พวกเจ้าเป็นไพร่หลวง ข้าเป็นพระราชวงศ์ แต่เจ้ากับข้าเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเราเป็นคนไทย เป็นเจ้าของแผ่นดินเหมือนกัน รบวันนี้เราจะแสดงให้ผู้รุกรานเห็นว่าเราหวงแหนแผ่นดินแค่ไหน รบวันนี้เราจะไม่กลับมาค่ายนี้อีกจนกว่าจะขับไล่ศัตรูไปพ้นชายแดน ข้าจะไม่ขอให้พวกเจ้ารบเพื่อใคร นอกจากรบเพื่อแผ่นดินของเจ้าเอง แผ่นดินที่เจ้ามอบให้ลูกหลานของเจ้าได้อยู่อาศัยอย่างเป็นสุขสืบไป นั่นคือ พระสุรเสียงอันดังก้องอยู่เบื้องหน้าเหล่าทหารหาญแห่งกองทัพไทย โดยกรมพระราชวังบวรสุรสีหนาท ที่ทรงประกาศปลุกขวัญแก่ไพร่ทหาร ณ ทุ่งลาดหญ้า กาญจนบุรี (ศึกเก้าทัพ) โดยกำลังพลทหารไทยสามหมื่น ที่เข้าต่อกรกับทัพพม่า จำนวน 5 ทัพ ร่วม แปดเก้าเหมื่นนาย ยุทธศาสตร์การรบ ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการจรยุทธ และเหลี่ยมคูต่อข้าศึกจนระย่อ...ใจ. สุ้มเสียงสำเนียงการบรรยายสดๆ โทนเสียงคล้องจอง ต่ำสูง ดุจอ่านบทกวี ร่ายโฉลกให้พวกเราฟัง ท่วงทำนองตามจังหวะ ประกอบเสียงทางเครื่องเสียง สนั่นเคล้าเหตุการณ์ต่างๆ เสียงสนั่นลั่นร้องของม้าศึก เสียงร้องของช้างศึก กองทัพประจัญ เสียงไพร่พลทหารรบพุ่ง เสียงดาบ ปะ ดาบ บางครั้ง มีเสียงปืนใหญ่ ดังสนั่น (ตามจังหวะบทพูด) ทำเอาทุกคนต่างสะดุ้งพร้อมกัน แลค่อยๆ หันมามองหน้ากัน พร้อมยิ้มๆ นั่นคือ บรรยากาศ ขณะ เข้าชม อุทยาน ประวัติศ่สตร์ สงครามเก้าทัพ ณ ทุ่งลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี พวกเราร่วมๆ สองร้อยกว่าชีวิต ที่ล้อมวง ฟังการบรรยาย เหตุการณ์ อย่างได้อารมณ์ของ พันตรี จวน อินทร์ศร ( ผู้พันหนวด) บางห้วง บางจังหวะ ให้อารมณ์ความรักชาติอยางเข้มข้น บางจังหวะ ก็อดขำไปกับมุข ของผู้พัน กันเป็นระยะ เสียงเพลงคลอตาม ไม่ว่า จะสายโลหิต หรือ เพลงเกี่ยวกับการรบรากับข้าศึก ของบรรพบุรุษไทย ช่างเร้าใจนัก...แลมีผู้ชมบางคน เช็ดน้ำตา หรือน้ำตาคลอ เมื่อพรรณา ถึงความเสียสละ ความโศกกำสรดอาดูร ยามถูกย่ำยี โดยอริราชศัตรูที่กุมเหงน้ำใจคนไทย.... .....อา...สงคราม ณ ทุ่งลาดหญ้า คือ ฉากสำคัญ อันเป็นความเป็นความตายของสยามประเทศ หากเราพ่ายในศึกนี้ สยามประเทศ คงถูกลบไปจากประวัติศาสตร์โลกอย่าแน่นอน ...แต่โดยพระปรีชาสามารถ ขององค์พระมหากษัติย์ไทย ที่ทรงเป็นจอมทัพ นำเหล่าทหารหาญ ทั้งชนชาวไทยอาสา ร่วมปกปักรักษาบ้านเมือง ด้วยเลือดด้วยเนื้อ โดยซากศพถมทับกันเกลื่อนแผ่นดิน ชัยชำนะ บนทุ่งลาดหญ้า คือปฐมชัยต่อทัพอื่นต่อมา แลนั่นเก้าทัพ(พม่า)ต้องยับย่อย อย่างแท้จริง ( อ้างอิงมาจาก บล็อค คุณศุภรุต) ข้าพฯ หยิบยก เอาบางช่วงของการเดินทางไปสร้างฝายที่เขื่อนศรีนครินทร์ และกิจกรรมของทริปนี้ร่วมกับชุมชนน่าอยู่ลุมพินีสัมพันธ์ ซึ่งมีช่วงประทับใจข้าพเจ้า นำมาเกริ่นกล่าวสู่กันฟัง นะขอรับ ....... เบิกฤกษ์ในวันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา คุณแก้วประภัสสร แจ้งข่าวมาที่ข้าพฯว่า คุณอัลมิตา ชวนไปร่วมสร้างฝายกับกลุ่มชุมชนลุมพินี โดยร่วมกันไปสร้างฝาย ที่เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี และไปร่วมมอบสิ่งของช่วยเหลือเด็กๆให้กับมูลนิธิเด็ก ที่เมืองกาญจน์ ข้าพเจ้า ก็ เซย์เยส ไป ..... อรุณรุ่งตี ๕ ต้องตื่นเพราะนาฬิกาดปลุกดังลั่นห้อง รีบอาบน้ำ พร้อมกับเดินจากหมู่บ้านมามาที่ถนนใหญ่ เรียกแท๊กซี่ เรียกไปสามคันแรกท่านไม่ยอมไป (จากบางนา ไปพระรามสี่) ฟ้องหรือร้องเรียนดีไหมนี่???? พอคันที่ ห้ารับข้าพฯเจ้าขึ้นรถปุบ พระพิรุณก็โปรยสายฝนลงมาประมาณยกกว่าๆ สารถีเปิดเพลงเก่าๆ ชวนนอนหลับยิ่งที่กิ่งโศกชอบใจนัก (จำได้ว่าศรคิรีร้อง บุพเพสันนิวาส) เสียงเพลงกล่อมไปพร้อมๆกับท่านสารถี ช่างเจรจาเยอะไปหน่อย ดีว่าถึงทางลงลงทางด่วนพระรามสี่ซะก่อน (ไม่งั้นคง...) คุณโชว์เฟอร์ หันมาถามข้าพเจ้าว่า ตึกลุมพินีทาวเวอร์ อยู่ตรงไหน ( ยุ่งละสิ) ข้าพเจ้าพยายามนึก เท่าที่ดูในแผนที่มา มันอยู่ซ้ายมือหลังจากลงทางด่วนอืม..แท๊กซี่ชลอ ผ่านตึกอะไรสักอย่าง มีคำว่าลุมพินี โชว์เฟอร์บอกน่าจะใช่ แต่พอลงไปถาม คนที่ยืนแถวนั้น บอกไม่ใช่ บอกว่า พี่ต้องเดินย้อนกลับตรงเลยสะพานลอยโน้น ไปอีกหน่อย ก็ถึงแหละ ข้าพเจ้าจึงเดินดุ่มๆเดี่ยวๆยามเช้าตรู่ มองเหล่าแม่ค้าแถวนี้กำลังเตรียมตั้งร้านรวงกัน เดินมาสักพัก เจอรถบัสจอดเรียงกันอยู่ข้างตึก นึกในใจ คงใช่ และใช่จริง..(ดูเหมือนคน ตจว.เพิ่งเข้ากรุงจริงๆ). . ระหว่างยืนหันซ้ายแลขวาอวดหุ่นอันสะโอดสะองค์ (อวบๆ) ให้คนกรุงชั้นใน(กว่า) แลชมอยู่นั้น ข้าพฯก็โทรหาคุณแก้วประภัสสร (คุณแบม)ที่นั่งแท๊กซี่มาพร้อมกับพี่สาว ซึ่งคุณแบมบอกกำลังใกล้จะถึง แล้ว แต่คนที่ข้าพเจ้าเจอะเจอคนแรก คือ คุณแม่มด ก็ทักทายกัน สักพักหน่อยๆ คุณอัลมิตตาก็มาถึงพร้อมกับเด็กหนุ่มสาวสี่ห้าคนมาด้วย (คงจะเป็นผู้คุมเด็กแน่ๆ) ต่างก็ทักทายสวัสดีกันตามระเบียบ ต่อมาคุณแก้วประภัสสร และพี่เล็ก และเพื่อนคุณแบมอีกสองคนก็มาสมทบ ทีมของพวกเราร่วมๆ ยี่สิบกว่าคน ได้นั่งรถบัสคันที่ 5 จากจำนวน 5 คัน จนเวลาเลขผานาที ที่ ๗.๐๐ น. ล้อรถบัสทั้งห้าคันก็หมุนเคลื่อนที่เดินทาง เหอๆๆช้าไป หนึ่งหรือครึ่งชั่วโมงตามกำหนดเดิม จากนั้นมีรายการแจกอาหารเบรคฟัส (กล่อง) บนรถมีการละลเนเกมส์ ตามสไตล์ทัวร์ต่างจังหวัด ขาไป มีอยู่ท่านหนึ่ง สงสัยกะจะเหมารางวัล เพราะพี่ท่านตอบ(แม่น)อยู่คนเดียวและไวด้วย ผิดกับพวกเรานั่งกันตอนกลางมาทางท้ายรถกว่าเสียงจะส่งคำตอบไปยังคนทายที่หัวรถก็ไม่ทันอีตาคนนั้นแล้ว สักพักรถก็พาพวกเราแวะปั้มน้ำมันยี่ห้อหนึ่ง เพื่อให้เข้าห้องน้ำห้องท่า (โดยไม่เคยถามความสมัครใจจากเรา 5) จุดที่จอดแถวๆนครปฐม อีตรงข้างๆปั้มมีร้านขาหมูบางหว้า คุณอัลมิตตา หันมาชวนจะไปกินข้าวขาหมู (ของแจกคงเบาท้องนะเอาไม่อยู่) แต่ดูเวลาแค่สิบห้านาทีคงไม่ทันเลยต้องทนหิวไปก่อน ...สิบโมงเช้าโดยประมาณ รถบัสคันของพวกเราต้องแวะเอาของบริจาคที่ ร้านวุ้นเส้น.ท่าเรือ.....จากนั้นมุ่งลิ่วที่เขื่อนเลย ระหว่างทางมีคนที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอลฺ แต่มีอาการเมา( จริงๆ หุหุ) ไม่คนเดียวเสียด้วยสิ นิ ..และแล้ว สิบเอ็ดโมง เราก็ถึงการไฟฟ้าเขื่อนศรีนครินทร์และถูกต้อนเข้าห้องให้ดูให้ฟังวีดิทัศน์ถึงความเป็นมาเป็นไป ของประวัติเขื่อนศรีนครินทร์ และโครงการสร้างฝายถวายสมเด็จย่า และถวายพ่อหลวง หลังจากนั้น แบ่งคนเป็นสองกลุ่ม ไปสร้างฝายกัน มีฝายหนัก สองฝาย และแบบเบาๆ ชิวๆ อีก เก้าฝาย พวกเราหันไปมองหัวหน้ากลุ่ม (คุณอิม) คุณอิมบอก พวกเราควรไปงานหนัก (คงดูสารรูปเราแล้วเนาะ) คุณอิมบอกพวกเรามีประสบการณ์การสร้างฝายมาแล้ว ควรไปด้านที่หนักเพื่อจะได้ช่วยเหลือกลุ่มที่ยังไม่เคยทำฝายกัน (น่าภูมิใจนิ) และแล้ว ฝายทั้งสองฝาย ที่มีคนประมาณสักร้อยกว่าๆ ก็ระดมเกณฑ์ทั้งวัยหนุ่ม สาว วัยรุ่น ส่วนคนสูงอายุ ให้กำลังใจก็พอ ต่างเข้าแถวต่อแถวเรียงหนึ่ง ขนหินก้อนต่อก้อน สู่มือต่อมือ ก้อนเล็กก้อนใหญ่ ท่ามกลางพระอาทิตย์กำลังเบ่งรัศมีเต็มพิกัด (คงรอโอกาสมานานแล้ว) ระหว่างส่งก้อนหินต่อก้อน เราก็คุยหยอกล้อกันไปเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีกับคนแปลกหน้า มีเฮ มีฮากัน ข้าพเจ้าเชื่อคุณอิม ที่บอกว่าพวกเรามีประสบการณ์(สูงหรือต่ำไม่ยอมบอก) เลยขยับตัวเองไปอยู่ตรงทางลาดชัน อีตอนนั้นเหงื่อก็โทรม หิวก็หิว (เขาบอกสร้างฝายให้เสร็จถึงจะให้กินข้าวมื้อเที่ยง เหมือนพระเจ้าตากตอนตีเมืองจันทร์ ทุบหม้อข้าวแล้วเข้าไปกินในเมือง ) ร้อนแดดที่แผดที่เผา เจอก้อนหินก้อนใหญ่ๆห้าหกก้อนติดๆกัน ข้าพฯใจเริ่มหวิว เลยปีนขึ้นไปด้านบนไปนอนเอน(บางคนคงคิดว่าข้าพเจ้าอู้แง๋มๆๆ) เปิดพุงรับลมให้หายหน้ามืด แต่เริ่มทำท่าจะไม่ดีพื้นดินโคลงเคลง เลยนอนราบกับพื้น ได้ลมพัดโชยมาสักครู่จึงดีขึ้น กะว่าจะลงไปช่วยขนหินต่อ แต่ตอนนั้นได้ยินเสียงร้องเฮ เขาถ่ายรูปกัน บอกเรียบร้อยแล้ว (ไม่รอกิ่งโศกเลยนิ กะว่าจะไปสร้างภาพด้วย) กิ่งโศกเดินโผลเผลแบบไร้คนดูแล(ยังเหนื่อยอยู่) จึงเดินไปล้างหน้าที่ห้องน้ำรู้สึกเรี่ยวแรงกลับมา และจึงไปต่อที่ห้องอาหาร เจอคนนั่งกันเต็ม แต่ พวกเราสังเกตง่ายกว่าใครๆ เสื้อจิตอาสาสีส้มแจ้ดๆๆ เลยรวมตัวกันได้ง่าย พออาหารบนโต๊ะเริ่มถูกกำจัดหายไปจนเกือบเกลี้ยงทุกคนเริ่มอิ่มท้อง ก็ถูกต้อนเข้าห้องอีกมารวมตัวที่ห้องประชุม ซึ่งมีรายการตอบคำถาม พวกเรามองเห็นมีเสื้อส้มอยู่คนนึงในกลุ่มเราอยู่บนเวทีด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะตอบไม่ค่อยทันเขานะ หุหุ เลยไม่มีรางวัลติดมือลงมา.. จากนั้นก็ถูกเกณฑ์ให้ทุกคนขึ้นรถไปที่สันเขื่อนไปถ่ายรูปสร้างภาพกัน บนสันเขื่อนแลลงมาดูระดับน้ำในเขื่อนแล้วน่าใจหายเพราะมีน้ำไม่มาก ปีนี้คงจะแล้งกันพอสมควรละ แต่อีกด้านหนึ่งคือภาพวิวทิวทัศน์ งดงาม ความเขียวขจีรอบๆเขื่อนเต็มไปด้วยป่าไม้ชายเขา ดอกไม้ที่ปลูกเอง และขึ้นเอง โดยเฉพาะต้นพญาเสือโคร่ง สีม่วงอ่อน ออกดอกแข่งกับดอกคูนที่ออกดอกสีเหลืองอ่อน แข่งกันงามเลยละครับ หลังจากนั้นพวกเราก็ถูกนำตัวไปอีกครั้งครั้งนี้มาที่อุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ ดังที่ข้าพเจ้าเกริ่นต้นเรื่องไว้เยี่ยงนั้นแล ที่นั่นนอกจากเราจะพบ ผู้พันหนวด มายืนต้อนรับพวกเราในชุดนักรบสยามสะพายดาบมือขัดหลังคู่(คล้ายเสมา เรื่องขุนศึก) เมื่อทุกคนพร้อม ผู้พันหนวดเริ่มบรรเลงเพลงเล่าขาน ประวัติศาสตร์ชวนตื่นตาตื่นใจกับลีลา ผู้พันหนวด ผู้พันเล่าเรื่องราวประดุจท่องจำ เรียงลำดับเนื้อเรื่องได้ดี มีจังหวะรุก จังหวะหยอดมุก ชอบผู้พันหนวดตรงนี้แหละ เพื่อนๆใครจะไปเมืองกาญจน์ อย่าลืมแวะนะครับ ค่าเข้าชม ฟรี ครับ ในกลุ่มพวกเรายังพบกับพี่สิรินพร พร้อมพี่ผู้ชาย(สามี) มารอพวกเราด้วย พี่สิรินพร น่ารักมาก นำขนมผลไม้มาฝากพวกเราด้วย เลยได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกัน และพี่สิริพร ก็จะไปร่วมแจกของให้เด็กด้วย พี่สิรินพรนำลูกฟุตบอลและอุปรณ์กีฬามาร่วมแจกด้วย กลุ่มหลักๆที่มาในทริปนี้ เป็นของชุมชนน่าอยูลุมพินีสัมพันธ์และมีกลุ่มของบริษัทคุณอิม ICC ที่มีพวกเราไทยโพเอ็มแจมมาด้วย เมื่อทางมูลนิธิโดยแม่ชี ได้รับมอบสิ่งของต่างๆ และเงินบริจาค จากพวกเราแล้ว ให้บรรดาเด็กๆของมูลนิธิ แสดงการฟ้อนรำแบบชาวเขาให้พวกเราได้ชม กันสองชุด ประทับใจ แม้อากาศจะร้อนก็เหอะ ขณะนั้นดูเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว (เลยกำหนดการอีกแระ) พวกเราก็เดินทางกลับกันโดยขากลับ ได้แวะที่โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ(จังหวัดกาญจน์) และหารับประทานอาหารและซื้อของฝากกับบ้านกัน พวกเรามาถึง กรุงเทพฯร่วมๆสี่ทุ่มเห็นจะได้ ต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ข้าพเจ้า ก็ยังคงมีปัญหากับแท๊กซี่ เช่นเดิม คันแรกจอดแต่ไม่ไป คันที่สองโชคดี ที่ไม่ปฏิเสธข้าพเจ้า ... ทริปนี้ นอกจากได้บุญแล้ว เป็นทริปที่น่าประทับใจอีกทริปหนึ่งขอรับ ................................................................................................................... ภาพคี่ ภาพคู่ ภาพหมู่ ............................................................................................ บทส่งท้าย ๏ อย่าพึงผลาญพร่าหย้ำ.........ดินผืน มาตุภูมิเฮย สดับรับภาพเหยียบยืน..............เยี่ยงผู้- เบื้องศพซากสุมฟืน.................กองฝุ่น บรรพชนแล ทรนงเถิดศักดิ์รู้ ................ชาติเชื้อเราสยาม ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖
12 มีนาคม 2556 21:37 น. - comment id 131816
รถเรานะ เขาห้ามนำเครื่องดื่มมึนเมาขึ้นไป แต่ไหง มี บางหนึ่ง สองคน เมา...เอิ๊กๆ ส่วนอีกคน พอเสร็จ เดินขึ้นมาข้างบน บอกผมนองหงายอบู่กับพื้น ไร้คนเหลียวแล คงเพราะหินหนักอะนะ ทุกคนเลยไม่อยากวาง .. "(เขาบอกสร้างฝายให้เสร็จถึงจะให้กินข้าวมื้อเที่ยง เหมือนพระเจ้าตากตอนตีเมืองจันทร์ ทุบหม้อข้าวแล้วเข้าไปกินในเมือง ) ความคิดเจ๋งจริงๆ .... ผู้พันพากษ์เสียงได้น่าฟังดีค่ะ ฮาตอนแกหยอดมุกนั่นแหละ งานนี้ดีใจที่ได้พบพี่สิรินด้วย ผู้ใหญ่ใจดีอีกท่านค่ะ
12 มีนาคม 2556 21:46 น. - comment id 131818
ข้างบนโทรโข่งเรียก เหล่าสาวสีส้มกับหนึ่งหนุ่ม ขอสักรูปสองรูปก่อน...สงสัยคงลืมไปว่า พวกเรายังเด็ก..ต้องจับปูใส่กระด้ง อิอิ
12 มีนาคม 2556 21:59 น. - comment id 131819
เอามาฝากเพื่อนๆค่ะ สวยมาก
12 มีนาคม 2556 22:00 น. - comment id 131820
สังเกตุภาพ คห.๒ นะครับ มีก๊อกน้ำ ลอยได้อะ
13 มีนาคม 2556 10:04 น. - comment id 131821
ก๊อกผีสิง
13 มีนาคม 2556 11:20 น. - comment id 131822
มีวิญญาณ์ผีตาโบ๋มาถือก๊อกน้ำอะจิ แหมมม .. เรื่องเมารถเนี่ย เมาเช้า เมาสาย เมาบ่าย เมาเย็น ยิ่งกว่าที่สุนทรภู่เบียนไว้ซะอีกว่า เมาประจำทุกค่ำคืน เมารถอย่างเดียวนะ แต่ไม่ได้เป็นลม 5555
13 มีนาคม 2556 12:02 น. - comment id 131824
งานนี้ถ้าจะมีศึกมิเลิกราเป็นแน่แท้
14 มีนาคม 2556 09:31 น. - comment id 131826
มาสาธุด้วย ไม่ได้ไปช่วยเลยงานนี้ แต่เรามีสร้างฝายป่าต้นน้ำอาทิตย์หน้า กับเด็ก ๆ และชาวบ้าน แถบป่าชุมชนดงลาน นะ ร่วมด้วยช่วยกันเดี๋ยวเอารูปมาฝาก
14 มีนาคม 2556 10:56 น. - comment id 131827
บุญ..ปกปักรักษาคนทำดี สุขอย่าได้สร่าง
14 มีนาคม 2556 16:28 น. - comment id 131828
10 นะคะพี่กิ่ง
15 มีนาคม 2556 07:56 น. - comment id 131832
"กิ่งโศกเดินโผลเผลแบบไร้คนดูแล" ทำไมไม่ดูแลเนี่ยะ อิอิ พุงหาย ปู่ดูขาดพุงไป... ไงไม่รู้ เน๊าะ อาคุงแบม ก๊ะอาคุงอิม แอบเอาพุงปู่ปายยยย ....แหงมๆ เห็นวิวเห็นต้นไม้ เห็นป่า...ดูน่าสดชื่นดีจังเวยขอรับ...
15 มีนาคม 2556 12:09 น. - comment id 131834
11 เขาแบ่งๆกลุ่มกันจร้า อีฉันต้องไปดูเจ้ และเพื่อนๆที่ไปด้วยจร้า อิอิ แหม...ต้องถามสิว่า ทำไมปู่ไม่ไปดูแลเจ้แบม ..เกือบตกเขา หน้ามืด จะเป็นลม 555
15 มีนาคม 2556 15:56 น. - comment id 131835
มาอนุโมทนาสาธุกับพี่ปู่ค่ะ
15 มีนาคม 2556 23:39 น. - comment id 131840
ฟังเรื่องเล่าแล้วสนุกจังเลย อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ คุณกื่งเขียนเรื่องเก่งจังค่ะอ่านสนุก แถมภาพสวยๆด้วย
16 มีนาคม 2556 15:13 น. - comment id 131841
๑-๒-๓. คุณแบม ประทับใจในลีลา ผู้พันครับ การที่จะทำให้คนหลักร้อยคล้อยตามนี่ คงต้องสร้างวิธีการ ..เรื่องเมานี่ มันมิเข้าใครออกใครครับ ฮา ภาพถ่ายขนาดว่ารีบๆๆ กันนะครับ ยังมีเป็นร้อยเลย งานนี้ ต้องขอบคุณ คุณอิม ที่มาชวนครับ ...รูปก๊อกน้ำ ลอบได้ อะ ๕ พี่กุ้ง เสียดายทริปนี้ไม่ได้ไปทำบุญร่วมชาติกันนะครับ ไว้งานนหน้านะครับ ๖ คุงอิม นั่นสิ อาจมีวิญญาน แถวนั้นมาถือไว้ แต่ผมว่าถ้าเป็นวิญญานเมื่อยแย่เลย แถมตากแดดด้วย คงถือได้ไม่นานเผ่นแน่ๆๆ เรื่องเป็นลม นี่ อิอิ เป็นได้ทุกคนละคร๊าบๆๆ อิอิ แหม งานนี้ เสียฟอร์ม เลยเรา ๗ คุงแม่มด อิอิ ยามศึกข้านึกแต่รบ กับรบ แหม้ แว่าวเพลงสายโลหิตมาเลยละครับ ส่วนพวกเรา ยอมสงบศึกกันได้ขอรับ ๘ พี่อ้อย ยังคิดถึงกันอยู่เสมอครับ รักษาสุขภาพนะครับแล้วจะได้ลุยกันอีก ๙. ท่านคอนฯ ขอบคุณมากครับที่มาร่วมโมทนาบุญด้วย ๑๐ น้องวา หวัดดีจ้า สบายดีหนอ ๑๑ คุณกีรติ 55 ปู่ว่าจะทำให้ได้ ซิกแพก ตอนนนี้ได้เพียงครึ่งแพกอะนะครับ งานนี้แม้เหนื่อยจนเป็นลม แต่หัวใจยังสู้ ครับ ๑๒ ตามนั้นครับคุณแบม อิอิ ๑๓ น้องกานต์เพียงพลิ้ว ยินดีมากเลยจ้า ๑๔ พี่แจ้น ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ขอให้พี่แจ้นมีแต่ความสุขสบายตลอดไปนะครับ
22 มีนาคม 2556 17:53 น. - comment id 131844
อืมมส์ดูภาพแล้วก็น่าสนุกนะ แต่ตอนนี้ ร่างกายไม่สนุกเลยไม่สมดุลย์กับธรรมชาติ เป็นไปตามวัฏฏะจักร จึงพยายามปล่อย วาง แต่สิ่งที่ยั่วเย้ายิ่งนักคือความปวดเมื่อย อ่อนล้า เกิดขึ้น ก็พยายามบังคับใจตนเอง เท่านี้แหละ นี่ดีหน่อยก็เลยแวะมาเยี่ยม นึกว่าได้เข้ามาแล้ว อยากสบายใจก็เลย มาอี่ก เห็นภาพต่างๆแล้วชื่นใจจ้า รักศิษย์เรามากๆเสมอ แก้วประเสริฐ.