ชึ่กชั่ก...ชึ่กชั่ก...เสียงรถไฟสายนครศรีฯ นราธิวาส วิ่งตัดมวลอากาศเย็นยามใกล้รุ่ง ลมเย็นผ่านหน้าต่างปะทะเข้ากับร่างของฉันที่ขดตัวอยู่ในเสื้อกันหนาวตัวโคร่ง ฉันหลับตาพริ้ม ซุกแอบสายลมเข้ากับซอกริมหน้าต่าง ที่นั่งตรงข้ามยังคงว่าง ทั้งขบวนมีผู้โดยสารเพียงไม่กี่คน แม่บอกว่า คนเดินทางไปนราฯ น้อยลงตั้งแต่กลางปี 47 เหตุการณ์ความรุนแรงที่ต่อเนื่องทำให้ทุกคนกลัวและไม่อยากเดินทางเข้าไปในพื้นที่ ที่สุดก็เหลือแค่คนที่มีความจำเป็นจริงๆ ที่ยังคงเดินทางอยู่ ..แม่บีบมือฉันเบาๆ ตาแดงๆ เหมือนสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ ฉันยิ้มให้แม่.. แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ..ในใจเพียงถามตัวเองว่า แล้วฉันล่ะ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีเหตุผลแห่งความจำเป็นเช่นพวกเขาหรือไม่ ................................ ท้องฟ้านอกตัวรถยังคงมืด มีเพียงเงาของต้นไม้วูบผ่านช่องหน้าต่างพอเห็นได้เพียงรางๆ ..ฉันตกสู่ห้วงภวังค์ที่ลึกลงไปอีก ................................ พ่อลูบขนใต้แผงอกเจ้าโต้งอย่างแผ่วเบา เหมือนเกรงมันจะเจ็บแผลที่อยู่ใกล้ๆ โต้งเผยอตาข้างหนึ่งมองฉันที่นั่งอยู่ตรงข้าม และแม้ว่าขอบตาอีกข้างจะบวมเป่งและมีรอยแผลฉีกกว้าง แต่นัยน์ตาข้างเดียวที่เหลือก็ยังฉายแววเด็ดเดี่ยวทรนง ................................ วันนี้พ่อได้รับเชิญจากสำนักงานประถมศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นผู้ร่วมอภิปรายในหัวข้อภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมพื้นบ้าน และเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียน พ่อจึงพาฉันนั่งรถไฟไปนครฯ กับพ่อ การอภิปรายบนเวทีไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจของฉันได้มากนัก แม้ว่าฉันจะนั่งอยู่แถวหน้า นั่นก็เพราะพ่อจะได้เห็นฉันอยู่ในสายตาโดยตลอด .. จนพ่อลงมาแล้ว เราถึงได้ไปเดินเล่นกันในงาน พ่อพาฉันไปดูส่วนนิทรรศการ พาฉันไปดูคุณยายสานตะกร้า ไปดูคุณป้าคุณน้าเขียนลายเครื่องถม พาฉันไปนั่งชิงช้าสวรรค์ เข้าร้านโน้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ฉันสนุกจนลืมเหนื่อย..จนกระทั่งมาหยุดที่ลานไก่ชน ซึ่งผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังเปรียบไก่กันอยู่ ขณะที่คนที่เหลือก็เฝ้ารอดู ..พ่อแตะบ่าฉันให้ไปต่อ แต่ฉันขอว่าฉันอยากดู ..พ่อสบตาฉันอยู่ชั่วครู่ แล้วก็พยักหน้าอนุญาต ไอ้โต้งยืนนิ่งอยู่ขอบลาน ดวงตาทั้งคู่แม้จะเล็กแต่ก็เด็ดเดี่ยวดังคมพยัคฆ์ คู่ต่อสู้ใหญ่กว่ามันมาก แต่เจ้าของก็เข็นมันขึ้นสู้ พลางอวดอ้างสรรพคุณว่าสมัยหนุ่มๆ มันตีไก่ใหญ่ชนะมาทุกราย บรรดาไก่ตัวพอๆ กันก็ไม่มีใครกล้าเปรียบด้วยมาสองสามปีแล้ว ถ้าตีแพ้วันนี้จะเชือดแกง กินกันในงาน..ชาวบ้านที่รอดูก็ร้องเฮ..ไอ้โต้งยังยืนนิ่ง สายตายังคงเด็ดเดี่ยวทรนง กะลาเล็กๆ ที่ถูกผ่าครึ่งและเจาะรูถูกปล่อยลงขวดโหลใส่น้ำ บอกเวลาเริ่มอัน ไก่ทั้งสองกระโดดเข้าหากันกลางสังเวียน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด แม้ไอ้โต้งจะเล็กกว่ามาก แต่มันดูไม่เกรงกลัวไก่อีกฝ่ายหนึ่งเลย ดูแล้วมันจะเก่งกว่าเสียด้วยซ้ำ กะลาบอกเวลาจมลงเป็นครั้งที่สาม เสียงเคาะเกราะซึ่งทำด้วยไม้ไผ่บอกหมดอัน ฉันหันไปมองหน้าพ่อ.. เห็นคิ้วพ่อขมวดเข้าหากัน เหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง มือน้ำ ของฝ่ายไอ้โต้งเอาผ้านุ่มชุบน้ำเย็นผสมสมุนไพร เช็ดหัว หน้าอก และแข้งขา เพื่อให้มันสดชื่น จากนั้นก็เอากระเบื้องที่อังไฟจนร้อนแตะไพลกับขมิ้นนวดกล้ามเนื้อประคบบาดแผล มือน้ำของอีกฝ่ายก็ทำคล้ายๆ กัน ผิดก็แต่บริเวณแข้งไก่ที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น มือน้ำอีกฝ่ายไม่ยอมเช็ดเลือดออก แต่ก็ไม่มีใครสนใจเป็นพิเศษ คงเพราะเห็นว่าเจ้าตัวสาละวนกับการเย็บบาดแผลรั้งหนังตาที่ปิดจากการถูกจิกและถูกแทงจากเดือยของไอ้โต้ง เพื่อให้ไก่ของตนมองเห็นในช่วงเวลาสามอันที่เหลือ ..ฉันได้ยินแต่พ่อพึมพำเบาๆ ว่า สงสัยจะเป็นยางมะละกอ อันที่สี่เริ่มขึ้น ท่ามกลางเสียงร้องเชียร์ของคนดู ไก่สองตัวยังคงตีกันอย่างดุเดือด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าโต้งจะแผ่วลง มันถูกตีและแทงมากขึ้น เลือดไหลเป็นทางใต้ตาและสองข้างปาก ..ตลอดอันที่สี่และห้า เจ้าโต้งเหมือนจะเป็นฝ่ายโดนกระทำเสียส่วนมาก เลือดจากแผลที่ถูกเดือยคมของอีกฝ่ายตีวิ่งเข้าตาที่คมดังพยัคฆ์ มันเหมือนไก่ตาบอด แต่ก็ยังติดพันอีกฝ่ายไม่ยอมถอย ขณะที่เจ้าของมันก็ยังคงร้องตะโกน จิก ตี แทง ๆ .. จนฉันกลัวว่าการชนกันครั้งนี้จะจบลงด้วยการตายของไก่ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง ..แต่ทันใดนั้น พ่อก็เดินเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่าง กับเจ้าของไก่ทั้งสองฝ่ายและกรรมการ ..ฉันรู้ว่าพ่อเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่มาช่วยงานที่นี่บ่อย แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าพ่อไปกระซิบอะไรกับพวกเขา แต่พอหมดอันที่ห้า กรรมการก็ประกาศยุติการชนของเจ้าโต้ง และให้เสมอกันในฐานะที่ตัวเล็กกว่าและสู้ได้สูสี.. เสียงชาวบ้านบางคนบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากให้ตีกันต่อ แต่ฉันดีใจมากที่ยุติเสียได้.. และยิ่งประหลาดใจไปอีก เมื่อเห็นพ่ออุ้มเจ้าโต้งกลับมา ..พ่อยิ้มให้ฉัน ไปกันเถอะลูก เจ้าโต้งจะไปกับเราด้วย หลังจากไอ้โต้งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว ฉันกับพ่อก็ไปหาซื้อไก่ตัวเมียมาอยู่เป็นเพื่อนมัน เราตั้งชื่อมันว่าดำ เพราะมันมีขนดำทั้งตัว ไอ้โต้งอยู่กับดำได้ไม่นาน ดำก็มีลูกเจี๊ยบน่ารักๆ ให้พวกเราได้ชื่นใจถึงสี่ตัว ตกเย็นหลังเลิกเรียนฉันจึงรีบกลับบ้านเพื่อมาดูเจ้าลูกเจี๊ยบที่พยายามเลียนแบบเจ้าดำคุ้ยเขี่ยดินในเล้าหาอาหาร แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่ฉันเดินกลับบ้านหลังจากเลิกเรียน ก่อนที่จะถึงบ้านประมาณเกือบสองร้อยเมตร เสียงหมาเห่าและเสียงไก่ร้องทำให้ฉันใจหายวูบ เพราะละแวกนี้มีเพียงบ้านฉันบ้านเดียว แม้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันหนีบกระเป๋านักเรียนและวิ่งไม่คิดชีวิตกลับบ้าน ในระยะสายตา ฉันเห็นหมาตัวหนึ่งในเล้าไก่กำลังฟัดกับอะไรบางสิ่งบางอย่าง ฉันได้แต่ภาวนาว่า..ไม่ใช่ไก่ของฉัน แต่ยิ่งใกล้เข้าไปเท่าไหร่ ภาพเจ้าโต้งที่ปีกข้างหนึ่งอยู่ในปากเจ้าหมาชั่วขณะที่จะงอยของมันก็จิกตีเข้าใส่หัวและนัยน์ตาหมาตัวนั้นก็เด่นชัดขึ้นทุกที น้ำตาฉันไหลอาบแก้ม ฉันวิ่งตะโกนด้วยคำหยาบ ไอ้หมาชั่ว ๆ ไปจนถึงบ้าน ดูเหมือนเจ้าหมาตัวนั้นจะได้ยินเสียงฉัน มันจึงปล่อยเจ้าโต้งและรีบมุดออกจากเล้าไก่หนีไป ฉันได้แต่ขว้างประเป๋านักเรียนตามไล่หลังมัน ในเล้า เจ้าโต้งนอนเลือดอาบหายใจรวยริน มันเปิดเปลือกตาดูฉันเป็นครั้งคราวสลับกับสะดุ้งอึ๊กๆ เป็นช่วงๆ ข้างหลังมัน ดำกางปีกปกลูก ตามันสีแดงก่ำเป็นสีเลือด ปีกที่กางสั่นด้วยความกลัว..ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าโต้งก็กระตุกและตายในมือฉัน ฉันซบตัวร้องไห้ เลือดจากตัวเจ้าโต้งผสมกับน้ำตาฉันไหลนองเล้าไก่ ..ฉันนั่งร้องไห้อยู่จนกระทั่งพ่อกลับมาถึง มันไปดีแล้วลูก ไม่เคยมีไก่ตัวไหนห้าวหาญเช่นไอ้โต้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่แค่มันบินขึ้นเกาะคอนข้างบน มันก็จะเอาตัวรอดได้ แต่มันก็ไม่ยอมทิ้งลูกทิ้งเมีย มันยอมสู้ ยอมแลกชีวิต เพื่อปกป้องลูกของมันที่ยังบินไม่ได้ ปกป้องเมียที่ไม่ยอมห่างจากลูก..มันตายสมชาติพันธุ์ไก่ชน..ลูกต้องภูมิใจในตัวมัน สักวันหนึ่ง เมื่อลูกโตมีแรงกำลัง ลูกก็ต้องเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องและปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า เข้าใจมั๊ยลูก ฉันพยักหน้าตอบรับและโผเข้ากอดพ่อ เอาล่ะ งั้นคนดีของพ่อก็ต้องเข้มแข็ง..หยุดร้องไห้ แล้วไปช่วยพ่อฝังเจ้าโต้งกัน ฉันค่อยๆ ยกแขนขึ้นปาดน้ำตา เดินตามหลังพ่อที่อุ้มร่างเจ้าโต้งออกจากเล้าไก่ ................................ ปู๊นนนนน ๆ เสียงหวูดรถไฟปลุกฉันขึ้นจากภวังค์ ฉันกระชับเสื้อไล่ความหนาวและรู้สึกอุ่นขึ้น สถานีนราธิวาสอีกไม่ไกลข้างหน้า ฉันยิ้มให้กับตัวเอง .. ผู้พิพากษาสาวคนนี้ .. แม้ไม่ใช่ชาติพันธุ์ไก่ชนเยี่ยงไอ้โต้ง แต่ก็เป็นคนเลี้ยงมันมา .. ฉันจะทำหน้าที่ของฉันอย่างสุดความสามารถ..โดยไม่หวาดกลัวต่อความอยุติธรรมใดใด ................................ หมายเหตุ อัน ในภาษาไก่ชน หมายถึง "ยก" โดยทั่วไป การชนไก่ของไทย มีตั้งแต่ 6-12 ยก ยกละประมาณ 15-20 นาที ไก่จะแพ้ชนะกัน ตรงที่ตัวใดตัวหนึ่งตาย วิ่งหนี ไม่ยอมตี หรือบาดเจ็บมากจนเจ้าของขอยอมแพ้เอง มือน้ำ คือ คนที่ให้น้ำไก่ในเวลาชนกัน ต้องใช้ความชำนาญในการให้น้ำและเทคนิคต่างๆ มากมาย โดยทั่วไปถ้ามีการชนกันเมื่อไร และไม่มีการให้น้ำก่อนหรือหลังชน ส่วนมากจะตายทั้งสองฝ่าย การใช้ยางมะละกอทาที่แข้งไก่ทุกวันก่อนชนประมาณ 15-20 วัน เป็นหนึ่งในกลโกงในการชนไก่ โดยช่วงเวลาที่ทานั้น เวลากราดน้ำไก่จะไม่เช็ดน้ำบริเวณแข้งไก่โดยเด็ดขาด เพื่อให้น้ำยาซึมเข้าไปตามร่องเกล็ดแข้งของขาไก่ เวลาที่เอาไก่ไปชนก็จะไม่เช็ดบริเวณแข้งไก่เหมือนกัน ก่อนชนจุ่มขาไก่ลงในน้ำเปล่า ตอนนี้ยางมะละกอจะเริ่มละลายออกมาจากแข้งของไก่ เมื่อไก่อีกฝ่ายบาดเจ็บเกิดแผลตรงบริเวณหน้าตาไก่ ยางมะละกอที่ติดกับแข้งไก่ก็จะไปทำให้แผลเกิดอาการแสบร้อนมากขึ้น ทำให้ไก่เจ็บปวดมากกว่าเดิม ถ้ายางมะละกอเข้มข้นมากก็อาจทำให้ไก่ตัวที่โดนถอดใจเพราะความเจ็บปวด
25 กรกฎาคม 2555 13:50 น. - comment id 129973
ได้โปรดย้ายมาอยู่ศาลรัฐธรรมนูญด้วย
26 กรกฎาคม 2555 07:51 น. - comment id 129975
เป็นเรื่องราวที่ดีจริง
26 กรกฎาคม 2555 10:09 น. - comment id 129976
ได้ความรู้เรื่องชนไก่และไก่ชน และทำไมน้ำตาซึมได้นะ
1 สิงหาคม 2555 08:39 น. - comment id 130002