งเกือบครึ่งปีแหนะ แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ ผมจะไม่ยอมให้อายุของเรามันมาเป็นอุปสรรคหัวใจของผมเด็ดขาด ตอนนี้เราสนิทกันมากครับ.มากจนบอกไม่ถูก เราเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่อนุบาล 1 จนขึ้นป.6 เราจะรู้ใจกันดีครับ 26 ธันวาคม พรุ่งนี้ก็วันเกิดผมแล้ว ขิมรู้และจำมันได้ ขิมเค้าเข้ามาถามผม " ณัฐจ๋า วันเกิดณัฐ ณัฐอยากได้อะไรเป็นของขวัญจ๊ะ " ผมคิดอยู่นาน ผมไม่อยากให้ขิมต้องมาเสียเงินซื้อของขวัญให้ผม แต่ผมก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของเธอ ผมคิดออกแล้ว " เอ่อณัฐ ณัฐอยากเป็นแฟนขิมอะ " อาจจะดูแก่แดดไปนิด แต่เด็กประถมอย่างผมก็จริงจังนะครับ " ได้สิ ขิมให้ณัฐได้อยู่แล้ว " เธอตอบผมแล้วบิดตัวไปมา ผมคิดว่าเธอเขินนะ เอ๊ะ! หรือว่าเธอบิดขี้เกียจหว่าผมชักไม่แน่ใจซะแล้ว เราสองคนคบกันมาเรื่อยๆ และแล้ววันนี้ก็วันเกิดผมอีกแล้วครับ ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีขอบางสิ่งกับเธอ " เอ่อขิม วันเกิดณัฐปีนี้ ณัฐ ขอหอมแก้มขิมได้มั้ย " เธอทำหน้าอึ้ง ตอนนั้นเธอหน้าแดงมากเลยครับ ผมคิดว่าผมคงไม่ได้อย่างที่ขอแน่ ผมจึงบอกเธอว่า " ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับขิม " ผมทำหน้าจ๋อย เธอรีบแย้งผมขึ้นทันที เธอคงกลัวผมงอนเธอมั้ง " ได้สิณัฐ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ " ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมก็ต้องหอมแก้มเธอก่อนกลับบ้านทุกวัน วันไหนถ้าผมไม่ได้หอมแก้มเธอ วันนั้นผมเป็นอันกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียวล่ะครับ เราสองคนคบกันมาเรื่อยๆจนจบป.6 พอจบป.6 เราสองคนก็ไปต่อมัธยมที่โรงเรียนเดียวกัน เราไม่ยอมห่างกันหรอกครับ ทีแรกแม่ของขิมจะให้ขิมไปเรียนเมืองนอก แต่เธองอแงไม่ยอมไป ก็บอกแล้วไงครับว่าเราไม่ยอมห่างกันหรอก แต่คราวนี้เราได้อยู่คนละห้องเพราะผลการเรียนเราต่างกัน ขิมเค้าเป็นคนเรียนไม่ค่อยเก่งครับ อาจเป็นเพราะสุขภาพร่างกายของเธอจึงทำให้เธอเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง ส่วนผมสุขภาพกาย สุขภาพจิต หน้าตา นิสัยดีหมดพร้อมความซุ่มซ่ามที่มีอยู่ในตัวก็เต็มเปี่ยม มันจึงส่งผลทำให้ผมเรียนไม่ได้เรื่องเลย สรุปว่าโง่ดักดานน่ะครับ ขิมเค้าได้อยู่ห้อง 4 แต่ผมได้อยู่ห้อง 10 แหนะ เราสองคนต้องห่างกันซะแล้วล่ะครับ ผมล่ะกลัวว่าเธอจะไปมีคนใหม่ซะจริงๆ แต่ไม่ครับ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ขิมก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ผมยังคงเจอเด็กหญิงผมแกละและคุณน้าพยาบาลทุกวันที่โรงเรียน เราจะไปทานข้าวด้วยกันทุกวัน ไปไหนก็ไปด้วยกันจนเพื่อนทุกคนรู้หมดครับว่าผมกะขิมเป็นแฟนกัน ไม่เว้นแต่อาจารย์ เราสองคนจะถูกแซวเสมอเวลาเราคุยกัน แต่ดีครับผมชอบ แฮะๆ เราสองคนยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เมื่อก่อนยังไง ตอนนี้ก็อย่างนั้น แต่ก็มีบางสิ่งที่อาจเปลี่ยนไป เราสองคนโตแล้วครับ จะทำอะไรเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ค่อยได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะมองไม่ดี ไอ้ตัวผมคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เดี๋ยวขิมเค้าจะพลอยเสียหายไปด้วย ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นครับ แต่ถึงยังไงผมก็ยังต้องหอมแก้มเธอก่อนกลับบ้านเหมือนเดิม แม้ขิมจะโตขึ้น แต่ดูเหมือนว่าสุขภาพร่างกายเธอจะอ่อนแอลงทุกที ตอนนี้เราอยู่ม. 3 แล้วครับ ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอหน้ากันซักเท่าไหร่ เพราะผมเป็นนักฟุตบอลโรงเรียน ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนซุ่มซ่ามอย่างผมจะมาเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนได้ แต่เพราะไอ้ความวซุ่มซ่ามของผมเนี่ยแหละมันจึงทำให้ผมยิงลูกเข้าประตูโดยที่ไม่รู้ตัว เรียกง่ายๆว่า ฟลุคนะครับ ผมต้องขาดโรงเรียนไปซ้อมกับทีมเพื่อไปแข่งอยู่บ่อยๆ ส่วนขิมก็ไม่ค่อยมาโรงเรียนเพราะไม่สบาย แต่ทุกครั้งที่ผมแข่ง แม้ขิมเค้าจะไม่สบายหนักแค่ไหนเธอก็จะไปให้กำลังใจผมทุกครั้งเลยครับ ผมรักเธอจัง ทุกครั้งที่เราไม่เจอกันเราจะโทรคุยกันตลอดครับเลยไม่มีปัญหา แต่แค่การโทรคุยกันเนี่ยมันไม่ได้ช่วยให้ผมหายคิดถึงเธอหรือคิดถึงเธอน้อยลงเลย มันกลับยิ่งทำให้ผมคิดถึงเธอมากขึ้นเข้าไปอีก แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เจอเธอมา 2 อาทิตย์กว่าแล้ว โทรไปหาก็ไม่มีคนรับสาย ผมทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงเธอมากเลยครับ ผมถามเพื่อนเธอทุกคนว่าเธอไปไหน พวกเค้าบอกผมว่าขิมลาออกไปแล้ว แค่นั้นยังไม่พอพวกเค้ายังพูดเยอะเย้ยผมอีกว่าผมถูกทิ้ง ผมไม่เชื่อพวกเค้าหรอก ถ้าผมเชื่อพวกเค้าผมก็โง่สิครับ ผมรู้ว่าพวกเค้าหลอกผมเล่น แต่ผมก็กลัวเหลือเกิน กลัวว่ามันจะเป็นความจริง ทำไงดีตอนนี้กะจิตกะใจของผมมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วครับ เรียนก็ไม่เป็นอันเรียนมัวคิดอยู่แต่เรื่องเธอ ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่อาทิตย์กว่าแล้ว ผมต้องทำอะไรซักอย่าง ผมตัดสินใจไปถามอาจารย์ประชั้นของเธอ " อาจารย์ครับ ไม่ทราบว่าอาจารย์ทราบมั้ยครับว่าทำไมขิมขวัญถึงไม่มาโรงเรียน " ผมถามอาจารย์ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด " อ้าวเธอยังไม่รู้หรอกหรอว่าขิมขวัญเค้าลาออกไปแล้ว " ผมอึ้งกับคำตอบของอาจารย์ ผมไม่แน่ใจว่าหูผมมันได้ยินถูกรึเปล่า ผมถามอาจารย์อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ " เมื่อกี๊อาจารย์ว่าไงนะครับ " อาจารย์ท่านย้ำกับผมอีกครั้ง " ขิมขวัญลาออกไปแล้วลูก " มันเป็นความจริง พวกนั้นไม่ได้หลอกผม เธอทิ้งผมไปแล้ว ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย ผมรีบวิ่งไปหลังห้องน้ำ ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นมันน้ำตาของผม น้ำตาผมมันไหลลงมาเป็นทางไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเสียน้ำตา น้ำตาลูกผู้ชายที่ผมไม่เคยเสียมันให้กับใคร เธอไปไหน ทำไมเธอถึงไม่บอกอะไรผมซักคำ " เธอไม่รักผมแล้ว " ผมได้แต่คิดอยู่อย่างนี้ แต่ผมก็ยังรอให้เธอกลับมา นี่ 1 ปีแล้วที่ผมรอเธอ แต่เธอก็ยังไม่กลับมา ผมไม่อยากรอเธออีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากจะเสียใจอยู่อย่างนี้ ผมต้องลืมเธอให้ได้ ผมเพิ่งรู้ว่าการพยายามลืมใครซักคนมันช่างยากเย็นเหลือเกิน แต่ผมก็ทำได้ ผมใช้เวลาอยู่ปีเศษกว่าจะลืมเธอลง ตอนนี้ผมอยู่ม. 5 แล้วครับ ตลอด 3 ปีที่ผมไม่มีเธอ มีผู้หญิงมากมายเข้ามาในชีวิตของผม ผมไม่เคยปฏิเสธใครเลยครับ แต่ผมก็ไม่ได้จริงจังกับใครเลยซักคน วันนี้อาจารย์บอกว่าเราจะได้เพื่อนใหม่ สรุปว่ามีนักเรียนเข้าใหม่มาเรียนห้องเรา เป็นเด็กผู้หญิง เห็นอาจารย์บอกว่าน่ารักด้วย และเป็นปกติของเด็กผู้ชายที่จะตื่นเต้นกันเป็นธรรมดา เมื่อเธอเดินเข้ามาในห้อง พระเจ้าอาจารย์พูดถูกครับ เธอน่ารักเอ่อน่ารักมากดีกว่า ผมตกหลุมรักเข้าอีกแล้ว ผมอยากรู้จักชื่อเธอจัง และเหมือนว่าเธอจะรู้ใจผม เธอแนะนำตัว ( เปล่าหรอกครับ มันเป็นธรรมเนียมอยู่แล้ว เพียงแต่ผมคิดไปเอง ) " ชื่อขิมขวัญ นันทไพศาล ชื่อเล่นชื่อขิมค่ะ " ผมรู้สึกว่าชื่อเธอจะคุ้นๆ นะ มันคุ้นมากเลยทีเดียว ผมพยายามนึกอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วผมก็นึกออกเมื่อเธอมองมาที่ผม ขิม ขิมกลับมาแล้ว ผมจำแววตาของเธอได้เสมอ ถึงแม้เธอจะดูเปลี่ยนไปมากก็ตาม ตอนนี้เธอไม่มัดแกละเหมือนก่อนและไม่มีคุณน้าพยาบาลตามดูแลอีกต่อไปแล้ว ผมอยากวิ่งเข้าไปกอดเธอเหลือเกิน แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะผมเกรงใจชาวบ้านเค้า ผมคิดว่าหัวใจผมตอนนี้มันเต้นเร็วประมาณ 150ครั้ง/นาทีได้แล้วล่ะมั้ง " นายณัฐที ช่วยลุกขึ้นกล่าวต้อนรับเพื่อนใหม่หน่อยซิ " เสียงอาจารย์เรียกให้ผมกล่าวต้อนรับเพื่อนใหม่ ผมตกใจสะดุ้งจนตกเก้าอี้ เพื่อนทั้งห้องรวมทั้งขิมหัวเราะในความซุ่มซ่ามของผม ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นผมด้วย ผมพูดไม่ออกครับ ก็ผมดีใจหนิที่ขิมกลับมา " เอ่อยินดีต้อนรับครับ ขิม " ผมพูดพร้อมกับยืนจ้องหน้าเธอ ผมไม่รู้ว่าเธอจำผมได้รึเปล่า ผมแสร้งทำเป็นจำเธอไม่ได้ ตอนนี้สายตาของผู้ชายในห้องทุกคู่จับจ้องอยู่ที่เธอคนเดียวไม่เว้นแต่กระเทย ผมเริ่มเกิดความรู้สึกไม่พอใจหรือที่เค้าเรียกกันว่าหึงเข้าแล้ว ผมอยากจะลุกขึ้นตะโกนเหลือเกินครับว่า " ขิมน่ะแฟนกู " แต่ผมก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวจะน่าแตก ผมไม่แน่ใจว่าเธอใช่ขิมรึเปล่า ผมเฝ้ามองเธอมาตั้งแต่คาบนั้นแบบไม่ละสายตาไปไหนเลย จนมาถึงคาบนี้ คาบนี้เป็นคาบชมรม เพื่อนทุกคนในห้องต่างแยกย้ายไปเข้าชมรมกันหมด ตอนนี้ในห้องจึงเหลือเพียงผมกับขิมสองคนเท่านั้น เรานั่งอยู่คนละฟากกันเลยครับ เราสองคนกำลังเก็บของใส่กระเป๋า ผมรู้สึกเหมือนขิมกำลังมองผมอยู่ เหมือนว่าเธออยากเข้ามาคุยแต่ไม่กล้าเข้ามาหาผม ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเป็นฝ่ายไปหาเธอเอง ผมฟอร์มทำทีเข้าไปถามเธอ " มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ " " เอ่อมะ ไม่ ไม่มีอะไรค่ะ " เธอตอบผมแบบตะกุกตะกัก ผมหันหลังกลับแล้วเดินไปที่โต๊ะนั่ง ผมคิดว่าเธอคงจำผมไม่ได้จริงๆ จนกระทั่ง " เดี๋ยวก่อนณัฐ " เสียงเธอร้องเรียกให้ผมหยุด " ณัฐจำขิมได้รึเปล่า ขิมแฟนณัฐ ไง " ผมคิดผิดครับ เธอยังจำผมได้ และที่ยิ่งไปกว่านั้น เธอจำได้ครับว่าเราเป็นแฟนกัน " ขิมกลับมาแล้ว กลับมากลับมาหาณัฐ" ผมหันกลับไป เธอกำลังร้องไห้ คราวนี้เธอไม่มีคุณน้าพยาบาลคอยปลอบเหมือนแต่ก่อน ผมต้องทำหน้าที่แทนคุณน้าพยาบาลซะแล้ว ผมเดินกลับไปหาเธอ เดินนะครับขอย้ำว่าเดิน แต่ผมก็ไม่วายสะดุดขาโต๊ะล้มอีกจนได้ แล้วก็เหมือนเดิมครับ เธอเป็นฝ่ายเดินมาหาผมแทน " เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ " ผมมองหน้าเธอแล้วยิ้ม เธอยื่นมือมาให้ผมพลางหัวเราะ เธอยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลย ผมจับมือเธอลุกขึ้นแล้วโผเข้ากอดเธอ นับจากวันนั้นทุกสิ่งก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติครับ เราไปไหนก็ไปด้วยกัน ไปทานข้าวด้วยกันทุกวัน หอมแก้มเธอก่อนกลับบ้านทุกวัน คุยโทรศัพท์ด้วยกันทุกวันเหมือนเดิม ทุกคนเค้ารู้กันหมดอีกแล้วครับท่านว่าเราเป็นแฟนกัน อันที่จริงถึงเราจะคบกันมาหลายปีแล้ว แต่ทั้งผมและเธอก็ไม่เคยบอกรักกันเลยซักหน อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงวันเกิดขิมแล้ว ผมกะว่าจะบอกรักเธอในวันนั้นแหละครับ แล้ววันนี้ก็มาถึง ผมเฝ้ารอตั้งแต่เช้า รอจนถึงคาบชมรม ผมเดินจูงมือเธอไปที่สวนวรรณคดี ในตอนนี้ที่นี่มีเพียงผมและขิมสองคนเท่านั้น ผมกุมมือเธอไว้แน่นแล้วกระซิบที่ข้างหูเธอ " Happy Birth Day ครับขิม วันนี้ณัฐไม่มีอะไรจะให้ขิมหรอกนะ แต่มีอยู่อย่างนึงที่ณัฐอยากบอกกับขิม ณัฐรักขิมนะ" ผมได้บอกมันกับเธอแล้วครับ ผมรู้สึกได้เลยครับว่าตัวเธอสั่น ผมมองหน้าเธอ หน้าเธอแดงมากเลย ผมล่ะกลัวว่าเธอจะเป็นลมไปซะจริงๆ ผมถามเธอต่อว่า " แล้วขิมล่ะ " เธอทำหน้างงๆแล้วถามผมกลับ " อะไรนะณัฐ " ผมกลัวว่าถ้าผมได้ยินคำตอบของเธอผมจะหัวใจวายเอาซะก่อน " เปล่าๆ ไม่มีไรหรอก " ผมปัดป่าย " ขิม ขิมสัญญากับณัฐได้มั้ยว่าขิมจะไม่ทิ้งณัฐไปไหนอีก " ผมถามเธอด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถให้สัญญากับผมได้ " ทำไมหรอขิม หรือว่าขิมจะทิ้งณัฐไปไหนอีก คราวนี้ณัฐจะไม่ยอมให้ขิมจากณัฐไปไหนอีกแล้วนะ " น้ำตาขิมเริ่มไหลรินลงมาเป็นทาง เธอเข้ามากอดผมแล้วบอกผมว่า " สัญญาขิมสัญญา " ผมค่อยๆผละตัวออกแล้วเช็ดน้ำตาให้เธอ สักครู่เสียงออดหมดเวลาก็ดังขึ้น " เราไปกันเถอะณัฐ " เธอพูดแล้วจูงมือผมวิ่งขึ้นอาคาร ผมได้แต่หวังในใจว่าต่อไปมันจะไม่มีอะไรมาพรากเธอไปจากผมได้อีก ผมไม่อยากจะเสียเธอไป ตลอด 3 ปีที่เธอทิ้งผมไป ผมยอมรับว่าผมโกรธเธอมาก แต่พอผมได้เจอเธอผมก็ใจอ่อนขึ้นมาทันที ผมเกลียดเธอไม่ลงครับ ช่างมันเถอะมันผ่านไปแล้วมาเริ่มต้นใหม่ดีกว่า ตอนนี้เราอยู่ ม.6แล้วครับ เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆเลยนะ เผลอแป๊บเดียวเราก็จะ Ent แล้ว ผมกะขิมเลือก Ent เข้าคณะสถาปัตย์เหมือนกัน ผมไม่รู้ชตากรรมครับว่าถ้าผม Ent ไม่ติดผมจะไปเรียนที่ไหนดี แต่ขิมเค้ามีทางไปอยู่แล้วล่ะ เธอบอกผมว่าถ้าเธอ Ent ไม่ติดแม่เธอจะส่งไปเรียนเมืองนอก เธอรวยนี่ครับ พอผมรู้อย่างนั้นผมก็ชวนเธอไปบนไว้ซะ 7 วัด 7 วาเลยล่ะ ผมไม่อยากให้เธอจากผมไปอีก แล้ววันประกาศผล Ent ก็มาถึง ผมไปรับขิมที่บ้านไปดูผล Ent ด้วยกัน " ณัฐ ขิมกลัวไม่มีชื่อขิมอยู่บนบอร์ดจัง ขิมยังอยากอยู่กับณัฐ " เธอพูดกับผมตอนอยู่บนรถ เธอตื่นเต้นจนหน้าซีด " ขิมไม่ต้องกลัวหรอก มันต้องมีชื่อเราอยู่แล้วน่า ตั้ง 7 วัดนะขิม " ผมพูดตลกให้เธอสบายใจ และแล้วก็ถึงจุดหมาย ผมจอดรถแล้วเปิดประตูลงจากรถ " ขิมรออยู่นี่นะ เดี๋ยวณัฐไปดูให้ " ผมบอกกับเธอแล้วเดินเบียดเสียดกับกับผู้คนนับพันเข้าไปดูบอร์ดรายชื่อ " ขิม เราทำได้ " ผมตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยความดีใจ ผมรีบวิ่งกลับไปหาเธอ หน้าเธอดูกังวลเอาซะมากๆ " เป็นไงบ้างณัฐ " เธอถามผมด้วยความกระวลกระวาย ผมวิ่งเข้าไปกอดเธอ " เราทำได้ขิม เราทำได้ " ทั้งผมและขิมต่างดีใจกันสุดขีด สายตาของผู้คนแถวนั้นต่างมองมาที่ผมและขิมกันหมด เราคงจะดีใจมากไปจนเวอร์ แล้วชีวิตของเราในมหาวิทยาลัยก็เริ่มขึ้น ชีวิตของเราในมหาวิยาลัยไม่ได้แตกต่างอะไรจากประถมหรือมัธยมเลย มันยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เราสองคนก็เช่นกัน ตอนนี้เราสองคนอยู่ปี 2 แล้วครับ เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เหมือนผมฝันไป และอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันเกิดเธออีกแล้ว ผมกะว่าของขวัญวันเกิดของเธอปีนี้ต้องพิเศษกว่าปีที่แล้วๆมา ผมกำลังเก็บเงินซื้อของขวัญชิ้นพิเศษให้เธอ ตอนนี้ผมซื้อมันมาแล้ว ผมเก็บมันไว้อย่างดี ถึงแม้มันจะไม่ได้สวยหรือราคาไม่ได้แพงอะไรมากมาย แต่ผมก็พยายามจนเก็บเงินไปซื้อมันมาได้ ผมภูมิใจมากครับเพราะผมไม่เคยเก็บเงินได้สำเร็จมาก่อน ก็ทุกครั้งที่ผมเก็บเงิน เงินที่ผมเก็บได้ก็มิวายหายทุกครั้งไป แต่ครั้งนี้ผมทำได้ ผมเก็บเงินซื้อของขวัญให้เธอได้แล้ว คงเป็นเพราะเธอมั้ง เธอคือกำลังใจของผม คราวนี้ก็รอแต่เวลาเท่านั้น แล้ววันเกิดเธอก็มาถึง วันนี้เธอเข้ามาถามผม " ณัฐ รู้มั้ยวันนี้วันอะไรเอ่ย " " วันวันพุธไง " ผมตอบเธอแกมกวนส่วนที่เดินได้ของเธอ " ไม่ช่ายยย..ย.. " เธอพูดเชิงอยากให้ผมนึก " นึกดีๆสิ นึกๆๆๆๆ " เธอย้ำให้ผมนึกอยู่นั่นแหละ " นึกไม่ออกอะ " ผมบอกกับเธอ ที่จริงผมรู้ครับว่าวันนี้คือวันเกิดของเธอ ผมไม่เคยลืมมันหรอก แต่ครั้งนี้ผมต้องทำเป็นจำไม่ได้เพราะผมยังไม่กล้าให้สิ่งๆนั้นกับเธอ " ณัฐจำไม่ได้จริงๆหรอ " เธอถามผม " จำไม่ได้จริงๆ " ผมตอบเธอเพื่อย้ำความมั่นใจ น้ำตาเธอกำลังจะไหลแล้ว ผมจะทำยังไงดี " ไปทานเข้ากันเถอะขิม " ผมชวนเธอไปทานข้าวเป็นการตัดบท ผมไม่อยากเห็นเธอร้องไห้เพราะผม หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ยอมพูดกับผมเลยซักคำ เธอคงเสียใจมากที่ผมจำวันเกิดเธอไม่ได้ แล้ววันเกิดเธอก็ผ่านไป ผมยังไม่ได้ให้มันกับเธอเลย ผมไม่กล้าครับ ไม่กล้าที่จะให้เธอ บอกตามตรงผมเขิน ผมยังไม่พร้อม ผมขอเวลารวบรวมความกล้าซัก 2-3 วันละกัน 3 วันผ่านไป วันนี้ผมพกความกล้ามาเต็มเปี่ยมครับ ผมซักซ้อมมาเต็มที่หน้ากระจก ผมพร้อมแล้ว แต่แล้วเธอก็ไม่มามหาวิทยาลัย ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ก็ได้ ผมบอกกับตัวเอง แต่แล้ววันแล้ววันเล่าเธอก็ไม่มา นี่มัน 2 อาทิตย์แล้ว ผมชักเป็นห่วงเธอแล้ว ผมโทรไปหาเธอทุกวันแต่ก็ไม่มีคนรับสาย เธอคงจะโกรธผมมาก ผมชักหวั่นๆ กลัวเธอจะทิ้งผมไปอีกครั้ง ผมได้แต่คิดเข้าข้างตัวเอง " ไม่มีทาง ขิมเค้าสัญญากับเราแล้ว เค้าไม่มีทางผิดสัญญา " แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังกลัว ผมพยายามโทรหาเธอทุกวัน แต่ก็ไม่มีคนรับสายเช่นเดิม แล้ววันหนึ่งเธอก็โทรมาหาผม " ณัฐ ขิมมีอะไรจะบอก ขิม ขิมรักณัฐนะ รักมากมากเท่าที่" แล้วเธอก็เงียบไป เสียงเธอสะอื้นเหมือนกำลังร้องไห้ ผมอยากจะถามเธอว่าเธอเป็นอะไร แต่ผมก็ไม่อยากจะขัดจังหวะเธอ " ณัฐเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ขิมรัก ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาขิมร้องไห้เพราะคิดถึงณัฐทุกวันเลยรู้มั้ย และที่ขิมกลับมา ก็เพื่อกลับมาหาณัฐ ขิมกลัวขิมจะไม่มีโอกาสได้บอกณัฐ แต่ตอนนี้ขิมสบายใจแล้ว ขิมได้บอกณัฐแล้ว ถึงแม้มันจะช้าไปหน่อย" ผมเริ่มรู้สึกเอะใจกับคำพูดของเธอ " ทำไมขิมพูดอย่างนั้นล่ะ " " เอ่อไม่มีอะไรหรอกณัฐ " ผมรู้ว่าเธอตอบเพียงเพื่อให้ผมสบายใจ " งั้นแค่นี้นะณัฐ ขิมต้องไปแล้ว ขิมรักณัฐนะ " แค่นั้นครับแล้วเธอก็วาง ผมไม่รู้ว่าเธอจะรีบไปไหนกัน หลังจากวันที่เธอโทรมาหาผมเธอก็ยังไม่ไปมหาวิทยาลัย ถึงผมจะห่วงเธอมากผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ตอนนี้ผมทำได้เพียงรอ รอโทรศัพท์จากเธอเท่านั้น แล้ววันนี้ขิมก็โทรมาอีกครั้ง เสียงเธอเบามากจนฟังแทบไม่ได้ยิน " ณัฐ ณัฐมาหาขิมที่โรงพยาบาลหน่อยได้มั้ย ขิมคิดถึงณัฐ ขิมอยากเจอณัฐ อย่าช้านะ เดี๋ยวขิม จะรอ " ผมดีใจมากครับที่เธอโทรมา เธอคงจะป่วยอีกแล้ว ผมวางสายแล้วรีบออกมาหาเธออย่างที่เห็น ตอนนี้ผมถึงโรงพยาบาลแล้วครับ ผมลงจากรถมอร์ไซค์รับจ้างจ่ายตังค์ แล้วเดินไปสู่จุดหมาย ขณะที่ผมกำลังเดินบนฟุตบาตใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว ผมก็ดันซุ่มซ่ามเดินสะดุดฝาท่อล้มอีกจนได้ ของขวัญที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผมก็หล่นกลิ้งหายไปไหนไม่รู้ ผมใช้เวลาอยู่ตั้ง 10 นาทีกว่าจะหามันเจอ มันไปหลบผมอยู่ข้างถังขยะครับ แกล้งกันชัดๆเลย ผมรีบหยิบมันขึ้นมาทำความสะอาดแล้วไม่รอช้าที่จะเข้าไปหาเธอ ผมหาเธอไม่เจอครับ ผมรีบเกินไปจนลืมถามเธอว่าเธออยู่ห้องไหน ผมต้องใช้สมองแก้ปัญหาซะแล้ว อ้า!ผมไปถามเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ดีกว่า " พี่ครับ ขิมขวัญ นันทไพศาลอยู่ห้องไหนครับ " " รอซักครู่นะคะ ห้อง 508 ค่ะ " " ขอบคุณครับ " ผมกล่าวขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่แล้วรีบขึ้นไปหาเธอ ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยความรีบร้อนจนไม่ทันดูว่ามาถูกห้องรึเปล่า ผมเห็นทุกคนที่อยู่ในห้องกำลังร้องไห้ ผมว่าผมเข้ามาผิดห้องแน่ๆ ผมกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง แต่แล้วก็มีเสียงคนเรียกผม " ณัฐ ณัฐมาแล้วหรอลูก " ผมจำได้ว่านี่เป็นเสียงของคุณน้าพยาบาล ผมหันกลับไปยังที่มาของเสียง ผมเห็นคุณน้าพยาบาลกำลังร้องไห้ " มีอะไรกันหรอครับ " ผมถามทุกคนด้วยความสงสัย ผมเดินเข้าไปหาคุณน้าพยาบาลที่อยู่ข้างๆเตียงผู้ป่วย " ขิมรอณัฐนานแล้วลูก " คุณน้าพยาบาลบอกกับผม " แล้วขิมอยู่ไหนครับ " ผมถามคุณน้าพยาบาลพลางมองหาเธอจนทั่วห้อง และแล้วสายตาผมมันก็ไปหยุดอยู่ตรงเตียงผู้ป่าย ผมเห็นร่างเล็กๆนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าสีขาวคลุมอยู่ " ใครหรอครับ " ผมหันไปถามคุณน้าพยาบาลที่อยู่ข้างๆผม คุณน้าพยาบาลสะอื้นไห้ เธอค่อยๆดึงผ้าคลุมออกช้าๆ ร่างๆนั้นเริ่มปรากฏ ร่างเล็กๆร่างนั้นคือร่างของขิม สุดที่รักของผม ผมมาช้าไป ผมปล่อยให้เธอต้องรอนาน ขิมจากผมไปแล้ว คราวนี้เธอทิ้งผมไปจริงๆ เธอไม่สามารถกลับมาหาผมได้อีกแล้ว ผมโผเข้ากอดร่างอันไร้วิญญาณของเธอ ไหนเธอบอกว่าเธอจะรอผม เธอผิดสัญญา หรืออาจผิดที่ผมเองที่มาช้าไป น้ำตาลูกผู้ชายเริ่มไหลลงมาอีกครั้ง ผมไม่เคยเสียน้ำตาให้ใครเลยนอกจากเธอ เธอที่ผมรักที่สุด ผมไม่สามารถจะรั้งเธอไว้ได้ ผมเพิ่งรู้เรื่องทั้งหมดจากคุณน้าพยาบาล ที่ขิมเคยบอกผมว่าเธอเป็นโรครู ที่จริงแล้วมันคือ โรครูคีเมียร์ เธอต้องขาดโรงเรียนทุกเดือนเพื่อไปเปลี่ยนเลือดที่โรงพยาบาล ขิมเป็นโรครูคีเมียร์มาตั้งแต่เกิด ครั้งแรกที่เธอต้องจากผมไป เธอไปเพื่อรักษาโรคที่อเมริกา เธอไม่อยากบอกผมเพราะกลัวผมเสียใจ แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าที่เธอไม่บอกผมมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเสียใจยิ่งกว่า ตลอด 3 ปี แพทย์พยายามรักษาเธอแต่ก็ไม่มีหวัง ร่างกายของเธออ่อนแอเกินไปบวกกับอาการของเธออยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว แพทย์บอกว่าเธอเหลือเวลาที่จะอยู่บนโลกนี้เพียง 3 ปี 3 ปีเท่านั้น เวลา 3 ปีที่เหลือเธอเลือกที่จะกลับมาหาผม เธอกลับมาเพื่อฟังและบอกสิ่งๆนั้นกับผม คุณน้าพยาบาลเล่าบางสิ่งให้ผมฟังต่อว่า " ก่อนที่ขิมเค้าจะไปขิมเค้าฝากน้าบอกบางอย่างกับณัฐ " " คุณน้าขา ถ้าณัฐมาไม่ทัน หนูฝากคุณน้าบอกณัฐด้วยนะคะวันนั้นมันเป็นวันเกิดขิมเอง " " ขิมพูดกับน้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด " คุณน้าพยาบาลบอกกับผม " ผมขอโทษขิมผมขอโทษ " ผมกอดร่างเธอไว้แน่นแล้วพร่ำคำขอโทษซ้ำๆ ผมไม่รู้ว่าเธอจะได้ยินคำขอโทษของผมไหม " ผมรู้ วันนั้นวันเกิดขิม ผมจำได้ ผมไม่เคยลืม " ผมพูดพร่ำทั้งน้ำตา " นี่ไงของขวัญที่ผมเตรียมไว้ให้ขิม " ผมพูดพร้อมกับล้วงมือไปในกระเป๋าเสือเพื่อหยิบสิ่งๆนั้น " แหวนวงนี้ไง " ผมหยิบแหวนทองวงเล็กที่สลักชื่อ ณัฐ กับ ขิม ไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้ววางมันลงบนมือของขิม " สุขสันต์วันเกิดครับขิม " ผมพูดกับร่างอันไร้วิญญาณของเธอ น้ำตาของผมมันยังคงไม่หยุดไหล ผมทำให้ต้องเธอเสียใจ ทำไมทำไมผมต้องไม่กล้า เพียงแค่เพราะความรู้สึกไม่กล้าเท่านั้นมันทำให้ผมเสียโอกาสที่สำคัญที่สุดไป " ผมเสียใจ " ผมไม่ได้ให้มันกับตัวของเธอ ตอนนี้เธอจากผมไปแล้ว ผมควรทำอย่างไร ผมเสียเวลากับแหวนวงนี้ไปมากจนทำให้ผมต้องเสียเธอที่ผมรักไป แต่นี่คือของขวัญของเธอ ในเมื่อผมตั้งใจนำมันมาให้เธอแล้วผมก็ต้องทำอย่างที่ผมตั้งใจไว้ ถึงแม้เธอจะไม่รับรู้อะไรแล้วก็ตาม ผมค่อยๆพยุงมืออันบอบบางของเธอขึ้นมา บรรจงสวมแหวนวงนั้นให้เธอ " ผมรักขิมนะ " ผมกล่าวแล้วจูบที่มือลาเธอด้วยน้ำตา " หลับให้สบายเถอะนะคนดีของผม เราคงจะมีโอกาสได้พบกันเพียงในฝันนะ " นี่คงเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมจะได้บอกกับเธอ " ไม่มีอะไรจะช่วยให้เธอกลับมา ฉันเข้าใจเพียงแค่อยากบอกกับเธอว่าหลับให้สบาย จะจับมือเธออยู่ข้างๆไม่ไปไหน ตราบจนนาทีสุดท้ายที่ยังมี จะมองหน้าเธอสบตาเธออย่างวันนั้น และมีความผูกพันให้เธออย่างเต็มที่ อย่าหวั่นไหวกับน้ำตาของฉันเลยคนดี สักวันฉันคนนี้จะตามไป " จะรักเพียงเธอ.ณัฐ
19 กุมภาพันธ์ 2547 13:54 น. - comment id 71104
ชอบมากเลย ซึ้งมาก แต่งให้อ่านแบบนี้อีกได้ไหมนะ
19 กุมภาพันธ์ 2547 17:09 น. - comment id 71110
แต่งได้ดีมากเลยค่ะ เรื่องนี้เหมือนอุทาหรณ์ได้ว่าอย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป เพราะอะไรบ้างครั้งไม่สามารถย้อนกลับมาได้ค่ะ เศร้ามากนะค่ะ แต่ก็ซึ้งกินใจดีจังค่ะ ชอบนะค่ะ
20 กุมภาพันธ์ 2547 12:08 น. - comment id 71114
ขอบคุณพี่ตูนมากๆๆๆๆๆค่ะ ดีจั๊ยดีจัย
20 กุมภาพันธ์ 2547 12:10 น. - comment id 71115
ซึ้งนะ \"ซักวันผมจะตามคุณไป\"
20 กุมภาพันธ์ 2547 12:15 น. - comment id 71116
ขอบคุณค่ะวันสุข
25 กุมภาพันธ์ 2547 15:26 น. - comment id 71201
ซึ้งจนเราร้องไห้เลยค่ะ
26 กุมภาพันธ์ 2547 17:39 น. - comment id 71221
จริงอะ? ดีจัยจัง ป่านก็ดีใจจนนำ้ตาไหลเหมือนกัน อิอิ ขอบคุณรมิดานะคะ
27 กุมภาพันธ์ 2547 20:45 น. - comment id 71259
น่ารักมากเลย นี่แหละที่เค้าเรียกว่ารักแท้ ซึ้งจริงๆ
29 กุมภาพันธ์ 2547 14:40 น. - comment id 71304
ถูกต้องแล้วค๊าบบบ..บ.บ ที่ว่าเราน่ารักอะ
1 มีนาคม 2547 12:07 น. - comment id 71321
ซึ้งมากเลยล่ะนำตาเราซึมเลย