ระอุแดดของยามบ่ายสาดส่องลงมาต้องพื้นถนนคอนกรีตของเขตเมือง รังสีความร้อนแผ่ขยายไปทุกอณูของป่าคอนกรีต ตึกสูงเสียดฟ้ายืนยงเคียงคู่กับระบอบทุนนิยม ที่นับวันจะยิ่งผันแปรความเป็นไปของโลกใบนี้เข้าไปทุกที โลกที่ความเจริญทางด้านวัตถุวิ่งสวนทางกับความเจริญทางด้านจิตใจ ผู้คนล้วนแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด และเพื่อความเป็นหนึ่ง แข่งขันกันตลอด 365 วันใน 1 ปี แทบไม่มีวันว่างให้พอได้พักหายใจ แต่ถึงแม้จะได้พักก็คงพักอย่างไม่สบายใจนัก ด้วยกลัวว่าคู่แข่งจะก้าวแซงหน้าไป ทุกคนล้วนยึดคติ ถ้าคุณไม่ใช่ที่หนึ่ง ก็ไม่มีความหมาย ตรงตัวและชัดเจน การได้ยืนอยู่บนหัวของผู้อื่นย่อมได้รับการค้ำประกันจากสังคมว่า อย่างน้อยคุณก็ยังมีความสำคัญอยู่บ้าง คนอื่นจะจดจำคุณได้ และกลับกัน ถ้าคุณไม่ใช่ที่หนึ่ง ก็จะไม่มีใครจดจำคุณ แม้เพียงเหลียวมองก็ยากที่จะเห็น คุณจะเป็นเพียง ไอ้กระจอก ตัวหนึ่ง เท่านั้น ผมยืนอยู่เบื้องหน้าตลาดใหญ่กลางใจเมืองตลาดที่ไม่มีวันหยุด คอยอ้าแขนเปิดรับผู้คนจากทั่วสารทิศ เพื่อสนองตอบตัณหา และกระแสบริโภคนิยมที่อุดมไปทั่วทั้งโลก ถนนด้านหน้าจอแจไปด้วยรถยนต์ ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ ตุ๊กตุ๊ก ฯลฯ ยังผลให้ถนนขนาด 4 เลนแลดูคับแคบลงถนัดตา ถ้าไม่บอกก็คงไม่เชื่อว่านี่คือสภาพการจราจรในวันหยุด แต่เดี๋ยวก่อน ! ใครบัญญัติว่าวันหยุดแล้วถนนต้องโล่ง มันไม่มีอีกแล้ววันหยุดนี่แหละคือวันทองของการสร้างโอกาสและกอบโกยผลประโยชน์ของพวกที่ย่างตีนเข้าสู่วงการธุรกิจวงการที่คำว่าจรรยาบรรณและจริยธรรมไม่มีในพจนานุกรม สิ่งเดียวที่ผู้คนในวงการนี้ ( อนุญาตให้หมายรวมไปถึงพวกบริโภคนิยมที่เกลื่อนกลาดเต็มประเทศได้ด้วย ) ยึดมั่นและถือมั่นมาเป็นอันดับหนึ่งก็คือ ตัวกูและของกู ผู้คนยังคงหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย บ้างลงจากรถประจำทาง บ้างตุ๊กตุ๊ก บ้างขับรถมาเอง หลากหลายที่มา แต่มีจุดหมายที่เดียวกัน คือตลาดแห่งนี้ ผมย่างเท้าเข้าไปผ่านซุ้มประตูเหล็กใหญ่โตโอ่อ่า ที่ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ให้ไฉไลสะดุดตากว่าเมื่อก่อน ผมเคยมาที่นี่เมื่อเกือบสิบปีก่อนสมัยที่ซุ้มประตูยังเป็นไม้เก่าคร่ำคร่า ตัวอักษรบ่งบอกชื่อตลาดที่ติดทับอยู่นั้นเป็นเพียงแผ่นเหล็กที่สนิมจับ บางตัวหลุดร่วงลงมากองอยู่บนพื้น สมัยที่ตลาดแห่งนี้เป็นเพียงตลาดเล็กๆที่เปิดเพื่อสนองตอบความต้องการปัจจัยในการดำรงชีวิต ร้านรวง 30 กว่าร้านที่เปิดรับลูกค้าด้วยไมตรีจิต ไม่หวังกำรี่กำไรจนเกินงาม แม่ชอบพาผมมาที่นี่ด้วยเหตุผลที่ของไม่แพงและคนขายก็อัธยาศัยดี ความเหมือนของวันนี้กับวันวานเหลือเพียงของราคาถูก ( เมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆในย่านนี้ ) แต่ก็ยังต่างในรายละเอียดอยู่ดีถูกสมัยนี้คือโคตรแพงสมัยก่อน แต่ก็หาได้มีใครสนใจไม่ เพราะผู้คนในสมัยนี้ยึดถือปัจจุบัน และวาดหวังอนาคต มากกว่าที่จะเหลียวหลังมองอดีต บรรยากาศภายในคึกคักจอแจจนน่ารำคาญ เจี๊ยวจ๊าวจนหงุดหงิด เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายเซ่งแซ่ พ่อค้าแม่ค้าชักจูงลูกค้า ลูกค้าต่อราคาพ่อค้าแม่ค้า ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าเป็นภาษาอะไร คลื่นฝูงชนแออัดยัดเยียดเบียดเสียดจนใช้การเดินไม่ได้ ต้องปล่อยตัวให้ไหลไปตามกระแสชน ผมปล่อยตัวลื่นไหลไปตามกระแสชน กวาดสายตาเมียงมองหาของที่ถูกใจ หาใช่ถูกใจผม แต่ต้องถูกใจแม่ วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของแม่ เป็นหน้าที่ๆลูกอย่างผมจำต้องหาของขวัญสักชิ้นไปสุขสันต์วันเกิดท่าน แม้ท่านจะพร่ำบอกอยู่เสมอว่าไม่ต้องซื้อหาอะไรมาให้ท่าน ขอแค่ผมทำตัวเป็นเด็กดี แค่นั้นก็เป็นของขวัญที่ประเสริฐที่สุดแล้ว หลายๆปีที่ผ่านมาผมจึงได้แค่บอกคำว่า รักแม่ เป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดให้ท่าน จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดท่าน ท่านจะเฝ้ารอคอยคำพูดนั้นจากปากของผม จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ตระหนักชัดเจน ตระหนักถึงอะไรน่ะหรือ ? คำพูดไงล่ะคำพูดมันลอยลมนะคุณ !จับต้องไม่ได้ ก็เดี๋ยวนี้มีใครเขาให้ความสำคัญกับคำพูดบ้างล่ะมันก็แค่ลมปาก ขอแค่ได้พูด แต่ไม่รับผิดชอบคำพูดของตัวเอง มีให้เห็นทั่วไป และส่วนมากมักจะเป็นพวกที่มีการศึกษาสูงๆเสียด้วยสิ ผมกลัวว่าแม่จะตกยุค ที่คาดหวังและใส่ใจในคำพูด ผมเลยต้องวิ่งตามกระแสเสียบ้าง แต่ก็ไม่ใช่วิ่งตามจนเกินงาม และก็ไม่ได้ปล่อยวางจนเกินพอดี ปล่อยวางแต่พองาม และวิ่งตามแต่พอดี ชีวิตนี้ก็เป็นสุขได้ เวลาไม่ถึง 10 นาทีร่างผมล่องตามกระแสชนมาไกลมองกลับไปที่ประตูทางเข้ากะได้ประมาณสิบกว่าเมตร ท่ามกลางกระแสชนที่เชี่ยวกราดเช่นนี้ เป็นการยากที่จะแทรกตัวหยุดดูของอย่างเป็นกิจลักษณะได้ ทุกคนที่มาล้วนมีเป้าหมาย เมื่อผ่านประตูทางเข้าเข้ามาก็จ้ำอ้าวมุ่งสู่ร้านประจำของตัวเอง ซื้อปลีกไปใช้เอง หรือซื้อส่งไปขายต่อ ก็แล้วแต่ภาระหน้าที่ของใครของมัน คนไร้จุดหมายอย่างผมจำต้องปล่อยตัวให้ไหลไปอย่างไร้จุดหมายจนกว่าจะสุดสายชน นานเนิ่นและเนิ่นนานกว่ากว่าที่กระแสชนจะเบาบางลง รู้สึกตัวอีกที่ผมก็ล่องทางมาเกือบร้อยเมตร ผมหยุดยืน และกวาดสายตาสำรวจบริเวณที่ผมยืนอยู่ บรรยากาศแถวนี้ผิดกับบริเวณทางเข้าอย่างมาก ร้านค้าแถวนี้เปิดกันอย่างเบาบาง 10ร้านจะเปิดสัก 3 ร้าน ที่เปิดก็เปิดอย่างไร้วิญญาณ ไม่มีการประดับตกแต่งร้าน ไม่มีแสงสี ไม่มีสีสัน เหมือนกับว่าเปิดไปอย่างนั้น ไม่คิดจะเชิญชวนลูกค้า ไม่คิดจะขายใคร และก็เป็นอย่างที่ว่าแถวนี้ผู้คนบางเบาถึงเบาบางมาก ใช่สิ ! ไม่อย่างนั้นผมจะหยุดยืนได้อย่างไร ความแตกต่างที่เหมือนสวรรค์กับนรกนี้ ทำให้ผมแปลกใจเหลือคณานับ หลายๆคนอาจจะมองสีสัน ความอึกทึก ว่าเป็นสวรรค์สำหรับพวกเขา แต่สำหรับผมแล้ว ด้านหน้านั้นดูเหมือนนรกมากกว่าจะเป็นสวรรค์ ผมเกลียดความวุ่นวาย เกลียดความสับสน ที่นี่เปรียบเหมือนสวรรค์สำหรับผม ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นแม้บรรยากาศจะน่ากลัว เพราะแผงกั้นที่หนาทึบเบื้องบนปิดกั้นแสงสว่างที่ควรจะส่องสว่างลงมายังเบื้องล่างไว้เสีย มืดและเปลี่ยวเหงา แต่ผมก็เลือกที่จะเดินเข้าไป หาของที่น่าจะถูกใจแม่ สองข้างทางหงอยเหงา ร้านที่เปิดบริการค่อยๆลดลงเรื่อยๆตามระยะทาง ความเย็นชื้นเริ่มปกคลุม ทันใด ! ปลายตาของผมเหลือบไปเห็นร้านๆหนึ่งเยื้องซ้ายของผม หน้าร้านประดับประดาด้วยศิลปะจากงานไม้ ชักพาให้ผมย่างเท้าเข้าไปดู ด้วยเป็นเพียงร้านเดียวในบริเวณนี้ที่เปิดอยู่ ปกติผมไม่สนใจของพรรค์นี้หรอก แต่ผมไม่ได้ซื้อให้ตัวเองนี่ ผมซื้อให้แม่ แม่น่าจะชอบของเมด อินธรรมชาติแบบนี้ ทันใดที่ได้ไปยืนอยู่ด้านหน้าของร้าน ผมก็ต้องตกใจ เพราะภายในห้องเช่าขนาด 3 คูณ 5 เมตรนั้น เต็มไปด้วยงานศิลปะจากไม้ เรียงรายจนเกือบจะเต็มความจุของห้อง บ้างเรียงรายอยู่บนชั้นวางที่ยาวเหยียดจากหน้าห้องถึงหลังห้อง บ้างกองตัวอยู่บนพื้น มากมายจนแทบจะไม่มีทางเดิน ความตกใจจางหายไปสายตาผมเริ่มกวาดหาชิ้นงานที่น่าสนใจ และน่าตกใจยิ่งกว่า ที่งานทุกชิ้น ( ที่ผมดู ) ล้วนมีความละเอียดในเนื้องาน ไม่พยายามละเว้นถ้าไม่จำเป็น เนื้องานเรียบเนียน ความมันวาวของแล็คเกอร์ช่วยขับความงามของชิ้นงานให้โดดเด่นโลดแล่นออกมา ความสมจริงในแบบเอ็กเพรสชั่นนิสต์ที่ขับดันให้ตัวงานเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ นี่คือศิลปะชั้นสูง ! อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ผมสงสัยก็คือ งานศิลปะชั้นสูงอย่างนี้ ทำไม ? มาซ่อนตัวอยู่ในหลืบกาลของความเหงาเช่นนี้ ในขณะที่งานจับฉ่ายดาดๆทั่วไปกลับได้ไปนอนตากแอร์อยู่บนห้างชั้นนำทั้งหลายแหล่ ผมเริ่มพิจดูชิ้นงานอย่างสนอกสนใจมากขึ้น พยายามลงลึกถึงรายละเอียดให้มากที่สุด แล้วผมก็พบสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ความหม่นเศร้าที่ซ่อนตัวอยู่ในงานแทบทุกชิ้นที่ผมดู ไม่เว้นแม้แต่ งาน นกน้อยเหนือกิ่งไผ่ ที่เจ้านกน้อยยิ้มรับดวงอาทิตย์ที่สาดแสงส่องลงมาเหนือต้นไผ่ สดใสและแช่มชื่น ก็ยังมองเห็นถึงความเปลี่ยวเหงาหม่นเศร้าที่สะท้อนออกมาจากชิ้นงาน หรือว่าผมจะคิดไปเอง ? ทิ้งความสงสัยไปเสีย ว่าแล้วผมก็เดินหาชิ้นงานที่ถูกใจต่อไป ผมเดินเลือกไปเรื่อยๆจนมาจบที่งานแกะสลักรูปหัวใจสองดวงวางซ้อนกันเหนือแผ่นหัวใจที่รองรับไว้ หัวใจสองดวงที่อ้วนกลมน่ารัก เป็นงานศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ชิ้นเดียวที่ผมมองเห็นในร้านนี้ แม้จะแลดูเรียบง่ายแต่ก็สมบูรณ์ในตัวของมันเอง รังสีแห่งความรักที่แผ่ออกมาจากเนื้องาน ทำให้ผมตัดสินใจเลือก หัวใจไม้ ชิ้นนี้เป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดสำหรับแม่ ผมหยิบงานชิ้นนี้ขึ้นมาไว้ในอุ้งมือ พลางสายตาก็มองหาเจ้าของร้านเพื่อจะสอบถามถึงราคาของชิ้นงาน แต่ไม่พบ ! หรือว่าเจ้าของร้านจะถูกงานไม้ทั้งหลายแหล่นี้ทับตายไปแล้ว ความคิดอกุศลผุดขึ้นมาในหัวผม แต่เมื่อครั้นไม่เห็นวี่แววของเจ้าของร้านจริงๆแล้ว ผมจึงตัดสินใจตะโกนถามเรียกหาเจ้าของร้าน ขอโทษครับ ทำไมต้องขอโทษวะ ? เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย สมองผมยังคงคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นเคย มีใครอยู่ไหมครับ ? ผมเอื้อนเอ่ยอีกครั้งเมื่อยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าของร้าน มีอะไรไอ้หนุ่ม ? เสียงแหบแห้งดังลอดมาจากหลืบมุมห้อง งานไม้ที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นวางบดบังร่างต้นเสียงนั้นไว้ เพียงพอที่จะทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย จะจะซื้อของหน่อยครับ ผมชี้แจง ในขณะที่สายตาก็พยายามจะมองลอดช่องระหว่างงานไม้เพื่อจะขอเห็นผู้เป็นเจ้าเสียงแหบแห้งนั้น อยากได้อะไรล่ะ ? เสียงแหบแห้งดังลอดออกมาอีกครั้ง หัวใจไม้อันนี้ครับ ผมกล่าวตอบพลางยกงานไม้รูปหัวใจสองดวงชูขึ้น หวังให้เจ้าของเสียงแหบแห้งนั้นต้องเผยกายออกมาดูว่า งานชิ้นไหนวะ ? แล้วเขาก็หลงกลผม ร่างเจ้าของเสียงแหบแห้งนั้นเดินออกมาจากหลืบมืดมุมห้อง เชื่องช้าและกระง่อนกระแง่นเต็มทน ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า คือ ชายชราอายุราว 70 ปี ผมสีดอกเลาประปรายอยู่เหนือศรีษะ รอยหน้ายับย่น แก้มตอบเผยให้เห็นโหนกแก้มชัดเจน ขอบตาลึกลงไปจนเกือบจะถึงเบ้าตา บ่งบอกถึงชีวิตที่กรำงานมาอย่างหนักหน่วง มือซ้ายที่ผอมแห้งคีบมวนยาเส้นที่ส่งกลิ่นฉุนกึก เสื้อกล้ามสีขาวเก่าคร่ำคร่าที่เหมือนกับว่าไม่เคยต้องกับผงซักฟอกมานานนับปีเล็กเกินไปที่จะปกปิดรอยสักเสือเผ่นกลางหน้าอกที่ซีดจางได้หมด กางเกงชาวเลสีเทาหม่นแลดูเข้ากับใบหน้าที่หม่นเศร้าเป็นอย่างดี อันนั้นเหรอ ? ชายชราทักถามพลางทิ้งก้นลงนั่งบนเก้าอี้ไม้กลางร้าน สายตาจับจ้องมาที่ผม เท่าไหร่ครับ ? ผมตอบคำถามด้วยคำถาม พลางหลบสายตาที่จ้องมาประจันกันพอดี เอาไปทำอะไรล่ะ ? ชายชราตอบคำถามด้วยคำถามเช่นกันคล้ายกับว่าจะล้อเล่นกับผม พลางยกมวนยาเส้นที่คีบไว้ขึ้นดูด จะเอาไปให้แม่ครับวันนี้วันเกิดแม่ ผมยุติการตอบคำถามด้วยคำถาม งั้นรึท่าทางจะรักแม่สินะไอ้หนุ่ม พูดเสร็จ ชายชราก็ยกกระโถนที่วางอยู่ใต้เก้าอี้ขึ้นมาถ่มเสลดที่ฝืดคอทิ้งไป ผมยังไม่ทันได้ตอบ เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นเสียก่อน แม่ลุงตายตั้งแต่ลุงอายุได้ 3 ขวบ ชายชราแทนตัวเองว่าลุง ลุงไม่เคยรู้จักพ่อและไม่เคยคิดอยากจะรู้จักด้วย เขาว่ากันว่ามันทิ้งแม่ไปตั้งแต่มันรู้ว่าแม่ท้องลุง ชายชราเริ่มรำลึกความหลัง การที่คนแก่อายุรุ่นปู่รุ่นย่าเรา มาพูดถึงบุพการีของตัวเอง สำหรับผมออกจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่คำพูดของชายชราก็ทำให้ลำคอผมอึกอักคล้ายกับมีก้อนอะไรสักอย่างมาอุดไว้ หายใจไม่สะดวก ได้แต่กลืนน้ำลาย เตรียมใจเพราะลางสังหรณ์บอกผมว่าการสนทนาในครั้งนี้อาจจะยืดยาว น่าดีใจนะไอ้หนุ่มที่เอ็งยังมีแม่ให้บอกรัก รักแม่ให้มากๆล่ะ ดวงหน้าที่ยับย่นนั้นหม่นเศร้า หงอยเหงา เหมือนกับว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลก ทำไม ? ชายชราคนนี้ถึงให้ความรู้สึกที่แสนเศร้าเช่นนี้ แกมีความโศกเศร้าในใจมากมายนักหรืออย่างไร ? อะไรที่ทำให้แกเป็นเช่นนี้ ? ดูจากดวงหน้าแล้วลุงแกไม่น่าจะเป็นคนเมืองหรือว่าจะมาจากบ้านนอก ในขณะที่ห้วงความคิดของผมโลดแล่นไปไกล ริมฝีปากก็เผยอถามออกไปอย่างอัตโนมัติ โดยที่ตัวผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะถามอะไรด้วยซ้ำ ลุงเป็นคนบ้านนอก เอ๊ย ! ชนบท เอ๊ย ! คนต่างจังหวัด เหรอครับ ? กว่าจะเลือกใช้คำที่ดูไม่เป็นการเหยียดหยามลุงแกเกินไปนัก ผมก็ได้แสดงการเหยียดหยามแกไปเรียบร้อยแล้ว ลุงมาจากอุดรฯ ชายชราตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีวี่แววของความขุ่นใจที่ถูกเหยียดหยามเอาเสียเลย เมื่อก่อนลุงทำนาทำกับเมียสองคน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ก็พออยู่ได้ไปวันๆ จน เสียงของชายชราหยุดลงกลางคัน ยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นของผมให้ทวีมากขึ้น จนอะไรครับ ? ผมพลั้งปากถามออกไปตามสันดานสอดรู้สอดเห็น อยากรู้อยากฟังเรื่องของผู้อื่น จนจนไม่มีนาให้ทำน่ะสิ ชายชราเสียงสั่นเครือเหมือนกับจะร้องไห้ ความรู้สึกผิดเข้าจู่โจมสามัญสำนึกความเป็นคนของผม รู้สึกผิดที่แส่สอดเรื่องของผู้อื่นที่สำคัญ ! มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียด้วย ขะขอโทษครับลุง ความรู้สึกผิดทำให้ผมพูดอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าก้มต่ำลงด้วยเกรงสายตาของชายชราจะจ้องมาที่ผม แต่ก็มิวายที่ผมจะเหลือบตามอง สำรวจพฤติกรรมของชายชรา ชายชราปิดเปลือกตาลงคล้ายกำลังต่อสู้กับอดีตที่แสนเลวร้ายของตัวเอง ไม่เป็นไรไอ้หนุ่ม แต่ไหนๆก็เล่าไปแล้วลุงก็อยากจะเล่าให้จบ เอ็งช่วยฟังลุงหน่อยได้ไหม ? ถือว่าทำบุญทำทานละกัน ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่เพียงพยักหน้ารับคำอย่างขอไปที ขอบใจไอ้หนุ่มเอ๊ย ! ลุงไม่เคยเล่าเรื่องให้ใครฟังเลยขอให้ลุงได้ระบายหน่อยแล้วกัน ชายชราพูดพลางจ้องมาที่ตาของผม คล้ายกับว่าจะลำเลิกคำสัญญาเมื่อครู่ ทุกอย่างมันก็คงจะดำเนินไปเรื่อยๆตามทางของมัน พอกินพออยู่ไปวันๆ แม้ไม่มีมากมาย แต่ก็ไม่แร้นแค้นขาดแคลนขนาดไม่มีจะกิน แต่ ! เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งฝนเจ้ากรรม ที่เคยตกต้องตามฤดูกาล จู่ๆ ! ก็ไม่ตกซะยังงั้น ลุงได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ ฝนถึงจะตก เดือนแล้วเดือนเล่าก็ยังไม่มีวี่แวว ฝนไม่ตกก็ทำนาไม่ได้ ทำนาไม่ได้ก็ไม่มีข้าว ไม่มีเงิน ไอ้พวกผักสวนครัวที่ปลูกไว้หวังจะใช้ประทังชีวิต มันก็เหี่ยวเฉา ตายไปเป็นแปลงๆ ไม่รู้จะหาอะไรมาประทังชีวิต สุดท้ายก็ต้องไปกู้เงินธนาคารเขา เอาที่นาไปจำนองไว้ เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งก็เอามาซื้อข้าวซื้อของประทังชีวิต อีกส่วนก็เอาไปซื้อพันธุ์ข้าวเตรียมไว้ ด้วยหวังว่าฝนจะตกลงมาอีกครั้ง แต่รอแล้วรอเล่า ฝนก็ยังไม่ตก ข้าวของที่ซื้อมาก็ค่อยๆร่อยหล่อลงไปทุกๆที ข้าวที่เตรียมไว้จะปลูกเมื่อปล่อยไว้เนิ่นนานก็กลายเป็นข้าวลีบ ใช้ปลูกไม่ได้พอทีนี้แหละ ฝนกลับตก แถมตกอย่างเอาเป็นเอาตาย คล้ายกับว่าอดอยากมานาน ลุงไม่เคยช้ำใจขนาดนั้นมาก่อน ได้แต่นอนร้องไห้ ไม่ว่างานหนักหนาแค่ไหน ลุงก็ไม่เคยท้อ แต่ฟ้ามาแกล้งกันอย่างนี้ ต่อให้คนเข้มแข็งแค่ไหน ก็คงทนไม่ไหวเหมือนกันตอนนั้นลุงเหมือนคนสิ้นไร้หนทาง เสียงสั่นเทาหยุดลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินจากดวงตา ชายชรายกมือขึ้นบีบเค้นที่ดวงตาน้ำตาลูกผู้ชายรินไหลออกมาเป็นสายหล่นร่วงลงสู่พื้น เป็นน้ำตาของความผิดหวังที่ร้ายกาจ ที่ร่ำไห้กับโชคชะตาที่เล่นตลก ผมพูดอะไรไม่ออกเขยิบทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้อีกตัวตรงข้ามชายชรา แต่ลุงยังโชคดีลุงได้เมียดี มันคอยปลอบลุง ให้กำลังใจลุงเสมอมา ชายชราเริ่มเล่าต่อ แม้น้ำใสจะยังคงไหลจากสองตาอยู่ หลังจากที่นาถูกธนาคารยึด ลุงกับเมียก็ปรึกษากันหาทางออก ลุงเห็นเพื่อนๆของลุง เขาพากันเข้ามาแสวงโชคในเมืองกรุง ลุงกับเมียเห็นดีด้วย จึงพากันมาเมืองกรุงมาแรกๆไม่มีที่อยู่ ต้องไปอาศัยวัดนอน ดีที่หลวงพ่อแกใจบุญ เอื้อเฟื้อลุงกับเมียเป็นอย่างดี แต่ก็อีกนั่นแหละ ! สมัยนี้คนใจบุญมีน้อยเหลือเกิน หลวงพ่อท่านออกบิณฑบาตแต่ละวัน ได้ข้าวมาแค่บาตรกว่าๆ ไหนต้องแบ่งเด็กวัดกับหมาอีก วันๆได้กินไม่ถึงครึ่งกระเพาะ ลุงเห็นว่าเรามาเบียดเบียนพระเบียดเบียนเจ้า ก็ละอายใจ จึงลาหลวงพ่อออกมาหางานทำก็ออกมาเป็นกรรมกรแบกหาม ทำงานก่อสร้างตามที่ต่างๆ ได้ค่าจ้างวันละ 50 บาทก็พออยู่ได้ ลุงเริ่มมองเห็นอนาคตที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็มีข้าวให้กิน มีที่ให้ซุกหัวนอน แต่แล้ว ! โชคชะตาก็เล่นตลกกับลุงอีกไอ้ผู้รับเหมาฯชาติชั่วมันรับเงินเขาแล้วก็ชิ่งหนีไปทิ้งลุงกับคนงานอีก 60 กว่าชีวิตไว้เบื้องหลังนั่นเป็นอีกครั้งที่ลุงร้องไห้ทุกอย่างมันกำลังจะไปได้ดีแท้ๆ แต่ก็กลับมาพังทลายลงอีกน้ำใจคนเมืองมันแล้งยิ่งกว่าฝนบ้านนอกเสียอีก ลุงหมดหนทาง ไม่รู้จะไปทางไหน เรียนมาก็น้อย ไอ้งานดีๆก็คงไม่มีใครเขาจ้าง ไอ้ครั้นจะไปเป็นกรรมกรก่อสร้างที่อื่นมันก็เข็ดเสียแล้ว ไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะไม่ถูกโกงอีก จึงตกลงกับเมียคิดว่าจะกลับไปบ้านนอกถิ่นเกิดกลับไปทำอะไร ลุงก็ยังไม่รู้ไม่มีเป้าหมายในชีวิตรู้แต่ว่า ลุงอ่อนแอเกินกว่าจะอยู่ในเมืองที่สวยแต่เปลือก แต่เนื้อในมันเน่าเฟะเหลือร้ายเมียลุงมันเห็นว่าลุงเหนื่อยมามากแล้ว จึงเออออตามลุงกับเมียไปรอรถกลับอุดรฯที่หมอชิต ด้วยเงินเหลือติดตัวที่ เพียงพอแค่ค่ารถ แต่มันก็เพียงพอแล้วมากมายเกินกว่าที่จะทนอยู่ในเมืองสวรรค์โสมมอย่างนี้ลากันที เมืองกรุงอันโหดร้ายลุงกับเมียนั่งรอรถอยู่ แต่แล้ว ! ก็เหมือนกับโชคชะตาเล่นตลกกับลุงอีกลุงได้เจอกับ ไอ้แสง เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของลุง ไอ้แสงเป็นคนหมู่บ้านลุงเพียงคนเดียวที่เข้ามาแสวงโชคในเมืองกรุง แล้วได้ดิบได้ดีถึงขนาดได้เป็นเถ้าแก่ร้านแก๊สพูดคุยกัน ก็รู้ความว่าไอ้แสงมันมีหนทางใหม่ที่ดีกว่าเปิดร้านแก๊ส มันจะข้ามไปฝั่งลาวมันบอกว่าค้าขายที่นั่น กำไรกว่าทำร้านแก๊สเป็นไหนๆเมื่อมันรู้ว่าลุงต้องเจอกับอะไรมาบ้าง มันก็เห็นใจ เสนอร้านแก๊สของมันให้ลุงใช้เป็นที่ทำกินต่อตอนแรกลุงจะไม่เอา เพราะขยาดกับชีวิตเมือง แต่เมียลุงมันอยากให้สู้ต่อเพราะถึงกลับไปก็ไม่รู้จะทำอะไรที่นาก็ไม่มีให้ทำแล้ว ลุงก็เห็นเป็นดีด้วยจึงตัดสินใจรับคำมัน ซึ่งก็คือร้านนี้นี่แหละ เสียงหม่นเศร้าหยุดลงพร้อมกับสายตาของชายชราที่กวาดมองรอบห้อง คล้ายกับว่าจะรำลึกถึงอดีตอันแสนบอบช้ำ มวนยาเส้นอีกมวนถูกจุดขึ้นตรงหน้า พร้อมๆกับควันสีเทาที่ลอยล่องสู่เบื้องบน ควันสีเทาหม่นคล้ายกับชีวิตของชายชราที่หม่นเศร้า เมื่อก่อนแถวนี้ยังไม่คึกคักแบบนี้ เป็นแค่ตลาดเล็กๆที่ขายของชำบ้าง ของเล็กๆน้อยๆบ้าง ตามแต่ความถนัดของเจ้าของ ทุกคนเป็นกันเอง เอื้อเฟื้อกันและกัน ชายชราหยุดเล่าเพื่ออัดยาเส้นเข้าปอด ก่อนจะปล่อยออกมาโขมงห้อง ผมพอจะนึกภาพออกภาพอดีตที่พอจะจดจำได้ แม้จะเลือนลางไม่ชัดเจน แต่ก็พอจะเห็นภาพภาพตลาดแห่งนี้ครั้นอดีต ยามที่แม่ผมพาผมมาจ่ายตลาด ตอนลุงมาถึงห้องนี้เป็นเพียงห้องว่าง เพราะไอ้แสงมันเซ้งกิจการแก๊สให้คนอื่นเขาไปแล้วมีแต่ไม้อะไรต่อมิอะไรไม่รู้ กองเป็นพะเนิน ไอ้แสงมันบอกก่อนแล้วว่า ไม้เป็นของเพื่อนมัน ตอนนี้ไม่ใช้แล้ว จะเอาไปทิ้ง ไปทำอะไรก็ได้ มารู้ทีหลังว่ามันเป็นไม้เถื่อนที่ไอ้แสงกับเพื่อนมันเอามาเก็บไว้ แท้ที่จริงไอ้แสงมันทำธุรกิจค้าไม้เถื่อน แล้วเปิดร้านแก๊สบังหน้า ใช้ที่นี่เป็นที่เก็บสินค้าธุรกิจมันไปได้สวย แต่ช่วงหลังตำรวจมันเริ่มระแคะระคาย เพื่อนมันถูกซิวไปหลายคน มันเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเผ่นหนี ไม้เม้ยทิ้งไว้ไม่สนใจ มวนยาเส้นลีบงอเพราะแรงดูดของชายชรา ที่ตอนนี้น้ำตายังคงคลออยู่ในเบ้า แม้จะไม่หลั่งรินเหมือนช่วงแรก แต่ก็พร้อมที่จะทะลักออกมาจากเบ้าตาได้ทุกเมื่อ แล้วเฮียแสงล่ะครับ ? ผมซักอย่างใคร่รู้ มันไปไม่รอดมันถูกตำรวจดักจับที่พรมแดนลาว น่าเสียดายอีกนิดเดียวก็จะรอดแล้ว มันยิงสู้ เลยถูกจับตาย แล้วไม้ในร้านนี้ ผมยังคงซักอย่างใคร่รู้ต่อไป นี่อาจเป็นโชคดีอย่างเดียวของลุง นอกจากเมียลุงแล้ว ก็มีครั้งนี้นี่แหละที่ลุงรู้สึกว่าลุงโชคดี เพราะไอ้แสงมันตายเสียก่อน ตำรวจเลยสืบไม่ได้ว่าไม้เถื่อนของกลางไปอยู่ที่ไหนนี่ถ้ามันยอมให้จับ ลุงก็อาจจะต้องเข้าไปนอนเป็นเพื่อนมันในคุกก็เป็นได้ ชายชราพูดพลางหัวเราะในลำคอเป็นครั้งแรกนับแต่สนทนากันมา ที่ผมเห็นลุงหัวเราะ แต่คงไม่ใช่เพราะมีสุข แต่คงเพราะสมเพชกับตัวเองมากกว่า ลุงเลยรื้อฟื้นวิชาแกะสลักที่เคยร่ำเรียนมาบ้าง สมัยหนุ่มๆ จัดการกับไม้พวกนั้นซะ เพราะจะเอาไปทิ้งก็เสียดาย จะเก็บไว้เฉยๆก็เดี๋ยวจะกลายเป็นบ้านให้ปลวกอีก อีกอย่างก็เพื่อรำลึกถึงไอ้แสงด้วย แรกๆที่ทำขายก็ไม่มีใครสนใจ แต่พอทำนานๆไป ฝีมือเริ่มมีขึ้นบ้าง ก็เริ่มมีคนมาสนใจ ส่วนมากก็เป็นพวกเศรษฐีนั่นแหละ ซื้อไปตกแต่งบ้าน แหวนงี้เต็มมือ แต่กดราคาฉิบหายงานบางชิ้นลุงทำเป็นเดือน แต่ขายทีได้ไม่ถึงร้อย แต่ถึงจะไม่พอใจแต่ลุงก็ไม่ได้บ่น เพราะหนักกว่านี้ลุงก็เจอมาแล้ว ได้แค่นี้ก็บุญแล้ว ควันยาเส้นชุดสุดท้ายถูกปล่อยให้ล่องลอยอยู่ในอากาศ แล้วเมียลุงล่ะครับ ? ผมยังคงถามอย่างไม่ใส่ใจจิตใจของผู้ตอบ มันตายตอนไปรับใบสั่งของจากลูกค้า เสียงของชายชราเริ่มสั่นเครือมากขึ้น แต่ก็ยังคงเล่าต่อไป กำลังเดินข้ามถนนกลับมาที่ร้าน รถเก๋งมาจากไหนไม่รู้ ชนมันลอยกระเด็นไปหลายเมตร เสียงพูดปรับเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ น้ำตาที่คลอเบ้าอยู่แล้วหลั่งรินลงมาเป็นสาย พร้อมกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ ให้กับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเมียอันเป็นที่รักต้องมาจากไปแม้ชีวิตจะตกระกำลำบากแค่ไหน แม้จะเหนื่อยกายเมื่อยล้าขนาดไหน ก็ยังมีเมียอันเป็นที่รัก ที่คอยปลอบประโลม ให้กำลังใจเสมอมา น้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลหลั่งออกมาไม่ขาดสาย บ่งบอกถึงความรักของชายชราที่มีต่อเมียของแก ผมได้แต่นิ่งงัน พูดอะไรไม่ออกชีวิตของผู้ชายคนนี้ช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร เศร้าเกินกว่าที่คนที่เกิดมาเพรียบพร้อมอย่างผมจะเข้าใจถึงหัวใจที่แสนบอบช้ำนั้นได้ ชีวิตที่ตกระกำลำบากด้วยโชคชะตาที่เล่นตลก การที่ต้องสูญเสียเพื่อน สูญเสียเมียคู่ทุกข์คู่ยากไปตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม ? งานไม้ทุกชิ้นที่นี่ถึงได้แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย ความทุกข์โศกเช่นนี้ คล้ายกับว่าจะร่ำไห้ให้กับชีวิตของชายชราที่สุดแสนจะหดหู่ ความโศกเศร้าก่อเกิดจากความโศกเศร้า ยามที่เราทำอะไรสักอย่างด้วยความเศร้า ไอความเศร้าของเราก็จะแทรกซึมอยู่ในสิ่งที่เราทำนั้น และมันจะร่ำไห้อยู่เสมอจนกว่าความโศกเศร้าจะสูญสิ้น นานเนิ่นและเนิ่นนานกว่าที่ชายชราร้องไห้เหมือนเด็กๆ บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบ มีเพียงเสียงสะอื้นที่แหบเล็กของชายชราเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ ผมยังคงนั่งมองแกอยู่มองด้วยความรู้สึกเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ภาพเบื้องหน้าจะสะเทือนใจผมเหลือคณานับ จนผมเกือบจะร้องไห้ให้กับชีวิตที่โหดร้ายของชายชราไปด้วย ยังดีที่ผมยังเก็บอาการได้อยู่ แต่อย่างน้อยก็เป็น การดีที่แกได้ระบายมันออกมาบ้างความรู้สึกที่บีบคั้นจิตใจมาตลอด ที่ไม่รู้จะไประบายให้ใครฟัง ไม่เหลือเพื่อนไม่เหลือใครแล้วในชีวิตนี้ที่พอจะพูดคุยได้ ที่พอจะให้คำแนะนำ คำปรึกษาใดๆ ผมอ่อนโลกเกินกว่าที่จะให้คำแนะนำใดๆแกได้ แต่อย่างน้อยผมก็ได้ช่วยให้คนๆหนึ่งได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมา เนิ่นนานกว่าที่เสียงสะอื้นค่อยๆจางลง ลดลง ลดลงหยาดน้ำตาค่อยๆแห้งลง แห้งลง สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละโลกมันเปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาสนใจของพวกนี้อีกแล้ว ชายชราพูดพลางกวาดสายตาที่แดงก่ำไปที่งานไม้มากมายที่รายล้อมรอบตัวอยู่ ถึงแม้จะพูดหยามเหยียด แต่ในใจของแกคงอาลัยรักงานเหล่านี้มาก มันเป็นตัวแทนของเพื่อนรักเป็นตัวแทนของร้านนี้ที่แกกับเมีย ร่วมกันสร้างขึ้นมาเป็นตัวแทนของอดีตกาลของชายคนหนึ่งที่ต่อสู้กับโชคชะตาที่เล่นตลกมาอย่างหนักหน่วงเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณที่บอบช้ำ ที่สิ้นหวัง ในการที่จะประคองชีวิตนี้ให้คงอยู่ต่อไป ขอบใจนะไอ้หนุ่ม ที่ทนฟังเรื่องไร้สาระของลุงจนจบ หัวใจนั่นลุงยกให้อยากได้ก็เอาไปเถอะ ชายชราพูดพลางยกตัวขึ้นจากเก้าอี้ไม้ ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้อย่างน้อยก็คงต้องให้ลุงแกบ้าง ก็แกบอกเองว่า งานแต่ละชิ้นแกทำอย่างตั้งใจขนาดไหน แล้วจะให้ผมเอาไปฟรีๆได้อย่างไร ? ว่าแล้วผมก็ล้วงมือไปที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา ผมก็ต้องชะงักกับคำพูดของชายชรา หยุดอยู่แค่นั้นแหละไอ้หนุ่ม ลุงบอกว่าให้ก็ให้สิ ถึงแม้ลุงจะเป็นแค่ไอ้กระจอกในสายตาของผู้คนสมัยนี้ แต่อย่างน้อยลุงก็ให้ความสำคัญกับคำพูดแม้มันจะลอยลม จับต้องไม่ได้ แต่มันก็มาจากตัวเรา มาจากจิตของเราเพราะฉะนั้นถ้าพูดอะไรไปแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองเห็นแก่ลุงเถอะ อย่าทำให้คุณค่าความเป็นคนของลุงลดน้อยไปกว่านี้เลยถือซะว่า นั่นเป็นค่าจ้างที่ทนฟังเรื่องของไอ้กระจอกคนหนึ่งละกัน ผมไม่อาจจะต่อรองอะไรได้อีก ชักมือกลับมาประคองที่หัวใจไม้สองดวงนั้น นี่คือตัวแทนความรักของไอ้กระจอกคนหนึ่งที่มีต่อผู้หญิงอันเป็นที่รัก ไอ้กระจอกคนหนึ่งที่ยังคงเห็นคุณค่าของคำพูด ไอ้กระจอกคนหนึ่งที่ต่อสู้ห้ำหั่นกับโชคชะตาที่เล่นตลก ชายชราก้าวเดินเข้าไปภายในส่วนลึกของห้องที่ดำมืดอย่างเชื่องช้าแต่ทว่ามั่นคง ลุงครับลุงอาจจะเป็นไอ้กระจอกในสายตาของใครต่อใคร แต่สำหรับผมลุงคือลูกผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของชายชาตรี ถึงแม้ตอนนี้จะอ่อนลงมากแล้ว แต่ก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ ลุงเท่ห์มากครับ ผมได้แต่คิดในใจแต่มิได้เอ่ยออกไป ลุงครับแล้วลุงจะทำอะไรต่อไป ? คือคำพูดที่ผมเลือกจะเอ่ยกับชายชราก่อนที่ร่างนั้นจะหายเข้าไปในหลืบของความมืด ร่างผอมเกร็งหยุดชะงัก ชายชราไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่พูดว่า เมื่อเราไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาได้ก็คงต้องปล่อยให้โชคชะตาเล่นตลกกับเราต่อไป ว่าแล้วชายชราก็เดินหายลับไปในความมืด ผมได้แต่ส่งสายตาแทนคำอำลาที่ไม่มีโอกาสได้พูด เมื่อเห็นว่าสมควรกับเวลาแล้ว ผมจึงก้าวเดินออกมาจากตัวร้านอย่างเชื่องช้า ในมือยังถือหัวใจไม้สองดวงนั้นไว้อย่างทะนุถนอม แม่จะรู้สึกไหมนะ ? ว่าของขวัญวันคล้ายวันเกิดปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ ไม่ใช่เพราะเป็นของขวัญที่ไม่ใช่คำพูดชิ้นแรกในรอบ 10 ปี หากแต่ของขวัญชิ้นนี้คือตัวแทนของคนๆหนึ่ง คนที่มีคุณค่าความเป็นคนอย่างเปี่ยมล้น ผมพึมพำของผมคนเดียวในขณะที่เดินจากร้านขายไม้นั้นมา แกร็กกกกก.ตึง ! เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น เพียงพอที่จะทำให้ผมกลับตัวหันไปมองที่มาของเสียงนั้น ร้านขายไม้ของชายชราปิดสนิทไม่มีวี่แววของความมีชีวิตหลงเหลืออยู่ ประตูเหล็กยืดเก่าคร่ำคร่า ใยแมงมุมเกาะยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แม่กุญแจเก่าโทรมที่คล้องไว้กับสายยูประตูสนิมจับเกรอะกังคล้ายกับว่ามันปิดอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนาน ลาก่อนครับลุง ผมกล่าวอำลาชายชราผู้กรำชีวิตมาอย่างแสนสาหัส ผมหันหลังกลับ ก้าวเดินต่อไปออกไปออกไปออกสู่ความสับสนวุ่นวายของกระแสบริโภคนิยมที่เชี่ยวกราด ลุงอ่อนแอเกินไปอ่อนแอเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสวรรค์โสมมอย่างนี้ได้ คำพูดของชายชรายังคงก้องอยู่ในหัวของผม กระแสชนเริ่มหนาแน่นขึ้นตามระยะทางที่ก้าวเดิน แสงอาทิตย์สาดแสงส่องลงมายังพื้นคอนกรีต ถ้าโชคชะตานึกสนุกเราคงได้พบกันใหม่
25 กันยายน 2546 15:58 น. - comment id 69663
เขียนดีจังค่ะ....ให้ความรู้สึกหลายอารมณ์มากเลย อ่านแล้วมองเห็นภาพ...แล้วก็บางตอนมันเศร้าๆอยู่.. แต่ก็แฝงความตลกเอาไว้อีก......แต่ตอนท้ายมันก็เศร้าอีก.... น่าสงสารลุงคนนั้นจัง...............
26 กันยายน 2546 14:24 น. - comment id 69680
ถึงคุณตะแหง่ว ขอบคุณสำหรับคำติชม และขอบคุณที่แวะมาทักทายครับ สบโอกาสจะแวะเข้าไปทักทายบ้าง ขอบคุณครับ
16 ตุลาคม 2546 18:06 น. - comment id 69871
เป็นเรื่องจริงรึเปล่า? อ่านแล้วนึกภาพออกเลย คุณลุงคนนั้นเป็นคนที่น่านับถือมากจริงๆ เพราะเรื่องนี้ถ้าเกิดกับตัวเองขึ้นมาคงจะทนอยู่จนถึงทุกวันนี้ไม่ได้หรอกค่ะ
18 ตุลาคม 2546 00:42 น. - comment id 69885
ถึงคุณ ต้นสน เป็นเรื่องแต่งครับ ขอบคุณที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม