กรงจันทรา
โลกแห่งความฝัน
**@**ยามรุ่งอรุณตะวันทอแสงเปล่งสีเป็นประกาย นกกาเหว่าแว่วบรรเลงเพลงแผ่วเสียงกังวานหวาน มีกระต่าย ตัวหนึ่งกระโดดโลดเต้น กลางทุ่งหญ้าเขียวพลิ้วไหวคล้ายระลอกคลื่นแห่งระบำยอดหญ้า หมอกควันลอยละเลียบเหนือผืนแผ่นปฐพี พลางม้วนตัวปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลมโชยอ่อน
**@**ยามเย็นแสงสีหมากสุกของแดดอ่อนสาดสะท้อนพร่างอาบไล้ชโลมหล้าทั่ว
ไพรพฤกษ์ คละครึ้ม ทุ่งหญ้าที่พลิ้วปลิวสบัดพัดสายลมต่างเงียบสงัด พร้อมกับเสียงนกกาเหว่าก็พลันเงียบ คงเหลือเพียงเสียงกระแสลมที่กรรโชก
**@** พลบค่ำแสงจันทร์เต็มดวง นวลละอองตาวางกระจ่าง ท่ามกลาง หมู่เมฆในม่านของรัตติกาล ราวแผ่นผืนกำมะหยี่ สีดำ กากเพชรแพรวพราว วาววับพลันประดับเรียงราย ณ กลางกระดานผืนฟ้า เบื้องล่างแลเห็นภาพสะท้อนของดวงจันทรา อยู่กลางแอ่งน้ำที่กำเนิดด้วยรอยเท้าสัตว์ กระต่ายน้อยพานพบเงาจันทร์ ก็พลันอยากครอบครอง พรำรำพันว่า " ถ้าเราวิดน้ำจากแอ่งน้ำจนหมด คงได้ครองจันทราสมใจหมาย " กระต่ายน้อยจึงวิดน้ำขึ้นมาจากแอ่งด้วยความพยายาม วันแล้ว- วันเล่า ในที่สุดน้ำในแอ่งน้ำก็เหือดแห้งหายไปหมด พร้อมทั้งเงาจันทร์ที่หายไป กระต่ายน้อยตกใจที่ไม่ได้ครองพระจันทร์ จึงตรอมใจตาย ก่อนลมหายใจจะดับสิ้น จึงอธิษฐานถึงดวงจันทร์ ว่าอยากครอบครอง ด้วยจิตตั้งมั่นได้ส่งถึงเทพธิดา ผู้อาศัยอยู่บนดวงจันทร์
***เทพธิดาจึงเห็นใจ ในตัวกระต่ายผู้โง่งม จึงได้นำกระต่ายน้อยไปจำจอง ณ กรงจันทรา...........
****เมื่อส่องกระจก เงาจะสะท้อนมาถึงตัวเรา ผู้ที่หลงใหลในเงาที่ไม่ใช่ของตัว ย่อมเป็นเฉกเช่น กระต่ายที่หลงใหลในเงาจันทร์
****เมื่อส่องกระจก เงาจะสะท้อนมาถึงตัวเรา ผู้ที่หลงใหลในเงาที่ไม่ใช่ของตัว ย่อมเป็นเฉกเช่น กระต่ายที่หลงใหลในเงาจันทร์